Skip to content

พลิกปฐพี 467

ตอนที่ 467

ชิงอิงทั้งสี่รวมตัวกัน

“มีคนต้องการพบข้า?” มู่ชิงเกอคิดไม่ถึงว่าตนเองเพิ่งจะออกมาจากช่องว่างก็จะได้รับข่าวจากส่วนนอกทันที

คนที่มาส่งข่าวนั้นนางก็รู้จัก เป็นผู้หญิงที่นั่งเรือผ่านทะเลหยางไห่มากับนาง ซ่งจิ่นซาน ตอนนี้ดูจากท่าทีแล้ว นางได้ผ่านการทดสอบของสำนักวิถีโอสถและอยู่ในส่วนนอกเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่นางก็ไม่รู้ว่าเหตุใดคนที่ส่งข่าวถึงเป็นนางได้?

“ใช่มีผู้ชายสองคน ผู้หญิงหนึ่งคน          ดูแล้วล้วนแต่ไม่ใช่คนธรรมดา” ซ่งจิ่นซานพูดเสียงเบา

เรื่องที่เกี่ยวข้องกับมู่ชิงเกอได้ถูกเล่าลือไปที่ส่วนนอกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้เมื่อได้มองเห็นเขาอีกครั้ง ซ่งจิ่นซานก็ยิ่งรู้สึกว่าระยะห่างระหว่างทั้งสองยิ่งไกลขึ้นไปอีก ความเจิดจ้าของมู่ชิงเกอทำให้นางได้แต่เงยหน้าขึ้นแหงนมอง

“พวกเขาไม่ได้ประกาศชื่อและก็ไม่ได้ยื่นเทียบเข้าพบ?” มู่ชิงเกอหรี่ตาถามออกไป

ซ่งจิ่นซานค่อยๆ ส่ายหน้า “คุณชายคนหนึ่งในนั้นพูดว่า เจ้าสามารถเดาออกว่า พวกเขาคือใครได้”

สามคน? ผู้ชายสองผู้หญิงหนึ่ง…

จะเป็นใครกัน?

หยินเฉิน โห่วกับไป๋สี่?

มู่ชิงเกอค่อยๆ ส่ายหน้า นี่เป็นไปไม่ค่อยได้ นอกจากจะมีนางอยู่ด้วยมิเช่นนั้นทั้งสามจะไม่ยอมอยู่ด้วยกันเป็นอันขาด อีกทั้งหยินเฉินกำลังอยู่ในช่วงเวลาสำคัญที่จะทะลวงขอบเขต จะมาได้อย่างไร?

คิดไปถึงหยินเฉินมู่ชิงเกอก็ขมวดคิ้วขึ้น

การทะลวงขอบเขตของหยินเฉินในครั้งนี้แปลกมาก มีสัญญาณของการทะลวงขอบเขตหลายครั้ง แต่ก็เหมือนว่าขาดอะไรสักอย่าง ทำจนช่วงนี้หยินเฉินต้องกลับสู่ร่างเดิมอยู่ในลั่วซิงเฉิงตลอด

หากไม่ใช่แล้วพวกเขาจะเป็นใคร?

‘จีเหยาฮั่วและอิ๋งเจ๋อเคยพูดว่าจะมา แต่ผู้หญิงอีกคนนั้นเป็นใคร? คงไม่ใช่ซีเชียนเสวี่ยหรอกใช่ไหม! หากเป็นซีเชียนเสวี่ยก็คงจะไม่มาพร้อมกันกับสองคนนี้

หรอก’ มู่ชิงเกอครุ่นคิดอยู่ในใจ

นางเงยหน้าขึ้นมองซ่งจิ่นซานแล้วเอ่ยถามว่า “พวกเขามีรูปร่างเป็นอย่างไร?”

