ตอนที่ 473
ยาระดับมหาเทพสองเม็ด
ทุกสถานที่ในและนอกสำนักวิถีโอสถล้วนแต่ได้รับผลกระทบทั้งสิ้น คนนับแสน นับล้านเหมือนกับถูกคำสาป ให้หยุดนิ่งอยู่กับที่ ขยับไปไหนไม่ได้…
พวกเขาไม่สามารถขยับร่างกายได้ แต่สติยังคงแจ่มชัดดีอยู่ ยังสามารถมองเห็นและพูดจาได้
“เกิดอะไรขึ้น? ข้าขยับไม่ได้!”
“ข้าก็เหมือนกัน!
“ข้าก็ด้วย!”
“พวกเราถูกคนควบคุมเอาไว้งั้นหรือ?”
“ไม่รู้ แต่นอกจากขยับไม่ได้แล้วสิ่งอื่นก็ปกติดี”
“ยังสามารถมองเห็นและพูดจาได้”
นอกกระจกสีดำอันใหญ่ บนถนนภายในโรงเตี๊ยมและโรงนํ้าชาต่างก็เต็มไปด้วยผู้คนที่เบียดเสียดกัน พวกเขาพากันตกตะลึงไปกับเหตุการณ์ในตอนนี้ บางคนในกลุ่มพวกเขายังอยู่ในท่าทางที่กำลังหลบหนี มองไปแล้วก็ดูแปลกประหลาดและน่าขบขันมาก
ด้านนอกกระจกสีดำอันเล็ก บรรดาอาจารย์ปรุงยาในสำนักวิถีโอสถก็ล้วนแต่อยู่ในท่าทางก่อนหน้านี้ สีหน้านั้นดูตกตะลึงมาก
นัยน์ตาของเจ้าสำนักวิถีโอสถเต็มไปด้วยความตกตะลึง เขามองไปยังเหลียนเฉียวราวกับกำลังถามว่า ‘พวกเขามาแล้วหรือ!’
เหลียนเฉียวก็หยุดนิ่งอยู่ตรงที่เดิมเช่นเดียวกัน นางรับรู้ถึงความหมายที่เจ้าสำนักวิถีโอสถต้องการจะสื่อ จึงพูดไปว่า “ไม่ใช่พวกเขา”
นัยน์ตาของนางฉายแววมืดครึ้ม หากว่าเป็นพวกเขามาแล้วนางจะไม่รู้สึกอะไรเลยได้ อย่างไร?
“บางทีอาจจะเป็นยอดฝีมือสักคนอยากให้พวกเราดูการปรุงยาด้วยความสงบ” เหลียนเฉียวเอ่ยถึงการคาดเดาที่ค่อนข้างใกล้เคียงกับความจริงออกมา
ในขณะเดียวกันภายในลานปรุงยา คนนับแสนก็นั่งลงอย่างพร้อมเพรียงกัน ร่างกายถูกยึดติดอยู่กับที่นั่ง ขยับไม่ได้เพราะคำพูดเพียงประโยคเดียวของซือมั่ว
ทุกคนเป็นเหมือนกันคือการสื่อสารระหว่างพวกเขาไม่มีอุปสรรคเพียงแต่ไม่สามารถไปจากที่นี่ได้ก็เท่านั้น
มุมปากของซือมั่วเผยรอยยิ้มจางๆ เสี่ยวเกอเอ๋อร์ของเขาไม่เพียงแต่ต้องการคนดู ยังต้องการเสียงปรบมือและเสียงแสดงความยินดีอีกด้วย
“ข้าขยับไม่ได้แล้ว” จีเหยาฮั่วกลอกตาไปทางอิ๋งเจ๋อแล้วพูดออกมา
อิ๋งเจ๋อมีสีหน้าเคร่งขรึมพูดขึ้นว่า “ข้าก็เช่นกัน”
จีเทียนเทียนก็พูดขึ้นว่า “ดูเหมือนจะไม่ใช่แค่เพียงพวกเราเท่านั้น แต่ทุกๆ คน…ไม่สิ ไม่ถูก เจ้าเมืองมู่และ ประมุขน้อยเหยาไม่ได้รับผลกระทบไปด้วย แต่นอกจากพวกเขาแล้วคนอื่นๆ ล้วนแต่ขยับไม่ได้”
คำพูดของนางทำให้นัยน์ตาของจีเหยาฮั่วและอิ๋งเจ๋อ ฉายแววตกตะลึง
พวกเขามองไปยังคนสองคนที่กำลังปรุงยาต่อไป ถึงท้องฟ้าจะมืดครึ้มและมีสายฟ้าแลบแปลบปลาบแต่พวกเขาก็ยังปรุงยาต่อไปอย่างสงบ
แต่เมื่อมองไปยังคนนับแสนบนอัฒจันทร์เล่า?
