ตอนที่ 463
เข้าใจวิถีโอสถพร้อมหักหน้า
“พลังจิตก็สามารถปรุงยาได้หรือ?” มู่ชิงเกอตะลึง
‘พลังจิตของคนคนหนึ่งจะแปรเปลี่ยนไปเป็นวัตถุดิบยานับพันนับหมื่นบนโลกได้อย่างไร? แล้วหลอมรวมกลายเป็นยาได้อย่างไร?’ ในใจของมู่ชิงเกอเกิดความตกตะลึง เหมือนเกิดคลื่นลมพายุ
นางคิดไม่ออกและไม่เข้าใจ
ภายนอกผนังเงา นางขมวดคิ้ว ใบหน้าฉายแววเคร่งขรึม
เหลียนเฉียวที่หมอบอยู่ข้างกายนางเมื่อมองเห็นนางขมวดคิ้วก็ขมวดคิ้วตามไปด้วย ริมฝีปากเล็กๆ สีแดงเม้มแน่นขึ้นมา ดูเหมือนไม่อยากจะเห็นมู่ชิงเกอเผยท่าทีกังวลใจเช่นตอนนี้
“ข้าใช้จิตวิญญาณแทนสมุนไพรนับหมื่น แปลงพลังจิตให้กลายเป็นสมุนไพรนานาชนิด ปรุงเป็นยา! ปรุง! ปรุง!”
ดูเหมือนว่าภายในแผ่นป้ายหินทุกแผ่นจะมีประโยคๆ หนึ่งเป็นคำสรุป ทั้งเป็นท่อนสำคัญซึ่งต้องอาศัยความเข้าใจ
ในตอนที่มู่ชิงเกอได้ยินประโยคนี้นั้นนางก็ท่องประโยคนี้ในใจ แต่ภายในหัวกลับคิดไปถึงประโยคก่อนหน้านี้ที่ว่า ใช้ใจเป็นหม้อมหลอมปรุงได้ทุกสิ่ง ส่วนที่นี่กลับเป็นใช้พลังจิตเป็นทุกสิ่งในการปรุงเป็นยา
เมื่อฟังไปก็ดูเหมือนว่าวิถีโอสถสองทางนี้ขัดแย้งกัน
แต่เมื่อท่องออกมาครู่หนึ่ง มู่ชิงเกอก็เปิดใจกว้าง
วิถีโอสถของปรมาจารย์วิถีโอสถสองคน แน่นอนว่าจะต้องไม่เหมือนกัน เส้นทางมีมากมายที่ถึงกระบวนการจะไม่เหมือนกัน แต่จุดจบก็เหมือนกันอยู่ดี
หลักการนี้ก็เหมือนกับในวิถีโอสถ
‘ไม่ต้องไปสนใจเรื่องอื่น สงบใจทำความเข้าใจวิถีโอสถของปรมาจารย์แต่ละท่านก็พอ เมื่อทำความเข้าใจทั้งหมดแล้วก็ค่อยค้นหาวิถีโอสถของตนเอง!’ เมื่อมู่ชิงเกอคิดได้เช่นนี้แล้ว อุปสรรคตรงหน้าก็กระจายหายไปในทันที
ในตอนที่มู่ชิงเกอนั่งอยู่หน้าผนังเงาอันที่สองได้สิบวันนั้น เหมยจื่อจ้งก็ได้ถอยออกจากการทำความเข้าใจแล้วยืนขึ้นมาจากผนังเงาตรงหน้าแล้วกระอักเอาเลือดเสียในร่างกายออกมา
ทำความเข้าใจมายี่สิบกว่าวันแต่เขาก็ยังไม่เข้าใจผนังเงาแผ่นที่หนึ่งเลย
ดีที่เขามีนิสัยเฉยชา ไม่เคยคิดอยากจะฝืนอะไรและก็ไม่ได้มีความคิดอยากจะเอาชนะดังนั้นถึงแม้จะล้มเหลวในการทำความเข้าใจครั้งแรกเขาก็ไม่ได้ท้อ
เขาควบคุมลมหายใจแล้วก็มองหามู่ชิงเกอท่ามกลางผนังเงา
ก่อนที่จะมามู่ชิงเกอเคยบอกเขาว่าต่อไปนี้จนถึงวันเริ่มงานชุมนุมใหญ่ของสำนักวิถีโอสถนางจะอยู่ที่นี่เพื่อทำความเข้าใจวิถีโอสถ
ตอนนี้ไม่รู้ว่านางทำความเข้าใจได้เป็นอย่างไรบ้างแล้ว
‘ชิงเกอจะต้องเก่งกาจกว่าข้ามากแน่’ เหมยจื่อจ้งคิดอยู่ในใจ
เดินไปรอบหนึ่งเขาก็พบเงาร่างของมู่ชิงเกอตรงหน้าผนังเงาแผ่นหนึ่ง เพียงแต่เมื่อเขาเดินเข้าไปใกล้ๆ กลับพบว่ามีเงาร่างเล็กๆ หมอบอยู่ข้างกายของมู่ชิงเกอ
‘เด็กคนนี้ที่มาหาชิงเกอในวันนั้นนี่?’ เหมยจื่อจ้งแปลกใจ
“ศิษย์พี่เหมย!”
