Skip to content

พลิกปฐพี 468

ตอนที่ 468

งานชุมนุมใหญ่ของสำนักวิถีโอสถ

จีเทียนเทียนยิ้มหวาน พยักหน้าเอ่ยว่า “ขอบคุณประมุขน้อยเหยาที่เป็นห่วง ข้าหายดีแล้ว”

“เป็นเช่นนั้นก็ดี” เหยาชิงไห่พยักหน้ายิ้ม

ทั้งสองคนทักทายกันตามมารยาทไปไม่กี่ประโยค มู่ชิงเกอมองเห็นอิ๋งเจ๋อ

แผ่กระจายไอความเย็นยะเยือกออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ มุมปากจึงเกิดรอยยิ้มขี้เล่นขึ้นมา แค่ก แค่ก ไม่อาจไม่พูดได้ว่า จากการพยายามของซือมั่วทำให้นางเริ่มเข้าใจเรื่องราวระหว่างชายหญิงขึ้นมาบ้าง

อย่างน้อยนางก็มองออกว่าอิ๋งเจ๋อรู้สึกไม่พอโจ

“ที่ประมุขน้อยเหยามาที่นี่ก็คงไม่ได้มาเพื่อเลี้ยงต้อนรับแขกอย่างเดียวใช่ไหม?” ทันใดนั้นอิ๋งเจ๋อก็ถามขึ้นมา

คำพูดของเขาทำให้ทั้งสี่คนมองมาที่เขา

จีเหยาฮั่วกะพริบตาอย่างมึนงง ไม่เข้าใจว่าอิ๋งเจ๋อกินยาอะไรผิดมา ตามปกติแล้วเรื่องพวกนี้เขาจะเป็นเหมือนเพียงก้อนน้ำแข็งหรือไม่ก็ท่อนไม้ที่นั่งฟังเฉยๆ เท่านั้นไม่ใช่หรือ?

จีเทียนเทียนก็มองเขาอย่างประหลาดใจ แต่ทันใดนั้นนัยน์ตาของนางก็ฉายแวว

ยินดี แล้วก็ก้มหน้าลงซ่อนสีหน้าเอาไว้

มู่ชิงเกอเผยสีหน้ารอดูเรื่องสนุก

มีเพียงเหยาชิงไห่ที่ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ ยังไม่รู้ว่าเมื่อครู่ตนเองทำอะไรผิดไป จึงได้แต่ตอบคำอิ๋งเจ๋อไปว่า “ไม่ผิด ที่ข้ามาในวันนี้ก็ยังมาเพื่อเรื่องอีกเรื่องหนึ่ง”

อิ๋งเจ๋อเม้มริมปีปาก รอคำพูดต่อไปของเขา บนโต๊ะอาหารกลายเป็นเงียบขึ้นมา

เวลานี้มู่ชิงเกอก็พิงพนักเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน ท่าทางผ่อนคลายทำตัวเป็นเหมือนคนนอก

ปฏิกิริยาของมู่ชิงเกอทำให้เหยาชิงไห่ที่มองมาอดยิ้มอย่างขมขื่นขึ้นมาไม่ได้ ชัดเจนว่าเขาได้พูดกับอีกฝ่ายมาก่อนแล้ว มาตอนนี้เขากลับวางตัวดั่งเป็นคนนอก ทำให้เขารู้สึกเหมือนว่าตนเองไม่ได้รับการต้อนรับ!

แต่ไม่สนว่าจะอย่างไร เหยาชิงไห่ก็ยังต้องทำตามเป้าหมายของตนเองให้สำเร็จให้ได้

เขาเอ่ยกับจีเหยาฮั่วและอิ๋งเจ๋อว่า “หลังจากนี้อีกสี่ปีกว่า สุสานเทพจะเปิดออก ข่าวคราวนี้ได้ถูกส่งไปยังตระกูลบรรพกาลต่างๆ ประมุขน้อยทั้งสองท่านก็คงจะรู้แล้ว?”

จีเหยาฮั่วยิ้มพยักหน้า ส่วนอิ๋งเจ๋อก็ยังคงรักษาความเงียบ

ในความเป็นจริงพวกเขาทั้งสองคนแล้วก็มู่ชิงเกอรู้เรื่องนี้มานานแล้ว หากจะพูดตามคำของจีเหยาฮั่ว ใครใช้ให้ธิดาเทพซีเป็นคนของพวกเขาล่ะ?