แม้แต่ทูตเทวะผู้สูงส่งจากตำหนักเทพที่นั่งอยู่บริเวณใจกลางอัฒจันทร์เองก็ยังทำได้เพียงนั่งตัวตรงอยู่บนที่นั่งของตน
นี่มัน…เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?
คำถามนี้ปรากฎขึ้นในใจของคนจำนวนนับไม่ถ้วน
ในตอนนี้เอง นัยน์ตาเรียวยาวของหานฉายไฉ่กลับฉายแวววาบ คาดเดาในใจว่า ‘เขาคนนั้นมาแล้วงั้นหรือ?’
มีเพียงคนคนนั้นถึงจะมีความสามารถในการควบคุมทุกคนที่นี่ได้
เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้นี้และยังมีเรื่องที่เขาคอยคุ้มครองมู่ชิงเกออยู่ข้างกายก็ทำให้หานฉายไฉ่รู้สึกเจ็บปวดใจ และก็ทำให้เขารู้สึกหดหู่มากยิ่งขึ้น
เพราะผู้ชายที่แข็งแกร่งคนนี้สามารถคุ้มครองมู่ชิงเกอได้ สามารถทำให้นางได้ทุกอย่าง ส่วนตนเอง.. .ไม่เพียงไม่มีสิทธิ์นี้ แต่ยังไม่มีความสามารถนี้ด้วย
คนรอบด้านล้วนแต่กำลังตกตะลึงในความผิดปกติของตนเอง
พวกเขาค่อยๆ รู้สึกได้ว่านอกจากร่างกายที่ไม่สามารถขยับได้แล้ว ส่วนอื่นทุกอย่างก็ล้วนแต่ปกติดี จิตใจที่ตื่นตกใจจึงค่อยๆ ผ่อนคลายลงมา
ประมุขตระกูลเหยาที่นั่งอยู่บนใจกลางอัฒจันทร์เอ่ยปากถามว่า “ท่านทูตเทวะ นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
เขาหันหลังพูดกับทูตเทวะ ท่าทางเช่นนี้ดูไร้มารยาทมาก แต่เขาก็ไม่มีวิธีอื่นเพราะร่างกายของเขาไม่สามารถขยับได้
คำถามนี้ทำให้คนของตระกูลอื่นล้วนแต่ตั้งใจฟัง คิดอยากจะฟังคำตอบของทูตเทวะ
ทูตเทวะที่ทุกคนตั้งตารอ เดิมทีก็คิดจะเผยรอยยิ้มสูงส่งออกมาแต่พอเขาออกแรงขยับริมฝีปาก ก็พบว่าขยับไม่ได้
ความอับอายปรากฎขึ้นในดวงตาของเขาวูบหนึ่ง เขาไม่คิดจะยิ้มอีกเพียงใช้นํ้าเสียงที่เรียบสงบเอ่ยตอบว่า “ไม่มีอันตราย ทุกคนดูการปรุงยาไปก็พอ เมื่อมีผู้แพ้ผู้ชนะออกมาแล้วก็จะกลับเป็นปกติเอง”
ในใจของเขาก็พอจะคาดเดาออกว่าต้องมียอดฝีมืออยู่ในที่แห่งนี้และคิดอยากจะให้ทุกคนดูงานชุมนุมใหญ่ของสำนักวิถีโอสถอย่างสงบ
แต่เป็นใครนั้นเขาเองก็ไม่รู้
เพียงสงสัยว่าอาจจะเป็นเฒ่าประหลาดระดับข้ามผ่าน
แต่ว่า…
คำตอบของทูตเทวะ ทำให้ในใจของทุกคนผ่อนคลายลงมา แต่นัยน์ตาของตัวเขาเองกลับฉายแววสงสัย เฒ่าประหลาดระดับข้ามผ่านมีความสามารถถึงขนาดนี้เชียวหรือ?’
