Skip to content

พลิกปฐพี 474

ตอนที่ 474

ปรับเปลี่ยนไขกระดูกเพื่อเจ้า

มู่ชิงเกอมองไปทางเหยาชิงไห่

ส่วนเหยาชิงไห่ก็กำลังมองไปที่มู่ชิงเกอ

เมื่อสองสายตาประสานกันกลางอากาศก็ พลันเข้าใจถึงการตัดสินใจของอีกฝ่าย

แสงสีทองบีบเข้ามาใกล้

มู่ชิงเกอยิ้มเยาะ เป็นถึงวิถีฟ้าที่ผ่าเผยกลับใช้วิธีเล่นละครตํ่าช้าเช่นนี้!

นางกำมือขวา ทวนหลิงหลงพลันปรากฎขึ้นในมือนาง ส่วนอีกด้านหนึ่งเหยาชิงไห่ชูกระบี่พุ่งขึ้นไปยังแสงสีทองนั่น

แต่ในตอนที่มู่ชิงเกอกำลังจะโจมตีแสงสีทองเพื่อทำลายพลังทำลายล้างที่ซ่อนอยู่ในนั้น หม้อผลาญสวรรค์กลับขยับตัวมาอยู่ตรงหน้าของนางแย่งปะทะเข้ากับแสงสีทองก่อน

ฉากนี้ทำให้นัยน์ตาของมู่ชิงเกอหดตัวลงหัวใจเกือบจะหลุดออกมา

ยาของนาง!

ปัง!

เสียงดังขึ้นเมื่อแสงสีทองตกลงบนหม้อผลาญสวรรค์ พลังทำลายล้างที่แฝงอยู่ในแสงสีทองคิดจะทำลายพลังป้องกันของหม้อผลาญสวรรค์เพื่อทำลายยาระดับมหาเทพที่อยู่ด้านใน แต่ว่ากลับไร้ผล

ไม่ว่ามันจะพยายามโจมตีอย่างไรก็ถูกหม้อผลาญสวรรค์ขัดขวางเอาไว้ได้

นี่ทำให้ใจของมู่ชิงเกอผ่อนคลายลง มีเวลาว่างมองไปทางฝั่งของเหยาชิงไห่และก็ได้เห็นเหยาชิงไห่ถูกโจมตีจนล้มลงกระอักเลือดกับพื้นเข้าพอดี แสงสีทองรุกคืบเข้า

ใกล้หม้อหลอมของเขามากขึ้นเรื่อยๆ

เหยาชิงไห่ล้มกองอยู่บนพื้น เจ็บปวดไปทั้งร่างจนขยับไม่ได้ เมื่อมองเห็นความเร็วของแสงสีทอง ก็ทำได้แต่มองดู

แต่ทันใดนั้นทวนสีเงินก็ลอยผ่านสายตาของเขาไปปะทะเข้ากับแสงสีทองสายนั้น

ปัง!

ยุทธภัณฑ์ระดับมหาเทพปะทะเข้ากับแสงสีทองจังๆ

คลื่นพลังไร้รูปสะท้อนออกมาให้เห็น ส่วนแสงสีทองก็ค่อยๆ อ่อนแสงลงจนกลายเป็นเพียงผงสีทองลอยตกลงไปในหม้อปรุงยาของเหยาชิงไห่

หลังทวนหลิงหลงทำภารกิจของมันเสร็จ ก็วนกลางอากาศรอบหนึ่งแล้วค่อยกลับเข้าไปในมือของมู่ชิงเกอ นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแววแปลกใจ นางไม่คิดว่าพลังทำลายล้างจะถูกทำลายได้ง่ายดายถึงเพียงนี้ แต่นางไม่รู้ว่าพลังทำลายล้างล้วนแต่อิงตามความแข็งแกร่งและ อ่อนแอของวิถีโอสถเป็นหลัก

วิถีแห่งความชอบธรรมของเหยาชิงไห่ ถึงแม้จะเป็นวิถีโอสถเช่นเดียวกันแต่เมื่อเทียบกับวิถีฝืนชะตาฟ้าของมู่ชิงเกอแล้วก็ถือว่าด้อยกว่ามาก ดังนั้นเมื่อนางใช้ทวนหลิงหลงโจมตีเต็มกำลัง รวมกับที่เหยาชิงไห่โจมตีสลายแรงไปแล้วส่วนหนึ่งก่อนหน้านี้จึงสามารถทำลายได้ภายในกระบวนท่าเดียว