เหยาชิงไห่ชะงัก เอ่ยปากว่า “ข้าหวังว่าจะสามารถร่วมกลุ่มกับทุกท่านได้ ไปสุสานเทพด้วยกัน”

เขาพูดจุดมุ่งหมายของตนเองออกไป แต่ว่าภายในห้องกลับเงียบเชียบมาก

อิ๋งเจ๋อเม้มปากไม่พูดจา

จีเหยาฮั่วก็หมอบอยู่บนโต๊ะ สองมือเท้าบนโต๊ะ นิ้วเรียวยาวเล่นกับจอกชาว่างเปล่า ยิ้มแล้วพูดว่า “ประมุขน้อยเหยา ไม่ใช่ว่าข้าจงใจสร้างความลำบากให้เจ้า เจ้าก็รู้ว่าสุสานเทพนั้นมีอันตรายมากมาย และต้องเผชิญหน้ากับใครและเรื่องอะไรก็ไม่มีใครรู้แน่ชัด ประมุขน้อยเหยาคิดจะเข้าร่วมกับพวกเรา ก็ต้องเป็นเพราะมองเห็นกำลังของพวกเรา แต่เหตุใดพวกเราต้องยอมตกลงด้วยล่ะ?”

คำพูดของเขาฟังดูเหมือนเป็นการโจมตี

แต่ความจริงก็เป็นเช่นนี้

การฝึกฝนเช่นนี้ ไม่สามารถรับคนที่ไม่จำเป็นเข้ามาเพียงเพราะไมตรีได้

จีเหยาฮั่วพูดต่อว่า “หากจะพูดถึงกำลัง ความสามารถในการรบ ฝั่งทางพวกเรา นอกจากจะมีอันดับหนึ่งแห่งทำเนียบชิงอิงแล้ว ก็ยังมีอันดับสามอย่างข้า”

จากนั้นก็ชี้ไปที่อิ๋งเจ๋อ “แล้วก็ยังมีอันดับที่ห้าอีก”

“หากว่าพูดถึงการปรุงยา ถึงแม้ว่าเจ้าจะร้ายกาจ แต่พวกเราก็ไม่ได้ด้อย!

ไม่เช่นนั้นเจ้าก็คงจะไม่ประลองปรุงยากับเขาในงานชุมนุมใหญ่ของสำนักวิถีโอสถ พูดถึงการวางแผนหรือความเป็นผู้นำ ชิงเกอก็ยิ่งไม่แพ้ใคร ดังนั้น การเข้าร่วมของเจ้าจะให้ประโยชน์อะไรแก่พวกเรา?” จีเหยาฮั่วพูดยิ้มๆ แต่เมื่อพูดจบ แล้วกลับทำให้คนยากที่จะต่อคำ

เหยาชิงไห่เป็นถึงศิษย์เอกแห่งสำนักวิถีโอสถ เป็นอันดับสี่แห่งทำเนียบชิงอิง มาตอนนี้เมื่ออยู่ในคำพดของจีเหยาฮั่วแล้วกลับกลายเป็นเหมือนคนไม่มีประโยชน์

หากว่าเขามีนิสัยหยิ่งผยองกว่านี้หน่อย เกรงว่าคงจะสะบัดเสื้อจากไปแล้ว

ดีที่เหยาชิงไห่เป็นอาจารย์ปรุงยา ถึงแม้นิสัยของอาจารย์ปรุงยาจะหยิ่งทะนงไปบ้าง แต่ก็ให้ความสำคัญกับการรักษาความสงบและสุขุม รวมกับที่เขาให้ความสำคัญกับสุสานเทพมาก หลังจากคิดทบทวนถึงแผนการและผลได้ผลเสียดีแล้ว ถึงได้ตัดสินใจจะเข้าร่วมกับพวกมู่ชิงเกอ แล้วจะถูกคำพูดสองสามประโยคของจีเหยาฮั่วโจมตีจนละทิ้งได้อย่างไร?