ซ่งจิ่นซานขมวดคิ้วย้อนคิด “คุณชายคนหนึ่งในนั้นยิ้มอยู่ตลอดเวลา ดูร่าเริงไม่สนใจพิธีการ ยังมีอีกคน แต่ดูเย็นยะเยือก ทำให้คนรู้สึกกลัว ส่วนผู้หญิงอีกคนก็ดูงดงามมีใบหน้าประดับรอยยิ้ม ดูแล้วก็ทำให้คนรู้สึกสบายใจ”

เมื่อได้ยินการอธิบายของนาง ในใจของมู่ชิงเกอก็แน่ใจแล้วว่าเป็นใคร เพียงแต่สิ่งที่ทำให้นางรู้สึกเหนือความคาดหมายก็คือจีเทียนเทียนมากับสองคนนี้ด้วย

‘หรือว่า…’ มู่ชิงเกอถอนความคิดสอดรู้สอดเห็นกลับ แล้วเอ่ยกับซ่งจิ่นซานว่า “ข้ารู้แล้ว”

ซ่งจิ่นซานได้ยินแล้วก็ไม่กล้าพูดมากอีก ย่อกายลงคำนับแล้วถอยออกไป

นางเพียงแค่มาส่งข่าวเท่านั้นไม่สามารถอยู่ในส่วนในได้นาน

คิดแล้วมู่ชิงเกอก็เดินออกจากเรือนไป เดินไปยังที่พักของเหยาชิงไห่

โชคของนางไม่เลวเลย นางเพิ่งเดินมาได้ครึ่งทางก็มองเห็นศิษย์คนที่มาเชิญนางไปพบเหยาชิงไห่คนนั้นแล้ว เมื่อมองจากทิศทางที่เขาเดินมาก็น่าจะเพิ่งมาจากที่พักของเหยาชิงไห่พอดี

นางมองเห็นคนคนนั้น คนคนนั้นก็มองเห็นนางเช่นกัน

คนคนนั้นหยุดอยู่ที่เดิมแล้วเอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “ศิษย์น้องมู่มาหาศิษย์พี่เหยางั้น

หรือ?”

มู่ชิงเกอพยักหน้า “ในเมื่อได้พบศิษย์พี่ที่นี่แล้ว ก็ขอให้ศิษย์พี่นำความไปแจ้งให้เขาด้วย บอกว่าประมุขน้อยจีและประมุขน้อยอิ๋งมาถึงแล้ว กำลังรอพบอยู่ส่วนนอก”

พูดแล้วนางก็หันกายจากไปอย่างเคร่งขรึม

คนคนนั้นชะงักอยู่ที่เดิม หลังจากลูบๆ หัวแล้วก็หันกายเดินไปยังที่พักของเหยาชิงไห่

มู่ชิงเกอเดินไปยังส่วนนอก แต่ในตอนที่เดินผ่านประตูสำนักนั้น กลับมองเห็นเหลียนเฉียวนั่งยิ้มอยู่บนกำแพง

‘นางมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?’ มู่ชิงเกอเดินอย่างช้าๆ หนึ่งเดือนมานี้นางบอกแก่คนด้านนอกว่าเก็บตัว และก็ไม่ได้พบเห็นเหลียนเฉียวอีก

เดิมทีนางคิดว่าจะหลุดพันจากการพัวพันของนางแล้ว คิดไม่ถึงว่านางจะมา

ปรากฎตัวอยู่ที่นี่

เหลียนเฉียวมองเห็นมู่ชิงเกอก็ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “กฎเดิม เจ้าทำเรื่องของเจ้า ข้าเพียงแต่ตามเจ้าไป จะไม่รบกวนเจ้าและก็จะไม่สร้างความวุ่นวาย”

มู่ชิงเกอเดินไปถึงหน้านางแล้วก็หยุดลง สีหน้ามืดครึ้มลง “เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่?” เหลียนเฉียวยักไหล่เอ่ยว่า “ข้าเคยพูดไว้แล้วว่าข้ามองดูเพื่อคลายความอยาก”

มู่ชิงเกอสูดหายใจเข้าลึกๆ เอ่ยกับนางเสียงเข้มว่า “เจ้าไม่คิดว่าทำเช่นนี้มันน่าตลกงั้นหรือ? ไม่ว่าเจ้าจะรู้สึกว่าข้ากับคนในใจของเจ้าคล้ายกันแค่ไหน สุดท้ายแล้วข้าก็ไม่ใช่เขาอยู่ดี มาพัวพันข้าเช่นนี้จะทำอะไรได้? และเรื่องจริงที่เขาไม่อยู่แล้วก็ไม่อาจเปลี่ยนได้อยู่ดี!”

