ตอนที่ 469
วิถีโอสถของมู่ซิงเกอ
“ท่านตา วันนี้ลูกพี่จะชนะหรือไม่?” ความใหญ่โตของงานชุมนุมใหญ่แห่งสำนักวิถีโอสถทำให้มู่เสวี่ยอู่รู้สึกหวาดกลัว
ซางซุ่นหวางมั่นใจในตัวมู่ชิงเกอมาก เขาอายุปูนนี้แล้ว และก็ไม่ใช่คนที่จะตื่นตกใจกับสถานการณ์รอบข้างได้ง่ายๆ ดังนั้น เขาจึงพยักหน้าแล้วเอ่ยกับมู่เสวี่ยอู่ว่า “วางใจเถอะ ชิงเกอจะต้องไม่แพ้”
คำพูดของเขาถูกทูตเทวะที่นั่งอยู่ตรงกลางได้ยินเข้า จึงอดไม่ได้ที่จะหันมามองเขาแล้วเอ่ยว่า “ประมุขตระกูลซาง ท่านมั่นใจในตัวหลานคนนี้มากทีเดียว เดิมข้าคิดว่าตระกูลซางมีหลานนอกสกุลที่เป็นอัจฉริยะด้านการหลอมศาสตราปรากฎออกมา คิดไม่ถึงว่าอาจารย์หลอมศาสตราระดับมหาเทพผู้นี้จะยังเป็นอาจารย์ปรุงยาอีกด้วย”
คำพูดดูเหมือนเป็นคำทักทายทั่วไป
แต่ซางซุ่นหวางได้ยินแล้วกลับหัวใจเต้นแรง ครุ่นคิดถึงคำพูดของทูตเทวะไปรอบหนึ่ง แล้วก็เอ่ยตอบอย่างระมัดระวังว่า “ทูตเทวะชมเกินไปแล้ว แค่โชคดีก็เท่านั้นเอง”
“โชคดี?” นัยน์ตาของทูตเทวะฉายแววหยิ่งผยอง พูดช้าๆ ว่า “อัจฉริยะเช่นนี้ไม่อาจใช้คำว่าโชคดีอธิบายได้ด
ซางซุ่นหวางยิ้มออกมา ไม่ได้พูดอะไร
เขาไม่ต่อคำ ทูตเทวะมองเขาแวบหนึ่งแล้วก็ถอนสายตากลับ ไม่ได้พูดถึงมู่ชิงเกอต่อ
เมื่อประเด็นจบลงไป ซางซุ่นหวางก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
มู่เสวี่ยอู่ดึงเสื้อของเขาเบาๆ แล้วเอ่ยถามเบาๆ ว่า “ท่านตา ทูตเทวะหมายความว่าอย่างไร?”
หมายความว่าอย่างไร?
แววตาของซางซุ่นหวางเปลี่ยนไป พูดเสียงตํ่าว่า “กลัวว่าตำหนักเทพจะหมายตาชิงเกอแล้วคิดจะรับนางเข้าไปในตำหนักเทพเพื่อควบคุม”
“ท่านตา?” ความนิ่งเงียบของซางซุ่นหวางทำให้มู่เสวี่ยอู่ร้อนใจขึ้นมา
ซางซุ่นหวางสงบอารมณ์ ยื่นมือออกไปตบหลังมือของมู่เสวี่ยอู่เพื่อให้นางสงบลง
สรุปแล้วหลังจากงานชุมนุมใหญ่แห่งสำนักวิถีโอสถสิ้นสุดลง เขาก็ต้องคุยกับชิงเกอ พูดคุยว่าหลังจากนี้จะทำอย่างไรต่อไป
“งานชุมนุมใหญ่แห่งสำนักวิถีโอสถในครั้งนี้น่าสนใจมาก!” ภายในอัฒจันทร์เกิดเสียงพูดคุยขึ้นมาอย่างดุเดอด
“ใช่แล้ว! ใครจะคาดคิดว่าอาจารย์หลอมศาสตราระดับมหาเทพเพียงหนึ่งเดียวในโลกแห่งยุคกลางของพวกเรา จะยังเป็นอาจารย์ปรุงยาอีกด้วย ได้ยินมาว่าระดับก็ไม่ได้ต่ำ ถูกรับเข้าส่วนในเป็นพิเศษ ในงานชุมนุมใหญ่แห่งสำนักวิถีโอสถในครั้งนี้เป็นเหมือนการแข่งขันระหว่างหงส์และมังกร!”