ดังนั้นหลังจากจีเหยาฮั่วพูดจบ เขาก็ครุ่นคิดเล็กน้อย ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ฟังประมุขน้อยจีพูดเช่นนี้ ข้ารู้สึกว่าตนเองไม่มีประโยชน์เลย”

คำพูดของเขาทำให้ท่าทีของจีเหยาฮั่วเปลี่ยนเป็นขี้เล่นขึ้นมา

“แต่ว่า” เหยาชิงไห่นิ่งไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “มีบางครั้ง กำลังที่ไม่ได้ใส่ใจอาจเป็นกำลังสำคัญในช่วงสำคัญได้ สำหรับพวกเจ้าแล้ว จะมีข้าเข้าร่วมหรือไม่ก็ได้ แต่หากเผชิญหน้ากับอันตรายแล้วสิ่งที่พวกเจ้าขาดกลับเป็นกำลังเช่นข้าละ? พูดกลับกัน หากว่าข้าไปร่วมกับกลุ่มอื่น เช่นนั้นผลกระทบต่อพวกเจ้าก็จะไม่ได้มีเพียงแค่นิดเดียว? ผลักไสข้าไปร่วมกับกลุ่มอื่นเพิ่มความลำบากให้พวกเจ้า ยังไม่สู้รับข้าเอาไว้อย่างน้อยก็ลดความกังวลใจ”

จีเหยาฮั่วล้าปากค้างมองเขาแล้วก็มองมู่ชิงเกอเหมือนกำลังเอ่ยว่า ‘หน้าหนา

เกินไปแล้ว!’

มู่ชิงเกอรู้สึกขบขันในใจ ถ่ายทอดเสียงไปพูดว่า ‘รู้จักความร้ายกาจแล้วใช่ไหม’

จีเหยาฮั่วพยักหน้าเงียบๆ

แต่เขายังไม่ทันได้ถอนอารมณ์ในทันที ยืดหลังตรงแล้วเอ่ยกับเหยาชิงไห่ว่า “เจ้าพูดเช่นนี้ ข้าก็จะไม่โต้เถียงกับเจ้าต่อ แต่หากเจ้าไปกับพวกเราจะสามารถทำอะไรได้?”

สามารถทำอะไรได้?

พวกเขาไม่ได้มีไมตรีต่อกัน ทำได้เพียงแต่พูดคุยเรื่องผลประโยชน์เท่านั้น หากว่าไม่มีทั้งสอง หากพาเขาไปด้วย เหยาชิงไห่กลับจะเป็นกังวลเรื่องความมั่นใจของพวกเขา

ดังนั้นหลังจากจีเหยาฮั่วถามคำถามนี้ออกไป เขาก็นิ่งคิดไปครู่หนึ่งจึงพูดว่า “ทางโอสถ ข้าจะรับผิดชอบครึ่งหนึ่ง อีกอย่างในระหว่างการเดินทาง ข้าจะแบ่งปันข้อมูลที่ข้ามีกับพวกเจ้า และหากเผชิญหน้ากับกลุ่มอื่นๆ ข้าก็จะต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับพวกเจ้า”

“ยังต้องเพิ่มอีกจุดหนึ่ง!”จีเหยาฮั่วเสริมออกมา

เหยาชิงไห่เลิกคิ้วเอ่ยว่า “เชิญพูด”

จีเหยาฮั่วใช้สองมือยันโต๊ะยืนขึ้นมา ใช้นัยน์ตาที่ดุดันมองดูเขา แล้วพูดเน้นทีละคำว่า “นั่นก็คือไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ต้องทำตามคำสั่งของชิงเกอ! ห้ามกระทำการตามอำเภอใจหรือแอบซ่อนความคิดอื่นเด็ดขาด!”

“ได้! ตกลงตามนี้!” เหยาชิงไห่ยืนขึ้นมาแล้วตอบตกลงอย่างจริงจัง

เมื่อเห็นเขาตอบตกลงอย่างเด็ดขาดแล้ว จีเหยาฮั่วก็ยิ้มออกมา “นี่ก็พอสมควรแล้ว!”

“ข้ามีข้อเสนออย่างหนึ่ง” ทันใดนั้นเหยาชิงไห่ก็พูดออกมา

“พูดมารอฟังอยู่” จีเหยาฮั่วนั่งลงแล้วเอ่ยกับเขา

เหยาชิงไห่เอ่ยว่า “เพื่อความเข้าใจระหว่างพวกเรา ข้าแนะนำว่าพวกเราควรจะไปหาที่ฝึกร่วมกันก่อนเข้าสู่สุสานเทพ สนามรบโบราณแห่งเทพมารเป็นทางเลือกที่ไม่เลว”

เพียงแต่ เมื่อเขาพูดจบ เขาก็มองเห็นว่าใบหน้าของอีกสามคนนอกจากจีเทียนเทียนฉายแววแปลกประหลาด