มู่ชิงเกอรู้สึกสงสัยในใจ ยังไม่ทันเข้าใจดีก็เห็นเหยาชิงไห่มองมาที่ตนเองอย่างซาบซึ้ง

นางรวบรวมสติเอ่ยกับเขาว่า “ไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้า ระหว่างข้ากับเจ้ายังไม่ทันได้ตัดสินแพ้ชนะ”

พูดแล้วนางก็ชูทวนขึ้น มองไปทางฝั่งของตนเอง

หม้อผลาญสวรรค์ปกป้องคุ้มครองยาอย่างหนาแน่น ไม่ว่าพลังทำลายล้างจากแสงสีทองจะโจมตีอย่างไรก็ไม่สามารถทลายการป้องกันได้ แต่กลับเป็นพลังทำลายล้างสายนั้นที่ค่อยๆ อ่อนกำลังลง

เวลานี้เองหม้อปรุงยาของเหยาชิงไห่ก็มีกลิ่นหอมของยาโชยออกมา

มู่ชิงเกอหันหน้าไปมองก็เห็นยาระดับมหาเทพที่เขาปรุง ค่อยๆ ลอยขึ้นมาจากหม้อปรุงยา แสงสีทองที่แตกกระจายติดไปกับผิวยา รวมตัวเป็นชั้นด้านนอกของยาระดับมหาเทพ บนนั้นยังมีลวดลายอันงดงามประณีตอยู่เต็มไปหมด

“ยาระดับมหาเทพ!

“ยาระดับมหาเทพ! ยาระดับมหาเทพจริงๆ ด้วย!”

“ข้าโชคดีจริงๆ ที่ได้เห็นยาระดับมหาเทพในตอนที่ยังมีชีวิตอยู่!”

ยาระดับจิตวิญญาณที่ตกลงมาจากกลางอากาศเหล่านั้นไม่สามารถเติมเต็มความปรารถนาของผู้คนได้อีกแล้ว ในตอนที่ยาของเหยาชิงไห่ลอยขึ้นมานั้น พวกเขาก็หลงลืมไปแล้วว่ายังไม่ทันได้เก็บยาระดับจิตวิญญาณหมด แต่กลับหันมาจ้องมองยาที่เปล่งแสงหลากสีเม็ด นั้นแทน

ด้านนอกกระจกสีดำ คนนับไม่ถ้วนจ้องมองยาระดับมหาเทพเม็ดนั้น จนลืมไปว่าร่างกายของตนเองสามารถขยับได้แล้ว

พวกเขาอดกลืนนํ้าลายไม่ได้ พยายามกดความต้องการแย่งชิงเอาไว้

ที่นี่เป็นสำนักวิถีโอสถ ตอนนี้เป็นงานชุมนุมใหญ่ของสำนักวิถีโอสถ…ไม่อาจวู่วามได้ ไม่อาจวู่วามได้ ความวู่วามคือมารร้าย!

นอกกระจกดำอันเล็ก กานเหล่าและอาจารย์ปรุงยาคนอื่นๆ ล้วนแต่กำลังแสดงความยินดีกับเจ้าสำนักวิถีโอสถ

“ขอแสดงความยินดีกับเจ้าสำนักด้วย ลูกศิษย์ของท่านตอนนี้ปรุงยาระดับมหาเทพได้และกลายเป็นอาจารย์ปรุงยาระดับมหาเทพอย่างเป็นทางการแล้ว ลูกศิษย์และอาจารย์ล้วนแต่เป็นระดับมหาเทพช่างน่ายินดี จริงๆ!” กานเหล่าก้มหัวเอ่ย

คนอื่นๆ ก็ประสานเสียงพร้อมกัน

“ยินดีกับเจ้าสำนัก!”

“ยินดีกับเจ้าสำนัก!”

แต่เจ้าสำนักวิถีโอสถกลับมีท่าทีเรียบเฉยไม่ได้แสดงอารมณ์อะไรออกมา

เหยาชิงไห่สามารถปรุงยาระดับมหาเทพออกมาได้เป็นเรื่องที่เขาคาดเดาเอาไว้แล้วจึงไม่ได้รู้สึกเหนือความคาดหมายแต่อย่างใด ตอนนี้เขากลับสนใจอีกคนมากกว่า

เวลานี้เองเสียงอันเย็นชาสายหนึ่งก็ดังขึ้นเหมือนกับนํ้าเย็นที่สาดเข้าใส่ทุกคน “ชิ เข้าใจเพียงแค่วิถีเล็กๆ เท่านั้นมีคุณค่าอะไรให้น่ายินดี?”