คำพูดนี้ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของเหลียนเฉียวหายไป นัยน์ตาก็เย็นชาขึ้นมา นางข่มขู่ว่า “เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถทำให้เจ้าไม่สามารถเข้าร่วมงานชุมนุมใหญ่แห่งสำนักวิถีโอสถได้!”

มู่ชิงเกอยิ้มเยาะ “เชื่อ แน่นอนว่าเชื่อ เจ้าเป็นผู้อาวุโสบรรพบุรุษของสำนักวิถีโอสถ จะไม่ให้ข้าเข้าร่วมงานชุมนุมใหญ่แห่งสำนักวิถีโอสถ ก็ใช้เพียงแค่ประโยคเดียว”

“ในเมื่อเจ้ารู้ยังกล้ายั่วโมโหข้าอีก?” ใบหน้าอันน่ารักของเหลียนเฉียวเปลี่ยนเป็นบ้าคลั่ง

“ยั่วโมโห?” มู่ชิงเกอส่ายหน้ายิ้มเย็น “ข้าพูดความจริงเท่านั้น”

นางถอนหายใจ ก้มลงไป ทำให้นางสามารถสบตากับเหลียนเฉียวได้ “ถึงแม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าคนที่เจ้ารอนั้นเป็นใคร และพวกเจ้ามีความสัมพันธ์อะไรกันมา แต่หากเขาไม่อยู่แล้ว เจ้ากลับเอาแต่จมอยู่กับความคิดถึงเขาแล้วจะมีประโยชน์อะไร?”

“เขาจะต้องกลับมา! เขาเคยพูดเอาไว้ว่าเขาจะกลับมา!” เหลียนเฉียวกัดฟัน ข่มความเจ็บปวดในใจพูดออกมา

เพียงแค่คำเหล่านี้ก็ไม่รู้ว่านางพูดให้มู่ชิงเกอฟังหรือว่าให้ตัวเองฟังกันแน่

“ถึงแม้พวกเจ้าทุกคนจะบอกข้าว่าเขาไม่กลับมาแล้ว แต่ข้าก็เชื่อ! ข้าเชื่อเพียงแต่เขา เชื่อเพียงแค่คำพูดของเขาเท่านั้น!” เหลียนเฉียวตะโกนใส่มู่ชิงเกอ

พลังที่ไม่มีการควบคุมเข้าปะทะจนเลือดลมของมู่ชิงเกอปั่นป่วนกระอัก

เลือดออกมาที่ริมฝีปาก

หลังจากตะโกนเสร็จ เหลียนเฉียวก็ลอยพุ่งไป เงาร่างนั้นเหมือนกำลังหนี หลีกหนีไป

มู่ชิงเกอมองเงาแผ่นหลังของนางแล้วค่อยๆ ยืนขึ้นมา ยกมือขึ้นเช็ดเลือดที่มุมปากของตนเอง เหลียนเฉียวทำร้ายนางโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่ก็ไม่ได้เป็นอันตรายมาก อาศัยความแข็งแกร่งของร่างกายนาง ไม่จำเป็นต้องใช้ยาก็ฟื้นฟูกลับสู่ปกติได้ในพริบตา

ในตลาดของสำนักวิถีโอสถส่วนนอก มู่ชิงเกอเดินหาโรงเตี๊ยมตามคำที่ทิ้งเอาไว้ได้อย่างสบายๆ

“ชิงเกอ เจ้ามาแล้ว!”