“เหยาชิงไห่แห่งตระกูลเหยานั้นเป็นศิษย์เอกแห่งสำนักวิถีโอสถ เจ้าสำนักวิถีโอสถคนปัจจุบันก็เคยพูดว่าเขาคืออาจารย์ปรุงยาอันดับหนึ่งในอนาคต ส่วนเจ้าเมืองมู่ก็เป็นความหวังของตระกูลซาง ทั้งยังเป็นอาจารย์หลอมศาสตราระดับมหาเทพเพียงหนึ่งเดียว สองเสือมาพบกันก็ต้องวัดว่าใครสูงใครตํ่า พวกเจ้าว่าใครจะแพ้ใครจะชนะ?”
“ไม่ว่าใครจะแพ้ใครจะชนะ วันนี้ก็ต้องมีเรื่องสนุกให้ดู!”
“ข้าคิดว่าน่าจะยังเป็นประมุขน้อยเหยามีโอกาสชนะสูงกว่า”
“เอ? อย่างไรกัน?”
“พวกเจ้าลองคิดดู ไม่ว่าจะเป็นการหลอมศาสตราหรือว่าปรุงยาก็ต้องใช้เวลาและความชำนาญ คนคนหนึ่งมีความสามารถจำกัด ถึงเจ้าเมืองมู่จะเก่งกาจแค่ไหนก็ไม่อาจเก่งได้ทุกด้านกระมัง? เป็นอันดับหนึ่งบนทำเนียบชิงอิงก็แสดงถึงว่าเป็นอันดับหนึ่งในรุ่นเดียวกันแล้ว อาจารย์หลอมศาสตราระดับมหาเทพก็ไม่ใช่จะได้มาง่ายๆ เพียงแค่สองอันนี้ เขาก็สูญเสียพละกำลังไปมากมายแล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะสามารถปรุงยาได้ก็ไม่อาจเหนือกว่าประมุขน้อยเหยาที่เรียนวิถีโอสถและเป็นอัจฉริยะในด้านนั้นมาตั้งแต่เล็กได้กระมัง?”
มู่ชิงเกอแบ่งใจออกเป็นสาม ส่วนเหยาชิงไห่มุ่งเน้นศึกษาวิถีโอสถ
การวิเคราะห์เช่นนี้ดูแล้วก็มีเหตุผลมาก ดึงดูดให้คนจำนวนไม่น้อยเห็นด้วย
“อืม มีเหตุผล หากเป็นเช่นนี้แล้ว ไม่ว่าจะแข่งขันกันอย่างดุเดือดเพียงใด บทสรุปก็ได้ถูกกำหนดเอาไว้แล้วงั้นหรือ?”
“นั้นมันแน่นอนอยู่แล้ว!” คนที่วิเคราะห์ในก่อนหน้านี้ยืดอกพูด
“แต่ว่า…,” มีคนลังเล “ข้ามีญาติศึกษาวิถีโอสถอยู่ในส่วนในของสำนักวิถีโอสถ เขาลอบบอกข้าว่า เจ้าเมืองมู่นั้นไม่ธรรมดาเลย เริ่มแรกประมุขน้อยเหยาใช้เวลาสามปีทำความเข้าใจวิถีโอสถทั้งสิบสองชนิดได้ แต่เขาใช้เวลาเพียงสี่เดือนก็ทำความเข้าใจหมดแล้ว” เฮือก!
คำพูดของเขาทำให้คนรอบด้านส่งเสียงออกมา
แม้แต่คนที่วิเคราะห์ในก่อนหน้านี้ว่าเหยาชิงไห่จะเป็นคนชนะก็มีสีหน้าครึ้มลง นัยน์ตาฉายแววหวั่นไหว
“ถึงจะทำความเข้าใจได้แล้วจะเป็นอย่างไร? ถึงอย่างไรประมุขน้อยเหยาก็สัมผัสกับวิถีโอสถมาก่อนเขา และก็เข้าใจมานานกว่า เกรงว่าคงจะเข้าใจได้มากกว่าหน่อย” มีคนโต้แย้งออกมา
“พูดเช่นนี้ก็ไม่ผิด”
“เมื่อพูดเช่นนี้ ประมุขน้อยเหยาคงมีโอกาสชนะมากกว่าใช่ไหม?”