เหลียนเฉียวเอ่ยออกมาทำให้สีหน้าของกานเหล่าและอาจารย์ปรุงยาคนอื่นๆ ฉายแววกระดากอาย

แต่เพราะสถานะของนางสูงส่งมากจึงไม่มีใครกล้าโต้เถียงกับนาง

งานชุมนุมใหญ่ของสำนักวิถีโอสถ เมื่อดำเนินมาจนถึงสุดท้ายกลับกลายเป็นการประลองศาสตร์การปรุงยาระหว่างมู่ชิงเกอและเหยาชิงไห่ ผลลัพธ์เช่นนี้ไม่มีใครคาดถึง

ตอนนี้ยาระดับมหาเทพของเหยาชิงไห่กำเนิดขึ้นแล้ว แสงห้าสีส่องสะท้อนอยู่บนร่างกายของเขาทำให้อาการบาดเจ็บของเขาฟื้นฟูขึ้นในพริบตา

ฝั่งมู่ชิงเกอล่ะ?

พลังทำลายล้างที่แฝงอยู่ในแสงสีทองทำอย่างไรก็ไม่ยอมรามือ ยังคงพัวพันอยู่กับหม้อผลาญสวรรค์ ส่วนความหยิ่งผยองของหม้อผลาญสวรรค์ก็จุดดั่งผู้ใหญ่ที่เผชิญหน้ากับเด็กน้อยที่มีนิสัยเอาแต่ใจที่กำลังขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ตรงหน้าของตนเอง

กลับกันไม่ว่า ‘เด็กน้อย’ จะงอแงอย่างไร ก็ไม่อาจทำร้ายเขาได้แม้แต่น้อย

ฉากนี้ทำให้มู่ชิงเกออดหัวเราะไม่ได้

“หม้อผลาญสวรรค์เป็นสมบัติลํ้าค่าจริงๆ มิน่าเบื้องบนถึงได้ยังจดจำไม่ลืมทั้งๆ ที่ผ่านมานานขนาดนี้แล้ว” ทูตเทวะที่นั่งอยู่ตรงตำแหน่งของตนเองพึมพำออกมา

บนลาน ทุกคนที่สนิทกับมู่ชิงเกอล้วนแต่รอคอยอย่างตื่นเต้น

จีเหยาฮั่วกัดฟันเอ่ยว่า “หากยาของชิงเกอถูกทำลาย ข้าจะไปทำลายยาของเหยาชิงไห่ด้วย!”

อิ๋งเจ๋อมองเขาแวบหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นว่า “หลังจากวันนี้ข้ากับเหยาชิงไห่ยังมีศึกใหญ่อีกศึกหนึ่ง”

การตักเตือนของเขาทำให้นัยน์ตาของจีเหยาฮั่วสว่างวาบขึ้นมาพลางหัวเราะ “เกือบลืมเรื่องนี้ไปแล้ว เสี่ยวเจ๋อ เจ้าจำเอาไว้ว่าไม่ว่าวันนี้เจ้าเด็กนั่นจะแพ้หรือชนะ พรุ่งนี้เจ้าจะต้องซัดเขาให้หมอบเพื่อแก้แค้นให้ชิงเกอ”

“อืม” อิ๋งเจ๋อพยักหน้าเงียบๆ

คำพูดของคนทั้งสองทำให้จีเทียนเทียนฟังแล้วปิดปากหัวเราะออกมา

แต่เมื่อนางขยับก็ต้องมองไปที่มือของตนเองอย่างแปลกใจ “ข้าขยับมือได้แล้ว!”

คำพูดของนางทำให้จีเหยาฮั่ว และอิ๋งเจ๋อรู้สึกตัว พบว่าร่างกายของตนเองไม่โดนพลัง ผูกมัดเอาไว้แล้ว

คนที่อยู่บนอัฒจันทร์และผู้คนนอกกระจกดำค่อยๆ รู้สึกตัวว่าแขนขาที่แข็งทื่อของตนเองกลับมาขยับได้อีกครั้ง

สิ่งนี้ทำให้พวกเขาดีใจมาก

ส่วนทูตเทวะก็ยิ่งแน่ใจว่าการคาดเดาของตนเองไม่ผิด!