“ไม่จำเป็นแล้ว” ประโยคนี้ อิ๋งเจ๋อเป็นคนพูดออกมา

การปฏิเสธของเขาทำให้เหยาชิงไห่ขมวดคิ้วขึ้น

เวลานี้จีเหยาฮั่วก็พูดอย่างไม่สนใจพิธีรีตองว่า “เรื่องนั้นไม่จำเป็นแล้ว”

ปฏิกิริยาของทั้งสองคนทำให้เหยาชิงไห่ไม่เข้าใจ สุดท้ายเขาจึงมองไปยังมู่ชิงเกอ

ภายในสายตามีคำถาม

มู่ชิงเกอเงยหน้ามองเขา เผยยิ้มออกมา “พวกเราเพิ่งจะกลับออกมาจากสนามรบโบราณแห่งเทพมารเมื่อไม่นานมานี้”

คำตอบนี้ทำให้มุมปากของเหยาชิงไห่กระตุก

เขาค่อยๆ นั่งลง ยิ้มในใจอย่างหมดทางเลือก ดูแล้ว ภายในกลุ่มนี้คนที่ต้องทำความเข้าใจก็มีแต่เขาเท่านั้น

ในตอนนี้มู่ชิงเกอก็ยืนขึ้นมา แล้วเอ่ยกับไม่กี่คนนี้ว่า “ก่อนเข้าไปในสุสานเทพก็ฝึกฝนใครฝึกฝนมันไปเถอะ ฉวยโอกาสก่อนจะเข้าไปพัฒนาฝีมือของตนเองให้มากๆ”

ยามค่ำคืน หลังจากเหยาชิงไห่บอกลาไม่กี่คนนั้นแล้วก็กลับไปยังส่วนใน เขาไม่ได้กลับที่พักของตนเองเพื่อพักผ่อน แต่ไปยังที่พักของอาจารย์ตนเอง

“อาจารย์” เหยาชิงไห่คุกเข่าอยู่บนพื้น ทำความเคารพเจ้าสำนักวิถีโอสถที่นั่งสมาธิอยู่

เจ้าสำนักวิถีโอสถค่อยๆ พูดขึ้นว่า “อืม มาดึกขนาดนี้มีเรื่องอะไรงั้นหรือ?”

เหยาชิงไห่เงยหน้าขึ้น วางสองมือไว้บนเข่าทั้งสอง “ศิษย์ไปพบจีเหยาฮั่วและอิ๋งเจ๋อมา และก็ตกลงจะไปสุสานเทพพร้อมกันกับพวกเขา”

“ยังมีมู่ชิงเกออีกใช่ไหม?” นัยน์ตาของเจ้าสำนักวิถีโอสถขยับเล็กห้อย

“ขอรับ” เหยาชิงไห่ตอบ

เจ้าสำนักวิถีโอสถนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งถึงได้ค่อยๆ เอ่ยขึ้นว่า “อืม เข้าไปกับพวกเขา ข้าก็วางใจขึ้นมาหน่อย หลังจากเข้าไปในสุสานเทพแล้ว สถานที่ที่ข้าบอกให้เจ้าไป เจ้ายังจำได้หรือไม่?”

“ศิษย์ไม่กล้าลืม” เหยาชิงไห่พยักหน้าเอ่ย

“ดี” เจ้าสำนักวิถีโอสถพูด แล้วก็ถอนหายใจเอ่ยอีกว่า “หลายพันปีมาแล้ว ในที่สุดสุสานเทพก็เปิด จะสามารถคลายปมในใจของผู้อาวุโสบรรพบุรุษได้หรือไม่ก็ต้องดูที่เจ้าแล้ว ชิงไห่ อย่าทำให้อาจารย์ผิดหวัง”

“ศิษย์จะทำตามคำสั่งของอาจารย์!” เหยาชิงไห่โขกศีรษะให้เจ้าสำนักวิถีโอสถ

“เรื่องของงานชุมนุมใหญ่ของสำนักวิถีโอสถ เจ้าเตรียมการเป็นอย่างไรแล้วบ้าง? ครั้งนี้มีความมั่นใจว่าจะปรุงยาระดับมหาเทพออกมาได้ไหม?” เจ้าสำนักวิถีโอสถ เอ่ยถาม