“ใช่!”
หลังจากผ่านการวิเคราะห์อย่างละเอียดแล้ว คนที่วิเคราะห์ต่างพากันพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
นอกลานแข่งขันงานชุมนุมใหญ่ของสำนักวิถีโอสถ นอกสำนักวิถีโอสถส่วนนอก คนที่ไม่สามารถเข้ามาด้านในได้ต่างพากันพูดคุยเกี่ยวกับมู่ชิงเกอและเหยาชิงไห่
ที่สำคัญก็คือไม่รู้ว่าใครเป็นคนปล่อยข่าวที่มู่ชิงเกอเข้าร่วมงานชุมนุมใหญ่ของสำนักวิถีโอสถออกไป
รวมถึงเรื่องที่นางทำความเข้าใจวิถีโอสถทั้งสิบสองชนิดได้และนัดประลองศาสตร์การปรุงยากับเหยาชิงไห่ในงานชุมนุมใหญ่ของสำนักวิถีโอสถก็ล้วนถูกลือออกไป
สองเสือปะทะกันดึงดูดให้ทุกคนสนใจ
จนความหมายของงานชุมนุมใหญ่ของสำนักวิถีโอสถถูกลดความสำคัญลงไม่น้อย
ด้านหลังลานแข่งขัน ภายในเรือนเงียบสงบแห่งหนึ่ง
ที่นี่เป็นสถานที่ที่สำนักวิถีโอสถจัดเตรียมไว้ให้แก่ผู้เข้าแข่งขันพักผ่อนโดยเฉพาะ การปรุงยามุ่งเน้นที่จิตใจ ดังนั้นก่อนที่จะเริ่มการแข่งขันต้องทำจิตใจของตนเองให้สงบ ทำให้จิตวิญญาณอยู่ในจุดที่สมบูรณ์ที่สุด ซึ่งเป็นเรื่องที่อาจารย์ปรุงยาทุกคนต้องทำ มู่ชิงเกอเองก็ไม่ยกเว้น
เพียงแต่นางไม่เหมือนกับคนอื่นๆ ที่นั่งสมาธิทำจิตใจให้สงบเพื่อเตรียมแข่งขัน แต่เป็นเอนตัวอยู่บนเก้าอี้อย่างผ่อนคลาย ยกสองขาขึ้นบนโต๊ะแล้วก็จิบชา
เทียบกับความผ่อนคลายของนางแล้ว ท่าทางที่ดูจริงจังของคนอื่นกลายเป็นน่ากระดากใจไป
เห็นได้ชัดว่านางถึงเป็นคนที่ไม่เข้าพวก!
อาจารย์ปรุงยาที่เข้าร่วมการแข่งขันจำนวนไม่น้อยที่รู้สึกอดสูในใจ ลอบออกไปจากพื้นที่ที่มู่ชิงเกออยู่ กลัวว่าจะได้รับอิทธิพลจากอารมณ์ของนางทำให้จิตวิญญาณของตนเองสั่นไหว
“เฮ้อ ครั้งนี้ต้องแข่งกับศิษย์พี่เหยาก็แล้วไป แต่เจ้าเมืองมู่ผู้นี้ยังมาอีก ดูแล้วงานชุมนุมใหญ่ของสำนักวิถีโอสถในครั้งนี้ของพวกเราคงกลายเป็นแค่สนามซ้อมมือเท่านั้น”
“ใช่! เตรียมตัวอย่างลำบากมาตั้งนาน สุดท้ายแล้วก็ต้องมาพบกับสองปีศาจร่วมกันสังหาร ช่างซวยจริงๆ!