และเขาก็คิดไปถึงคำพูดที่นักบวชเทวะเคยพูด
นักบวชเทวะเคยพูดว่าสุสานเทพไม่ได้เปิดมานับพันปี
ช่วงเวลานี้ไม่มีใครจากโลกแห่งยุคกลางสามารถเข้าไปสู่แผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารได้ บรรดาเฒ่าประหลาดระดับข้ามผ่านที่ผ่านเคราะห์อัสนีสามครั้ง สะสมพลังฝึกปรือมาไม่รู้ตั้งกี่ปี ก็ไม่มีใครรู้ว่าจะมีพลังมากน้อยแค่ไหน
เมื่อคิดถึงคำพูดที่นักบวชเทวะเคยพูด ในใจของเขาก็ยิ่งแน่ใจในการคาดเดาของตนเอง
หลังจากแน่ใจแล้วสายตาของทูตเทวะก็ตกไปอยู่ที่หม้อผลาญสวรรค์อีกครั้ง นัยน์ตาของเขามืดครึ้มยากจะคาดเดา ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
ฟ้าดินเปลี่ยนสี เมฆลมพัดกระหนํ่า สายฟ้าแลบแปลบปลาบ
บนลานประลองของงานชุมนุมใหญ่ของสำนักวิถีโอสถ นอกจากมู่ชิงเกอและเหยาชิงไห่ที่ยังปรุงยาต่อแล้ว อาจารย์ปรุงยาคนอื่นๆ ล้วนแต่วิ่งหนีหายไปจนหมด
ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง!
บนท้องฟ้าปรากฎสายฟ้าดุจดั่งงูตัวเล็กหลายสายผ่าล มา เมื่อตกลงมาโดนบนหม้อปรุงยาที่ถูกทิ้งไว้เหล่านั้นก็ทำให้มันระเบิดออกเป็นชิ้นๆ กลิ่นอายการทำลายล้างนั้นกระจายไปทั่วฟ้าดิน ทำให้ในใจของผู้คนเกิดความหวาดกลัว
“ชิงเกอปรุงยาอะไรกันแน่?” นํ้าเสียงของจูหลิงสั่นระริก
คนที่ตาดีล้วนแต่รู้ว่าปรากฏการณ์เช่นนี้มู่ชิงเกอเป็นผู้สร้างขึ้นมา เพราะก่อนหน้านี้ปรากฏการณ์ที่เหยาชิงไห่สร้างออกมานั้น ถึงจะน่าตกตะลึงแต่ก็ไม่ได้ดูยิ่งใหญ่ขนาดนี้และไม่ได้ส่งผลให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี
ริมฝีปากของซางจื่อซูเม้มแน่นจนซีดขาว “ไม่รู้สิ”
“บางที สิ่งที่เกิดขึ้นนี้อาจจะไม่ได้เกิดขึ้นจากผลของยา แต่อาจจะเป็นระดับ” ทันใดนั้นเหมยจื่อจ้งก็เอ่ยออกมา
นัยน์ตาของจ้าวหนานชิงหดตัวลงเอ่ยอย่างตกตะลึงว่า “ยาระดับมหาเทพจะทำให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้งั้นหรือ?”