พลังทำลายล้างในแสงสีทองเหนื่อยอ่อน ในที่สุดแสงสีทองก็กลายเป็นหมอกสีทองตกลงบนหม้อผลาญสวรรค์

ภารกิจของหม้อผลาญสวรรค์สิ้นสุดลงมันจึงค่อยๆ ตกลงมาตรงหน้าของมู่ชิงเกออีกครั้งพร้อมส่งเสียงดังออกมา

ยาปรับเปลี่ยนไขกระดูกภายในหม้อถูกแสงสีทองสลักเป็นลวดลายงดงาม ตัวยาค่อยๆ ลอยขึ้นมา หมอกแสงเป็นสายพุ่งออกมาจากตัวยา

“สีแดง…สีส้ม…สีเหลือง…สีเขียว…สีนํ้าเงิน…สีฟ้า…สีม่วง…สีเงิน…สีทอง…”

หนึ่งสี!

สองสี!

สามสี!

สี่สี!

ห้าสี!

หกสี!

เจ็ดสี!

แปดสี!

“…เก้า…เก้าสี! มีถึงเก้าสีเชียวหรือ!” มีคนตะลึง สีสันบนยาระดับมหาเทพของมู่ชิงเกอนั้นมีมากกว่าของเหยาชิงไห่ถึงสี่สี

“อย่างไรกัน? ยาระดับมหาเทพยังสามารถเปล่งแสงสีแตกต่างกันได้ด้วยหรือ?”

“ไม่ถูก! เจ้าน่าจะถามเช่นนี้มากกว่าว่าแสงที่พุ่งออกมาแตกต่างกันนี้เป็นตัวกำหนดระดับของยาหรือไม่?”

ฝูงชนตื่นตระหนก!

เหยาชิงไห่มองยาที่อยู่ตรงหน้าของมู่ชิงเกอแล้วนัยน์ตาก็ฉายแววซับซ้อน ความยินดีในก่อนหน้านี้หายไปอย่างไร้ร่องรอย อารมณ์ที่ซับซ้อนเช่นนี้ในที่สุดก็กลายเป็น

เสียงหัวเราะอย่างขมขื่นคำหนึ่ง

คนนับแสนลุกขึ้นมาจากที่นั่งพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย มองยาระดับมหาเทพที่ลอยอยู่ตรงหน้าของมู่ชิงเกออย่างตกตะลึง

นอกกระจกสีดำสายตาของทุกคนก็ล้วนจ้องมองไปบนกระจกนั้น

แม้แต่สายตาของมู่ชิงเกอเองก็จับจ้องไปที่ยาปรับเปลี่ยนไขกระดูก ในใจรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา

ในที่สุดนางก็ปรุงออกมาได้แล้ว!

ยาที่อยู่ตรงหน้านั้น นางครุ่นคิดมาเนิ่นนานแล้ว ตอนนี้ในที่สุดนางก็สามารถปรุงมันออกมาได้แล้ว เพียงแค่ให้ซือมั่วกินมัน เขาก็จะสามารถรักษาบาดแผลเรื้อรังทำให้ร่างกายกลับมาแข็งแรงดังเดิม พลังวัตรก็จะเพิ่มขึ้นอีกชั้นหนึ่ง!

มีเพียงเขาหายดีแล้วนางถึงจะคลายกังวลลงได้

และถึงจะสามารถเผชิญหน้ากับเคราะห์กรรมเป็นตายที่ไม่รู้ว่าเขาจะต้องเผชิญเมื่อไหร่ไปด้วยกันกับเขาได้!

เมื่อมู่ชิงเกอมองยาตรงหน้าแล้วก็ยิ้มออกมา เรื่องนี้กดทับอยู่ในใจของนางมานานหลายปี ตอนนี้ในที่สุดนางก็ทำได้แล้ว

“ทั้งสองคนล้วนแต่ปรุงยาระดับมหาเทพออกมาเช่นนี้จะตัดสินแพ้ชนะอย่างไร?” มีคนถามออกมาอย่างสงสัย ในงานชุมนุมใหญ่ของสำนักวิถีโอสถยังไม่เคยมีผู้ชนะสองคนพร้อมกันมาก่อน

เวลานี้เองบนขอบฟ้าก็มีคนหนึ่งกลุ่มลอยเข้ามา พวกเขาล้วนแต่สวมชุดสีขาวพลิ้วไหว ท่าทีดุจดั่งเทพเซียน

“อา! รีบดูเร็ว เป็นเจ้าสำนักวิถีโอสถและบรรดาปรมาจารย์วิถีโอสถ!”