”ข้าไม่มีอารมณ์แล้ว’’
“อย่าเป็นเช่นนั้น งานชุมนุมใหญ่ของสำนักวิถีโอสถเป็นกิจกรรมใหญ่ของทั่วโลกแห่งยุคกลาง ถึงแม้อันดับหนึ่งและสองจะไม่มีวาสนากับพวกเรา พวกเราพยายามปรุงยาออกมาให้ดี ก็จะมีชื่อเสียงเช่นกัน”
“พูดเช่นนั้นก็ไม่ผิด แต่ในความเป็นจริงหลังจากรู้ว่าสองคนนั้นจะเข้าร่วมแข่งขันด้วยแล้ว ข้าก็คิดจะถอนตัวเลย”
“ถอนตัว? เจ้าจะยอมแพ้โดยที่ไม่สู้เลยงั้นหรือ?”
“ไม่ใช่! ข้าเพียงแต่คิดว่า หลังจากถอนตัวออกไปแล้ว ข้าจะได้สามารถตั้งใจดูการปรุงยาของสองคนนี้ได้ เหตุการณ์เช่นนี้ไม่ได้พบเห็นได้บ่อยๆ!”
“พรึ่บ!”
ประโยคนี้ทำให้อาจารย์ปรุงยาจำนวนไม่น้อยเกิดฉุกคิดขึ้นมา
ค่อยๆ รู้สึกว่ามีเหตุผลมาก ใช่แล้ว…ถึงอย่างไรก็ชนะการแข่งขันไม่ได้ ไม่สู้ไป ดูอัจฉริยะสองคนปรุงยา ดูสิว่าจะได้รับประโยชน์อะไรไหม
“ข้าได้ยินมาว่า ศิษย์พี่เหยาเข้าใจวิถีโอสถของตนเองแล้ว การปรุงยาในครั้งนี้น่าจะปรุงยาระดับมหาเทพกลายเป็นอาจารย์ปรุงยาระดับมหาเทพคนที่สองของสำนักวิถีโอสถ!”
“เฮ้? ข้าก็ได้ยินมา แต่ความสามารถของเจ้าเมืองมู่ก็น่าตื่นตะลึง ใช้เวลาเพียงแค่สี่เดือนก็ทำความเข้าใจวิถีโอสถทั้งสิบสองชนิดได้แล้ว ถึงแม้จะไม่สามารถเข้าใจวิถีโอสถของตนเองได้ภายในเวลาหนึ่งเดือน แต่หากทำตามวิถีโอสถสิบสองชนิดนั้นก็ไม่แน่ว่าอาจจะสามารถ ปรุงยาระดับมหาเทพออกมาได้เช่นกัน! อีกอย่างข้าก็ยังได้ยินมาว่า…เจ้าเมืองมู่นั้นครอบครองขอบเขตสมบูรณ์ ที่พวกเราทุกคนล้วนแต่ปรารถนา!”
“แค่ก แค่ก ดูคึกคัก! ดูคึกคักจริงๆ!” เมื่อคนคนนี้พูดจบก็หันกายเดินออกไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว
คนอื่นไม่เข้าใจจึงถามว่า “นี่ เจ้าจะไปไหน?”
คนคนนั้นตอบโดยไม่หันหน้ากลับมาว่า “ข้าจะไปถอนตัว! งานชุมนุมใหญ่ของสำนักวิถีโอสถยังสามารถเข้าร่วมอีกครั้งได้ แต่การประลองระหว่างหงส์และมังกรในวันนี้มีเพียงแค่ครั้งเดียว ไม่อาจพลาดได้!”