“ศิษย์พี่เหมย”
ทันใดนั้น เหมยจื่อจ้งก็ได้ยินเสียงเรียกจากทางด้านหลัง
เขาหันมองก็เห็นว่าพวกจ้าวหนานชิงสามคนเก็บตัวปรุงยาเสร็จแล้วเดินมาด้วยกัน ดูจากท่าทางแล้วคงมาหาพวกเขาสองคน
พวกจ้าวหนานซิงสามคนเดินมาข้างกายเหมยจื่อจ้งก็มองเห็นมู่ชิงเกอกำลังนั่งสมาธิอยู่ด้านหน้าผนังเงา
“เด็กคนนั้นเป็นใครน่ะ?” จูหลิงพูดอย่างแปลกใจ
จ้าวหนานซิงกับซางจื่อซูก็มองเหลียนเฉียวอย่างสงสัย
เหมยจื่อจ้งค่อยๆ ส่ายหน้า “ข้าก็ไม่รู้ แต่ดูเหมือนว่านางจะมาเพราะชิงเกอ”
“มาเพราะชิงเกอ?” จ้าวหนานชิงขมวดคิ้ว นัยน์ตาฉายแววไม่เข้าใจ
นัยน์ตาของซางจื่อซูก็ฉายแววสงสัย แต่นางกลับมองเห็นป้ายสถานะที่ห้อยบนตัวของเหลียนเฉียว จึงเอ่ยปากว่า “นางเป็นคนของส่วนใน”
“คนของส่วนในงั้นหรือ? ข้าอยู่ในส่วนในมาสองปี ถึงแม้จะไม่ได้พบหน้าครบทุกคนแต่ก็ไม่เคยได้ยินว่ามีเด็กผู้หญิงเป็นศิษย์ส่วนในด้วย” จูหลิงมองไปยังจ้าวหนานชิงและซางจื่อซู
เหมยจื่อจ้งมองเห็นว่าทั้งสามคนสงสัยในสถานะของเหลียนเฉียวจึงเอ่ยว่า “ข้าคิดว่านางคงไม่ได้มีความคิดร้ายต่อชิงเกอ มิเช่นนั้นชิงเกอก็คงไม่ปล่อยให้นางนงอยู่ ด้านข้างเช่นนี้”
นั่นก็มีเหตุผล
ทั้งสามคนพยักหน้าพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ถึงแม้จะสงสัยในที่มาของเหลียนเฉียว ทั้งยังสงสัยถึงเหตุผลที่ นางมาเฝ้ามู่ชิงเกอ แต่ว่าในเมื่อไม่ได้มีความคิดร้ายต่อมู่ชิงเกอ ทั้งมู่ชิงเกอก็ยังอนุญาต พวกเขาก็จะไม่ถามมาก
เมื่อได้บทสรุปเรื่องเหลียนเฉียว จ้าวหนานซิงก็หันมองเหมยจื่อจ้งแล้วเอ่ยว่า “ศิษย์พี่เหมยเป็นอย่างไรบ้าง?”