เพียงแค่เข้ามา มู่ชิงเกอก็มองเห็นใบหน้าเปื้อนยิ้มของจีเหยาฮั่ว นางยิ้มแล้วกวาดตามองอีกสองคน

เป็นอิ๋งเจ๋อและจีเทียนเทียนจริงๆ

เพียงแต่ถึงทั้งสองคนจะนั่งอยู่ แต่ก็นั่งห่างกันมาก ไม่ได้สนิทสนมอย่างที่นางคิดเอาไว้

“เจ้าเมืองมู่ อาการเจ็บป่วยของเทียนเทียนหายดีแล้ว ครั้งนี้ได้ยินว่าพวกพี่ชายมาให้กำลังใจเจ้าเมืองมู่ เทียนเทียนจึงขอมาด้วย เพื่อขอบคุณด้วยตนเอง” จีเทียนเทียนยืนขึ้นมา ย่อคำนับมู่ชิงเกอ

อิ๋งเจ๋อก็ยืนขึ้นมา พยักหน้าให้กับมู่ชิงเกอ

“ยินดีกับคุณหนูจีด้วย” มู่ชิงเกอพยักหน้ายิ้ม

“รีบนั่งลง ทุกคนไม่ใช่คนแปลกหน้าอะไร”จีเหยาฮั่วพูด

มู่ชิงเกอนั่งลง ทั้งสี่คนนั่งรวมกันในโต๊ะ นางมองเห็นบนโต๊ะไม่มีอาหารอะไรจึงหันมองจีเหยาฮั่วอย่างแปลกใจ

จีเหยาฮั่วยิ้มแล้วเอ่ยว่า “โรงเตี้ยมนอกสำนักวิถีโอสถ ส่วนมากก็เป็นอาหาร

สมุนไพร ข้าไม่ค่อยชอบ เทียนเทียนและอิ๋งเจ๋อก็บอกให้รอเจ้ามาสั่ง”

มู่ชิงเกอพยักหน้า นางยิ้มแล้วเอ่ยกับทั้งสามคนว่า “อย่าเกรงใจ คิดจะกินอะไรก็สั่งเลย จะสั่งทุกอย่างที่โรงเตี้ยมมีก็ได้”

คำพูดของมู่ชิงเกอทำให้จีเทียนเทียนกะพริบตา

อิ๋งเจ๋อก็มองมู่ชิงเกออย่างสงสัย

มีเพียงแค่จีเหยาฮั่วที่ยื่นมือเข้ามาคิดจะลูบหน้าผากของมู่ชิงเกอ เอ่ยถามตรงๆ ว่า “เจ้าป่วยหรือเปล่า? เหตุใดถึงได้ใจกว้างอย่างกะทันหันเช่นนี้ได้?”

มู่ชิงเกอหลบหลีกมือของเขาแล้วเอ่ยว่า “พูดจนข้าดูเหมือนคนใจแคบ”

“ก็ไม่ใจแคบ แต่ไม่เหมือนเป็นเจ้า!”จีเหยาฮั่วพูดออกมา

เวลานี้เองก็มีคนมาเคาะประตู

ทั้งสี่คนมองไปนอกประตู จีเหยาฮั่วร้องเรียก “เข้ามา”

เมื่อประตูเปิด คนที่เดินเข้ามาก็คือเหยาชิงไห่ หลังจากเขามองคนที่อยู่ในห้องแล้ว ก็ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ทุกท่าน ขออภัยด้วย ข้ามาสายหน่อย”

“เหยาชิงไห่?”

จีเหยาฮั่วยืนขึ้นมาอย่างตกตะลึง

อิ๋งเจ๋อก็มองมาที่เขา ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย นัยน์ตาเต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ เขาเคยพูดแล้วว่าการมาสำนักวิถีโอสถในครั้งนี้ นอกจากจะมาให้กำลังโจมู่ชิงเกอแล้ว ก็คือมาท้าประลองกับเหยาชิงไห่

มู่ชิงเกอชี้มือไปที่เหยาชิงไห่ แล้วพูดอย่างเรียบเฉยว่า “คนที่จะเลี้ยงมาแล้ว”

คำพูดของมู่ชิงเกอทำให้พวกจีเหยาฮั่วแปลกใจมากยิ่งขึ้น

ส่วนหลังจากเหยาชิงไห่ตะลึงแล้ว ก็ยิ้มเอ่ยว่า “ทุกท่านคิดจะทานอะไรก็เชิญสั่งได้เลย วันนี้ข้าเลี้ยงเอง”