คำพูดของเขาทำให้คนอื่นๆ มองไปยังเหยาชิงไห่ที่ถูกแสงสีฟ้าปกคลุม บทสรุปข้อหนึ่งปรากฎออกมาว่าการปรุงยาระดับมหาเทพก็ไม่ได้ทำให้เกิดเหตุการณ์อันน่าตกตะลึงกันทุกคน
“บางที…” สายตาของเหมยจื่อจ้งฉายแววครุ่นคิด ครู่หนึ่งเขาถึงได้เอ่ยว่า “วิถีโอสถอาจจะต้องได้รับการชำระล้าง…”
สรุปแล้วก็เกี่ยวข้องกับวิถีโอสถของพวกเขา
เกิดการคาดเดาต่างๆ นานา ขึ้นในใจของทุกคน
เมฆลมแปรเปลี่ยน ฟ้าพิโรธ แต่มู่ชิงเกอกลับไม่ได้รับผลกระทบใดๆ นางยังคงปรุงยาของนางต่อไป ภายในหม้อผลาญสวรรค์ วัตถุดิบยาทั้งหมดถูกปรุงเสร็จแล้ว ตอนนี้ก็คือกระบวนการขึ้นรูปยาที่สำคัญที่สุด
กระบวนการนี้หากไม่ระวังจะทำให้ยาและหม้อเกิดระเบิดขึ้นได้
มู่ชิงเกอกำลังขึ้นรูปยา เหยาชิงไห่เองก็เช่นเดียวกัน
ในตอนนี้เอง ศักดิ์ศรีของวิถีฟ้าเหมือนได้รับการท้าทาย มันโมโหยิ่งขึ้นกว่าเดิม สายฟ้าแลบแปลบปลาบอย่างบ้าคลั่ง แล้วสายฟ้าก็ผ่าลงมาอีกครั้ง แต่กิเลนเพลิงด้านหลังของมู่ชิงเกอก็พุ่งออกมาจากตัวของนาง แหงนหน้าพุ่งทะยานเข้าใส่สายฟ้าเหล่านั้น
มันอ้าปากกว้างกลืนสายฟ้าที่ฟาดผ่าลงมา แล้วก็กลับมาอยู่ข้างกายของมู่ชิงเกอคอยคุ้มครองความปลอดภัยให้นางดังเดิม กิเลนเพลิงตัวนี้ราวกับเป็นสัญลักษณ์แห่งวิถีโอสถของมู่ชิงเกอ
มันคิดจะสร้างวิถีให้สำเร็จก็ต้องได้รับการชำระล้างจากทัณฑ์สวรรค์ ฝ่าฝืนกฎเพื่อกลายเป็นวิถีของตัวมู่ชิงเกอเอง
สายฟ้าฟาดลงบนตัวของกิเลนเพลิง มันส่งเสียงคำรามไปทางแผ่นฟ้าด้วยความโมโห ดวงตาใหญ่ราวกับกระพรวนทองแดงทั้งคู่ฉายแววดูแคลน เหมือนกับสายตาของมู่ชิงเกอไม่มีผิด
วิถีฝืนชะตาฟ้าเป็นจิตวิญญาณของมู่ชิงเกอ แสดงถึงเจตจำนงของนาง ดุจดั่งร่างแยกของนาง
กลางอากาศเกิดพายุหมุนขึ้นมาในทันใด ปากกว้างสีดำอันนั้นดุจดั่งจะอ้าปากกลืนวิถีฝืนชะตาฟ้าอันโอหังลงไปในคำเดียว!
แต่กิเลนเพลิงก็ไม่ได้เกรงกลัว มันส่งเสียงคำรามส่งเปลวไฟหลายดวงพุ่งเข้าไปยังหลุมดำนั้น ราวกับคิดจะเผาทำลายทั้งผืนฟ้า
ฉากนี้ทำให้ทุกคนตกตะลึง
ตอนนี้พวกเขาไม่อาจใช้คำใดมาอธิบายอารมณ์ของพวกเขาในตอนนี้ได้ พวกเขารู้เพียงแต่ว่าภาพตรงหน้านั้นน่าตกตะลึงจนเกินไป
แม้จะเป็นคนที่ไม่รู้จักวิถีโอสถก็ยังค่อยๆ เกิดการตระหนักรู้ในตอนที่เห็นกิเลนเพลิงต่อต้านสวรรค์
ไม่ยอมสยบ ไม่ประนีประนอม ไม่ยอมรับชะตากรรม ไม่ขลาดเขลา ไม่ยอมถอย ไม่กริ่งเกรง!
นี่ก็คือวิถีฝืนชะตาฟ้า!
ขอเพียงทำตามใจข้า วิถีฝืนชะตาฟ้า ควบคุมชะตาขอ ข้า พลิกควํ่าชะตาเป็นตาย! ชีวิตของข้า ข้าขอตัดสิน ไม่ขึ้นกับฟ้า!
มู่ชิงเกอเบิกตากว้าง แสงสว่างในดวงตาราวกับจะพุ่งออกมาด้านนอก นางตะคอกเสียงตํ่าว่า “วิถีของข้าคือ วิถีฝืนชะตาฟ้า เดิมทีชีวิตของข้าก็ฝืนชะตาแห่งฟ้า ข้าเกิดใหม่อีกครั้งจากทะเลเลือดและกองซากศพ ชะตาชีวิตอยู่ในมือของข้า จะให้ฟ้ากำหนดได้อย่างไร? ดังนั้น
วิถีโอสถของข้าก็ควรจะเป็นวิถีฝืนชะตาฟ้า!