เหมยจื่อจ้งหลุบตาลง ส่ายหน้าหัวเราะ “น่าอับอายนัก ข้ายังไม่ทันได้เข้าใจเลยสักแผ่น”
“ไม่ต้องรีบร้อน พวกเราสามคนก็ใช้เวลาถึงสามเดือนถึงจะเข้าใจผนังเงาแผ่นแรก ตอนนี้ท่านยังใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งเดือนด้วยซํ้า” จ้าวหนานชิงยิ้มแล้วเอ่ยออกมา
จูหลิงก็พูดตามว่า “เรื่องการทำความเข้าใจไม่สามารถรีบร้อนได้พวกเราไม่ได้เร่งรีบเช่นชิงเกอ และก็ไม่ได้เป็นอัจฉริยะเช่นนาง ดังนั้นค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปเถอะ”
ซางจื่อซูพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
เหมยจื่อจ้งหัวเราะเอ่ยว่า “หากจะเทียบกับนางก็เหมือนจะเป็นการบั่นทอนตนเองเกินไป”
“ในเมื่อชิงเกอยังจะทำความเข้าใจต่อ พวกเราก็ไปก่อนเถอะ พักผ่อนคู่กับทำงานถึงจะได้ผลดี” จ้าวหนานซิงเอ่ย
หลังจากผ่านไปสิบวัน เหมยจื่อจ้งก็มาที่ผนังเงาอีกครั้ง แล้วก็มองหาเงาร่างของมู่ชิงเกอเป็นอันดับแรก
เพียงแต่ในตอนที่เขาเห็นว่านางยังคงนั่งสมาธิอยู่ที่ผนังเงาแผ่นเดิมนั้นก็ชะงักไปเล็กน้อย แต่เดิมเขาคิดว่าภายในเวลาสิบวัน มู่ชิงเกอคงจะเปลี่ยนไปยังผนังเงาอีกแผ่นแล้ว
แต่ว่า
ไม่เพียงแต่มู่ชิงเกอยังอยู่ เด็กผู้หญิงคนนั้นก็หมอบอยู่ข้างกายนางไม่ขยับไปไหน ทั้งสองคนดูเหมือนไม่ได้ขยับตัวเลยแม้แต่น้อย
ส่วนศิษย์คนอื่นๆ ที่อยู่ข้างกายของมู่ชิงเกอก็สลับสับเปลี่ยนไปไม่รู้กี่รอบแล้ว
เหมยจื่อจ้งเม้มปากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งจากนั้นก็ไม่ได้ไปรบกวนมู่ชิงเกอแต่กลับเดินไปที่ผนังเงาที่ตนเองทำความเข้าใจก่อนหน้านี้แล้วนั่งสมาธิลง
เวลาผ่านไปอีกครึ่งเดือน
ครั้งนี้เหมยจื่อจ้งเตรียมพร้อมมาเป็นอย่างดี การทำความเข้าใจติดต่อกันครึ่งเดือนบวกกับก่อนหน้านี้ยี่สิบกว่าวัน เขาใช้เวลาไปประมาณสองเดือนกว่า ในที่สุดก็ เข้าใจผนังเงาแผ่นแรกแล้ว
เมื่อได้รับวิถีโอสถในผนังเงาก็ทำให้จิตใจและความเข้าใจของเหมยจื่อจ้งพัฒนาขึ้นมาก
ในตอนที่แสงสีทองบนผนังเงาหายเข้าไปในหว่างคิ้วของเขานั้นเขาก็ยืนขึ้นท่ามกลางสายตาอิจฉาจากรอบด้าน
เขายังคงดูสงบนิ่งเช่นเคย
หลังจากทำความเข้าใจผนังเงาแผ่นแรกแล้ว เหมยจื่อจ้งก็ไม่ได้รีบไปทำความเข้าใจแผ่นที่สอง
เขาต้องการจะทำความเข้าใจถึงวิถีโอสถจากผนังเงาแผ่นแรกอย่างละเอียดก่อนแล้วค่อยไปทำความเข้าใจแผ่นที่สอง
ก่อนจะไปเขาก็มองหามู่ชิงเกออีกครั้ง