คำพูดของเขาเหมือนฟาดเข้าไปในสมองของกลุ่มอาจารย์ปรุงยาเหล่านี้ ทำให้พวกเขาได้สติขึ้นมาชั่วขณะ
พวกเขาพากันทยอยไปยังทิศที่เขาจากไปโดยไม่ลังเล เพื่อไปถอนตัวเช่นเดียวกัน ตลอดเส้นทางก็พบเจออาจารย์ปรุงยาบางส่วนที่เข้าร่วมสนับสนุนให้ทุกคนร่วมกันถอนตัวด้วยกัน
การพูดคุยกันของคนเหล่านี้ไม่พ้นลอยเข้าหูของมู่ชิงเกอ ไม่ใช่ว่านางจงใจลอบฟัง แต่เป็นเพราะประสาทสัมผัสทั้งห้าของนางนั้นดีกว่าคนอื่น แม้ว่าคิดจะปิดหูก็ยังยากที่จะห้ามไม่ให้คำพูดเหล่านี้ลอยเข้ามาในหูของนาง
เมื่อมองเห็นกลุ่มคนเหล่านี้เร่งรีบไปถอนตัว มู่ชิงเกอเล่นกับจอกชาในมือแล้วยิ้มบางๆ
นางไม่ได้หัวเราะที่คนเหล่านี้รู้ถึงความสามารถของตนเองดี แต่เป็นเพราะคิดว่าน่าสนใจ
บางครั้งอาจารย์ปรุงยาและอาจารย์หลอมศาสตราก็ล้วนแต่มีปณิธานเป็นของตนเอง ในใจของพวกเขานั้น การได้ชมการประลองปรุงยาหรือหลอมศาสตราล้วนแต่เป็นประสบการณ์ที่หาได้ยาก
“คนละ?” เวลานี้เองก็มีเสียงแปลกใจดังขึ้นข้างประตู มู่ชิงเกอค่อยๆ หันไปมองคนที่ยืนอยู่ข้างประตู ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “พวกเขาไปถอนตัวแล้ว”
“ถอนตัว?” เหยาชิงไห่ชะงัก ทันใดนั้นก็เข้าใจขึ้นมา เขาส่ายหน้ายิ้มบางๆ ไม่ได้รู้สึกอะไรกับการเลือกของคนอื่น แต่กลับเดินเข้ามานั่งลงตรงหน้าของมู่ชิงเกอ ยืดกายตรงมองดูเขา
เมื่อเห็นท่าทีที่ดูผ่อนคลายของเขาแล้วนัยน์ตาของเขาก็หดตัวลง ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ท่าทีเช่นนี้ของเจ้ายิ่งทำให้ข้ารู้สึกกดดันมากขึ้น”
นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแววขบขัน “ข้ายังคิดว่าประมุขน้อยเหยามีความมั่นใจในวิถีโอสถของตนเองเสียอีก”
“แน่นอนว่ามั่นใจ” เหยาชิงไห่พยักหน้าเอ่ย “แต่ว่าข้ากลับสงสัยมากกว่า ว่าภายในเวลาหนึ่งเดือน เจ้าได้รับอะไรมาบ้าง?”
ทันใดนั้นเขาก็เก็บท่าทีที่ดูผ่อนคลายบนใบหน้ากลับไป จ้องมองมู่ชิงเกอ ใช้นํ้าเสียงที่จริงจังเอ่ยว่า “เจ้าค้นพบวิถีโอสถของตนเองหรือยัง?”
“ปัญหานี้…” มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้น ยิ้มแต่ไม่ตอบ
“มู่ชิงเกอ” ทันใดนั้นก็มีเสียงของผู้หญิงดังเข้ามาขัดจังหวะการพูดคุยของพวกเขาทั้งสองคน
มู่ชิงเกอกับเหยาชิงไห่หันไปยังกรอบประตูพร้อมกัน และก็เห็นเหลียนเฉียวเดินเข้ามา ใบหน้าของทั้งสองคนแสดงอารมณ์ที่แตกต่างกัน
“ผู้อาวุโสบรรพบุรุษ!” เหยาชิงไห่ยืนขึ้นในทันใด คำนับเหลียนเฉียว
เหลียนเฉียวกลับมองเขาแวบหนึ่ง เพียงเอ่ยอย่างรำคาญว่า “ข้ามีเรื่องจะพูดกับมู่ชิงเกอ เจ้าออกไปก่อน”
เหยาชิงไห่ไม่กล้าฝืนคำสั่ง ทำได้เพียงมองไปยังมู่ชิงเกอแวบหนึ่งด้วยท่าทีที่ดูเคร่งขรึม เมื่อเห็นเขาดูสงบมาก ถึงได้ออกไปจากห้อง หลังจากเขาไปแล้ว มู่ชิงเกอถึงได้ถอนท่าทีที่ดูผ่อนคลายกลับ เอาขาลงจากโต๊ะ ขมวดคิ้วมองเหลียนเฉียวที่กำลังเดินมาหานาง