เหยาชิงไห่มีท่าทีที่ดูเรียบเฉย ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “วิถีโอสถของตัวศิษย์เองถือว่าสำเร็จเล็กน้อยแล้ว สำหรับการปรุงยาระดับมหาเทพก็มีความมั่นใจประมาณเจ็ดส่วน ส่วนอีกสามส่วนก็แล้วแต่ฟ้าลิขิต”

“ฟ้าลิขิต” เจ้าสำนักวิถีโอสถค่อยๆ เงยหน้าขึ้น มองลอดรูวงกลมตรงยอด มองไปยังดวงดาวนับหมื่น แล้วพึมพำว่า “ระดับยายิ่งสูงขึ้นก็ยิ่งฝืนชะตาฟ้า ในเมื่อฝืนชะตาฟ้าแล้วจะสนใจฟ้าลิขิตอีกทำไม? ชิงไห่ เจ้ายังฝึกปรือไม่พอ!”

คำพูดของอาจารย์ทำให้เหยาชิงไห่นิ่งเงียบลงมา

ในใจของเขาไม่มีคำตอบโต้ เพียงแต่ครุ่นคิดถึงคำพูดทุกคำของอาจารย์อย่าง

ละเอียด

ในที่สุดก็มาถึงวันเปิดงานชุมนุมใหญ่ของสำนักวิถีโอสถ

เหตุการณ์นี้สั่นสะเทือนไปทั้งห้าภาค ไม่ว่าจะได้รับเทียบเชิญจากสำนักวิถีโอสถ หรือว่าไม่ได้รับเทียบเชิญก็พากันมาที่แห่งนี้

แต่คนที่จะสามารถเข้าร่วมชมการแข่งขันศาสตร์การปรุงยาในครั้งนี้ได้ก็มีจำกัด รอบงานชุมนุมใหญ่ของสำนักวิถีโอสถมีอัฒจันทร์รูปครึ่งวงกลม สามารถรองรับคนถึงแสนคน

ส่วนจำนวนคนทั้งโลกแห่งยุคกลางจะใช้คำว่าแสนอธิบายได้อย่างไร? แม้แต่จำนวนของคนในเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่งก็ไม่ได้มีแค่หนึ่งแสนคนแล้ว ดังนั้นคนที่มีสิทธิ์ได้ร่วมชมการแข่งขันในครั้งนี้ก็มีเพียงผู้มีชื่อเสียงและบรรดาตระกูลสูงเท่านั้น

คนที่ไม่สามารถเข้ามาได้ก็ทำได้เพียงแต่เบียดกันอยู่ในตลาดของสำนักวิถีโอสถส่วนนอก มองเหตุการณ์ด้านในผ่านกระจกดำ

วันเปิดงาน บนลานแข่งขันของงานชุมนุมใหญ่ของสำนักวิถีโอสถยังไม่มีบรรดาอาจารย์ปรุงยาที่เข้าร่วมแข่งขันเข้ามา แต่ด้านนอกส่วนนอกก็มีคนเต็มไปหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นบนถนนหรือว่าโรงน้ำชาก็มีคนอยู่เต็มไปหมด

ส่วนกลางท้องฟ้าที่ส่วนนอกก็มีกระจกดำขนาดใหญ่จัดวางเอาไว้นานแล้ว

กระจกดำลอยสูงอยู่กลางอากาศ สามารถทำให้คนที่อยู่ที่นี่ ไม่ว่าจะอยู่ที่มุมไหนก็สามารถมองเห็นภายในกระจกได้ กระจกดำอันนี้เป็นสมบัติชิ้นหนึ่งของสำนักวิถีโอสถ พูดกันว่าเป็นสิ่งที่ปรมาจารย์บรรพบุรุษผู้เปิดสำนักวิถีโอสถนำมาจากแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมาร

ไม่เพียงแต่สามารถมองภาพได้ แต่ยังสามารถฟังเสียงได้อีกด้วย ที่สำคัญก็คือ กระจกดำไม่ได้มีเพียงบานเดียว ยังมีอีกบานที่เล็กหน่อย ถูกห้อยอยู่ในสำนักวิถีโอสถส่วนใน ให้ปรมาจารย์บัญญัติโอสถสามารถร่วมรับชมไปด้วยได้

แต่ไหนแต่ไรมา ในงานชุมนุมใหญ่ของสำนักวิถีโอสถ เจ้าสำนักวิถีโอสถและบรรดาอาจารย์ปรุงยาที่มีชื่อเสียงก็มักจะชมดูอยู่ในส่วนใน จนกระทั่งการแข่งขันจบลงแล้วค่อยออกมาปรากฎตัว