แต่ในตอนที่เขาหามู่ชิงเกอพบนั้น เขาก็ต้องขมวดคิ้วขึ้นมา มู่ชิงเกอยังคงอยู่ที่เดิมไม่ขยับตัวเลย
‘อิงตามพรสวรรค์ของมู่ชิงเกอ เหตุใดถึงติดอยู่ที่ผนังเงาแผ่นที่สองนานขนาดนี้?’ เหมยจี่อจงลอบพูดในใจ
แต่เขาก็ไม่ได้ไปรบกวนมู่ชิงเกอ
เพราะหากว่านางกำลังอยู่ในช่วงสำคัญแล้วถูกเขาขัดจังหวะก็จะเป็นการทำลายความพยายามตลอดทั้งสองเดือนกว่านี้ไป หากเป็นเช่นนั้นแล้วเขาก็คงจะรู้สึกผิด มาก คิดแล้วเหมยจื่อจ้งก็ข่มความกังวลในใจแล้วก็เดินไปจากผนังเงา
เมื่อกลับไปแล้วเหมยจื่อจ้งก็เริ่มปรุงยา เขานำเอาวิถีโอสถที่ตนเองเพิ่งจะทำความเข้าใจมาลอง มาผสานรวมกับวิชาปรุงยาของตนเอง ในตอนที่ไม่ได้ปรุงยานั้นเขาก็พูดคุยเรื่องวิชาปรุงยากับพวกจ้าวหนานชิง ซางจื่อซูและจูหลิง ให้คำแนะนำกันและกัน เพียงพริบตาเดียวเวลาก็ผ่านไปถึงสองเดือน
ภายในสองเดือนนี้มู่ชิงเกอไม่ได้กลับมาเลย และงานชุมนุมใหญ่ของสำนักวิถีโอสถก็เหลือเวลาอีกเพียงไม่ถึงหนึ่งเดือนแล้ว
“ศิษย์พี่เหมย ท่านจะไปผนังเงางั้นหรือ?” ในตอนที่เหมยจื่อจ้งออกจากที่พัก จ้าวหนานซิงก็พาซางจื่อซูมาหาพร้อมทั้งจูหลิงก็มาด้วย
เหมยจื่อจ้งพยักหน้า “ข้าจะไปทำความเข้าใจผนังเงาแผ่นที่สองและก็จะไปดูสถานการณ์ของชิงเกอด้วย”
“พวกเราก็เป็นห่วงชิงเกอ” ซางจื่อซูพูดขึ้นมาจุดมุ่งหมายที่มู่ชิงเกอมายังสำนักวิถีโอสถนั้นพวกเขาทั้ง สามคนต่างก็รู้ดีและก็เป็นห่วงว่านางจะไม่ทันเวลา
“พวกเราไปด้วยกันเถอะ” จ้าวหนานซิงเอ่ย
เหมยจื่อจ้งพยักหน้า ทั้งสี่คนเดินไปยังผนังเงาด้วยกัน
“ศิษย์พี่เหยา ศิษย์น้องมู่คนนั้นนั่งอยู่ที่ผนังเงาแผ่นที่สองมาเป็นเวลาถึงสี่เดือนกว่าแล้ว ถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร” คนที่ก่อนหน้านี้ได้รับคำสั่งจากเหยาชิงไห่ให้ไปเชิญมู่ชิงเกอให้มาพบเมื่อครั้งที่พวกเขาเข้ามาสู่ส่วนในกำลังรายงานอยู่ต่อหน้าเหยาชิงไห่
เหยาชิงไห่พยักหน้าโบกมือให้เขาถอยไป
ครุ่นคิดเล็กน้อยเขาก็เดินไปยังทางผนังเงาเช่นกัน
สถานที่แห่งนั้นเขาไม่ได้ไปนานแล้วเพราะว่าเขาใช้เวลาสามปีก็ทำความเข้าใจวิถีโอสถทั้งสิบสองชนิดได้แล้ว ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องไปอีก
“ศิษย์พี่เหยา!”
“ศิษย์พี่เหยา!”
ตลอดเส้นทางบรรดาศิษย์ของสำนักวิถีโอสถที่มองเห็นเหยาชิงไห่ต่างพากันแสดงความเคารพ
ส่วนที่อยู่ไกลออกไปก็ขยี้ตาตนเองอย่างไม่กล้าเชื่อสายตา แล้วก็พูดกับเพื่อนของตนเองอย่างตกตะลึงว่า “รีบดูเร็ว! เป็นศิษย์พี่เหยา!”