พูดแล้วเขาก็เรียกบ่าวของโรงเตี๊ยมเข้ามา แล้วเอ่ยกับทุกคนว่า “ทุกท่านเดินทางมาไกล ไม่สู้ลองชิมน้ำแกงของที่นี่ น้ำแกงของที่นี่ใช้สมุนไพรนานาชนิดตุ๋นออกมามีประโยชน์ต่อร่างกายมาก”

จีเหยาฮั่วถ่ายทอดเสียงไปถามมู่ชิงเกอว่า ‘ไม่ใช่ว่าพวกเจ้าต้องต่อสู้กันงั้นหรือ? เหตุใดจึงดูปรองดองเช่นนี้?’

มู่ชิงเกอยิ้ม แล้วก็ส่งเสียงไปว่า ‘เขาอยากจะร่วมเดินทางไปสุสานเทพกับพวกเรา’

คำอธิบายของมู่ชิงเกอทำให้จเหยาฮั่วเข้าใจ แล้วก็สบตากับอิ๋งเจ๋อแวบหนึ่ง

ทั้งสองคนสื่อสารกันทางสายตาและก็เข้าใจความหมายกันแล้ว

‘เช่นนั้นความหมายของเจ้าก็คือ…’ จีเหยาฮั่วเอ่ยถามมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอยิ้มกว้าง ‘ข้าบอกเขาว่าในเมื่อเป็นกลุ่มก็ต้องให้ทุกคนยอมรับเขาก่อน’

นัยน์ตาของจีเหยาฮั่วหดตัวลง จ้องมู่ชิงเกอ ทันใดนั้นก็หัวเราะ ‘เฮอ เฮอ’ ขึ้นมา ‘เจ้าชั่วร้ายมาก!’

ชั่วขณะนั้นมู่ชิงเกอก็รู้สึกขนลุกขึ้นมา พูดอย่างรังเกียจว่า ‘อย่าใช้น้ำเสียงแบบนั้นมาพูดกับข้า น่าสะอิดสะเอียน!’

แต่จีเหยาฮั่วก็ไม่สนใจคำพูดของมู่ชิงเกอ

เขาเข้าใจความหมายของมู่ชิงเกอแล้ว และจะร่วมมือเต็มที่ เขายืนขึ้นมาแล้วก็ทักทายเหยาชิงไห่ “มา มา มา ประมุขน้อยเหยาเชิญนั่ง”

เหยาชิงไห่ยิ้มแล้วหาที่นั่ง นั่งลง

โต๊ะภายในน้องนี้แต่เดิมก็มีสิบที่นั่ง ดังนั้น แม้ว่าพวกเขาทั้งห้าคนจะนั่งลงไปก็ยังดูกว้างขวางมาก ไม่ดูอึดอัด

หลังจากนั่งลงแล้ว เหยาชิงไห่ก็พยักหน้าให้กับอิ๋งเจ๋อก่อน จากนั้นก็มองไปยังจีเทียนเทียนแล้วยิ้มออกมา “คุณหนูจี พวกเราพบกันอีกแล้ว”

“พวกเจ้าเคยพบกันแล้ว?”จีเหยาฮั่วพูดอย่างแปลกใจ

แม้แต่อิ๋งเจ๋อก็ค่อยๆ ขมวดคิ้วดูเหมือนคิดอะไร

จีเทียนเทียนทักทายเหยาชิงไห่ แล้วก็เอ่ยตอบว่า “ประมุขน้อยเหยา ไม่ได้เจอกันนาน”

พูดจบแล้วก็อธิบายกับพี่ชายของตนเองว่า “ครั้งก่อนมากับบิดาและได้พบประมุขน้อยเหยาครั้งหนึ่งพร้อมกับเจ้าสำนักวิถีโอสถ”

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!”จีเหยาฮั่วพยักหน้า

“คุณหนูจี ร่างกายหายดีหรือยัง?” เหยาชิงไห่เอ่ยขึ้นมา

จีเทียนเทียนยิ้มหวานพยักหน้าพูดว่า “ขอบคุณประมุขน้อยเหยาที่เป็นห่วง ข้าหายดีแล้ว”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!