ทุกอย่างถูกจัดเตรียมไว้พร้อมแล้ว

คนที่ยืนอยู่ในเมืองส่วนนอกล้วนแต่แหงนหน้ามองกระจกดำ ภายในกระจก บนลานการแข่งขันยังไม่มีคนสักคน มีเพียงแต่แท่นเวทีปรุงยาที่ถูกจัดเอาไว้ก่อนแล้ว ดูจากท่าทางแล้ว คนที่จะเข้าร่วมงานชุมนุมใหญ่ของสำนักวิถีโอสถในครั้งนี้ยังไม่ทันได้เข้าสู่ลานแข่งขัน

ส่วนผู้ชมทั้งหนึ่งแสนรอบด้านก็มีบรรดาตระกูลใหญ่ที่มาจากภาคต่างๆ นั่งอยู่เต็มไปหมดแล้ว ภายในบรรดาตระกูลเหล่านี้ มีตระกูลบรรพกาลเยอะที่สุด มีส่วนน้อยที่มาจากตระกูลที่เพิ่งจะมีชื่อเสียง

แต่ไม่ว่าจะมีชื่อเสียงแค่ไหน ภายในสายตาของตระกูลบรรพกาลเหล่านี้ก็เป็น

เพียงพวกมีชื่อเสียงใหม่เท่านั้น

พวกเขาล้วนแต่หยิ่งผยองในสถานะของตนเอง ไม่ยอมที่จะคบหาพูดคุยมากกับคนในตระกูลเหล่านี้

นอกจากตัวแทนของแต่ละตระกูลแล้ว ก็มีคนจากตำหนักเทพ ตัวแทนที่ตำหนักเทพส่งมาในครั้งนี้ไม่ใช่ซีเซียนเสวี่ย แต่เป็นทูตเทวะผู้หนึ่ง เขามาพร้อมกับคนของตำหนักเทพ นั่งอยู่ตรงกลางสุดของอัฒจันทร์ ด้านซ้ายและขวาของเขาล้วนแต่เป็นตระกูลบรรพกาลชั้นแนวหน้าของทั้งห้าภาค

ตระกูลฉั่วแห่งภาคใต้

ตระกูลอิ๋งและตระกูลซางแห่งภาคตะวันตก

ตระกูลจีแห่งภาคเหนือ

ตระกูลเหยาแห่งภาคตะวันออก

ตระกูลซีแห่งภาคกลาง

ตระกูลซางแห่งภาคตะวันตก หากไม่เกิดอาจารย์หลอมศาสตราระดับมหาเทพ อย่างมู่ชิงเกอขึ้นมา ก็ไม่มีสิทธิ์จะมานั่งตรงนี้ ครั้งนี้คนของตระกูลซางที่มาก็คือซางซุ่นหวางเอง แล้วก็ยังมีมู่เสวี่ยอู่ หลานสาวของตนเองร่วมงานชุมนุมใหญ่ของสำนักวิถีโอสถ เขาจะไม่มาเองได้อย่างไร?

หากไม่ใช่ว่าจำเป็นต้องดูแลร่างของมู่เหลียนเฉิงที่มู่ชิงเกอวางไว้ที่ตระกูลซางแล้ว เกรงว่าซางหลันรั่วคงจะมาด้วย

ส่วนตระกูลซี คนที่มาก็ไม่ใช่ซีเซียนเสวี่ย         แต่เป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งของตระกูลซี

รอบด้านก็จะเป็นบรรดาตระกูลที่อ่อนแอลงมาหน่อย

หานฉายไฉ่มาเป็นตัวแทนตระกูลหาน นั่งอยู่ตำแหน่งที่ใกล้กับใจกลาง ห่างจากตรงกลางเพียงแค่ก้าวเดียว

ลั่วซิงเฉิงก็ส่งตัวแทนมา เป็นมู่เฟิงและมู่เฉินสองคน ที่พวกเขามาที่นี่ นอกจากจะเป็นการแสดงตำแหน่งของลั่วซิงเฉิงในโลกแห่งยุคกลางแล้ว ก็เพื่อมาให้กำลังใจนายน้อยของตนเอง

“ท่านตา วันนี้ลูกพี่จะชนะไหม?” ความใหญ่โตของงานชุมนุมใหญ่ของสำนักวิถีโอสถทำให้มู่เสวี่ยอู่เกิดความหวาดกลัวขึ้นในใจ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!