เมื่อเสียงของนางหลุดออกไปกิเลนเพลิงที่กำลังต่อต้านสวรรค์ก็ชะงักลงกะทันหัน เปลวไฟรอบกายของมันลุกโชนแสบตามากยิ่งขึ้น มันเงยหน้าร้องคำรามยาว พ่นเปลวไฟลูกใหญ่ออกมาจากปากเหมือนคิดจะเผาไหม้หลุมดำที่คิดจะกลืนกินมัน
จากนั้นมันก็หันตัวกลับพุ่งเข้าไปในหม้อผลาญสวรรค์อย่างรวดเร็ว ผสานเข้ากับตัวยาเพื่อขึ้นรูป
“เฮือก!”
รอบด้านเกิดเสียงสูดลมหายใจดังขึ้นพร้อมกับเสียงร้องอย่างตกใจ
ขณะเดียวกัน เกราะสีฟ้าของเหยาชิงไห่ก็หลอมรวมเข้าไปในหม้อยา ให้ยาได้ผสานเข้ากับวิถีโอสถ
วิถีโอสถหลอมรวมเข้ากับยาถึงจะกลายเป็นยาระดับมหาเทพ!
ยาระดับมหาเทพสองเม็ดกำลังค่อยๆ ขึ้นรูปอยู่ในหม้อปรุงยา พวกมันอยู่ในหม้อของใครของมัน ลอยวนอย่างรวดเร็ว ส่วนจิตวิญญาณของมู่ชิงเกอและเหยาชิงไห่ก็ถูกใส่เข้าไปในนั้นอย่างรวดเร็ว เพื่อควบคุมกระบวนการสุดท้าย
สวรรค์ดูเหมือนจะรู้แล้ว และยังรู้สึกหมดปัญญากับความโอหังของมู่ชิงเกอ
หลุมดำถูกเผาไหม้จนค่อยๆ จางหายไป เสียงฟ้าผ่าและสายฟ้าแลบหายไป ท้องฟ้ากลับมาสว่างไสวอีกครั้ง ความพิโรธจากสวรรค์ดูเหมือนจะค่อยๆ สงบลงแล้ว
ในตอนนี้เองกลิ่นหอมของยาที่ไม่เคยมีมาก่อนก็เข้ามาแทนที่ความตกตะลึงก่อนหน้านี้ ทุกคนสูดดมมันเข้าไป รู้สึกตื่นเต้นมากขึ้นกว่าเดิม
“ยาระดับมหาเทพ…ยาระดับมหาเทพ ไม่รู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์มหัศจรรย์อะไรขึ้นอีก!” จ้าวหนานชิงพึมพำออกมาอย่างตื่นเต้น สองมือของเขาถูกกำเอาไว้แน่น และสั่นสะท้านขึ้นมา
ทันใดนั้นก็มีพิรุณโอสถสองสายตกลงมา ทุกเม็ดล้วนแต่เป็นยาระดับจิตวิญญาณ สาดกระจายอยู่กลางอากาศ ส่วนบนหม้อปรุงยาของมู่ชิงเกอและเหยาชิงไห่ ก็รวมตัวกันเป็นเมฆาโอสถเป็นชั้นๆ ส่องแสงเจิดจ้าหลากสีสัน
ท้องฟ้าที่สว่างสดใสปรากฎแสงสีทองตกลงมาจากชั้นเมฆ นำพากลิ่นอายอันมงคลสาดลงบนหม้อปรุงยาของเหยาชิงไห่และมู่ชิงเกอ
ดูเหมือนจะเป็นการต้อนรับการกำเนิดของยาระดับมหาเทพ
แต่ในตอนที่แสงสีทองกำลังจะตกลงบนหม้อปรุงยานั้น นัยน์ตาของมู่ชิงเกอกลับหดตัวลง นางได้กลิ่นพลังทำลายล้างที่ซ่อนอยู่ในนั้น
‘นี่ไม่ใช่กลิ่นอายมงคล! แต่ต้องการจะทำลายล้าง! ทำลายล้างยาระดับมหาเทพที่ฝืนชะตาฟ้า!’ ทันใดนั้นมู่ชิงเกอก็พลันเข้าใจขึ้นมา
นางมองไปยังเหยาชิงไห่ ก็เห็นว่าเขาเกิดความรู้สึกเช่นเดียวกัน และได้ชักกระบี่ยาวของตนเองออกมาเตรียมป้องกันพลังทำลายล้างแทนยาของตนเองแล้ว