“เป็นศิษย์พี่เหยาจริงๆ! ไม่ใช่ข้าตาพร่ามัวไปเองใช่ไหม?”
“ศิษย์พี่เหยาไม่ค่อยจะไปไหนมาไหนภายในส่วนใน เหตุใดวันนี้ถึงออกมาได้?”
“ไม่รู้ ไม่แน่ใจเหมือนกัน ข้ารู้แต่ว่าข้าได้เห็นศิษย์พี่เหยาแล้ว”
“เอ? ดูเหมือนว่าเขาจะเดินไปทางผนังเงานะ”
“หรือว่าทางนั้นมีเรื่องที่ดึงดูดความสนใจของศิษย์พี่เหยา?”
“ไป พวกเรารีบไปดูทางนั้นกัน!”
มีบรรดาศิษย์จำนวนไม่น้อยที่ติดตามเหยาชิงไห่ไปยังผนังเงาโดยไม่รู้ตัว ผนังเงามีคนจำนวนมากมาอย่างกะทันหันทำให้บรรดาศิษย์ที่กำลังทำความเข้าใจผนังเงาอยู่ตื่นตกใจ
แต่ในตอนที่พวกเขามองเห็นว่าเหยาชิงไห่อยู่ในกลุ่มคนนั้นก็ตื่นเต้นจนลืมทุกอย่างพากันโอบล้อมร่างของเขาแต่ก็รักษาระยะห่างเอาไว้
“ศิษย์พี่เหยา! คิดไม่ถึงว่าเขาก็มาแล้ว” จ้าวหนานซิงมองเห็นเหยาชิงไห่แล้วนัยน์ตาก็ฉายแววหนักอึ้ง เอ่ยออกมา
คำสัญญาระหว่างเหยาชิงไห่และมู่ชิงเกอนั้นพวกเขาทั้งสี่คนล้วนแต่รู้ดี เวลานี้มู่ชิงเกอก็ยังอยู่ที่ผนังเงาแผ่นนั้นไม่ขยับไปไหน และการที่เหยาชิงไห่ปรากฎตัวอย่างกะทันหันก็ทำให้คนอดคิดเหลวไหลไม่ได้
“คงไม่ใช่ว่าเขาได้รับข่าวอะไรจึงมาหัวเราะเยาะชิงเกอหรอกนะ?” จูหลิงพูดเสียงเย็น
จ้าวหนานซิงนิ่งเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ดูไปก่อนค่อยพูดกัน สรุปแล้วไม่อาจจะให้เขาส่งผลกระทบต่อชิงเกอได้”
“อืม”
“อืม”
ซางจื่อซูและจูหลิงพยักหน้าพร้อมกัน
เหมยจื่อจ้งมองไปยังเงาแผ่นหลังของเหยาชิงไห่ แล้วพูดในใจว่า ‘เขาก็คือประมุขน้อยตระกูลเหยาที่ส่งหนังสือท้าประลองให้ชิงเกอ เหยาชิงไห่งั้นหรือ?’
เหยาชิงไห่เดินไปยังตำแหน่งของมู่ชิงเกอ ในตอนที่เขามองเห็นเงาร่างเล็กๆ ด้านข้างของนางนั่นเอง นัยน์ตาของเขาก็หดตัวลง ชักเท้าที่ก้าวออกไปกลับคืนมา
การปรากฎตัวของเขาดึงดูดความสนใจของเหลียนเฉียว เหลียนเฉียวหันกลับมามองเหยาชิงไห่ ส่วนเหยาชิงไห่ก็ยิ้มให้นางอย่างอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นการเคารพเมื่อนางมองมา
เพียงแต่ในใจของเขากลับรู้สึกตกตะลึงมาก ‘เหตุใดผู้อาวุโสบรรพบุรุษถึงมาอยู่ที่นี่ได้?’ เหลียนเฉียวยิ้มอย่างขี้เล่นแล้วก็ถอนสายตากลับมาจ้องมู่ชิงเกอต่อ
ในตอนนี้เองก็มีแสงสีทองสายหนึ่งลอยออกจากผนังเงาแผ่นเรียบพุ่งเข้าไปสู่หว่างคิ้วของมู่ชิงเกอ ร่างของนางชะงักไป จากนั้นก็ยืนขึ้นในทันที