“พวกเขาปรากฎตัวเพื่อมาประกาศผลแพ้ชนะงั้นหรือ?”

“ประมุขน้อยเหยาเป็นศิษย์เอกของเจ้าสำนักวิถีโอสถ เขาจะลำเอียงหรือเปล่า?”

“เป็นไปไม่ได้หรอก เจ้าสำนักวิถีโอสถจะทำเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไร?”

ท่ามกลางเสียงวิเคราะห์พูดคุย กลุ่มคนค่อยๆ ลอยลงมาตรงหน้าของมู่ชิงเกอและเหยาชิงไห่

เมื่อเหยาชิงไห เห็นพวกเขาแล้วก็คำนับเอ่ยทักทายเจ้าสำนักก่อนว่า “อาจารย์”

จากนั้นก็พยักหน้าแสดงเคารพปรมาจารย์คนอื่นๆ อย่างมีมารยาท

ส่วนมู่ชิงเกอ นางไม่เคยชอบพิธีการยุ่งยากพวกนี้อยู่แล้ว ปรมาจารย์วิถีโอสถเหล่านี้ นางไม่เคยพบหน้ามาก่อน ถึงจะคาดเดาสถานะของคนบางคนออก แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นทำให้นางรู้สึกเคารพ ดังนั้นนางจึงเพียงแต่คำนับอย่างมีมารยาทไปเท่านั้น

เจ้าสำนักวิถีโอสถมองเหยาชิงไห่แวบหนึ่งแล้วก็หันมามองมู่ชิงเกอ

นัยน์ตาของเขาฉายแววซับซ้อนเมื่อมองนาง จากนั้นก็มองไปที่หม้อผลาญสวรรค์ ท่าทางที่ดู ‘จมดิ่ง’ เช่นนั้น ทำให้มู่ชิงเกอเกิดความคิดอยากจะซ่อนหม้อผลาญสวรรค์เอาไว้

ก่อนหน้านี้ตาเฒ่าไป๋หลี่เจ้าสำนักโรงโอสถกลางเคยข่มขู่นางว่าถ้าหากนางไม่มาร่วมงานชุมนุมใหญ่ของสำนักวิถีโอสถก็จะบอกอาจารย์ปรุงยาในโลกแห่งยุคกลางว่า หม้อผลาญสวรรค์อยู่ในมือนาง

เวลานี้นางสงสัยว่าที่มาของหม้อผลาญสวรรค์จะไม่ธรรมดา

เพียงแต่…

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอมองเจ้าสำนักอย่างสงบ รู้สึกว่าเขาจำหม้อผลาญสวรรค์ได้

‘หรือว่า…ข้าจะประมาทเกินไป!’ มู่ชิงเกอรู้สึกหนักอึ้งในใจ

ทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้นในหัวนางว่า ‘หากว่ามีเวลาว่าง ก็มาพบข้าสักครู่ ข้ามีเรื่องบางเรื่องเกี่ยวกับหม้อผลาญสวรรค์อยากจะถามเจ้า’

เป็นอย่างนั้นจริงๆ!

มู่ชิงเกอเงยหน้าขึ้น เผชิญหน้ากับดวงตาที่ลึกลํ้าของเจ้าสำนักวิถีโอสถ

ไม่จำเป็นต้องถาม นางก็คาดเดาออกแล้วว่าเจ้าของเสียงนี้เป็นใคร

เจ้าสำนักวิถีโอสถถอนสายตากลับ โบกสองมือ ยาระดับมหาเทพสองเม็ดแยกออกไปวางบนมือซ้ายและขวาของเขา

เขาเป็นอาจารย์ปรุงยาระดับมหาเทพเพียงหนึ่งเดียวของสำนักวิถีโอสถจึงมีสิทธิ์ที่จะตัดสินยาสองเม็ดนี้

เขายืนอยู่ตรงกลางระหว่างมู่ชิงเกอและเหยาชิงไห่ นัยน์ตาสงบนิ่งไร้คลื่นลม ยาระดับมหาเทพสองเม็ดนี้ เปล่งแสงออกมาอย่างต่อเนื่อง สิ่งเดียวที่แตกต่างกันก็คือยาปรับเปลี่ยนไขกระดูกของมู่ชิงเกองดงามกว่าหน่อย

“โอสถล้วนมีวิถีของโอสถ” เจ้าสำนักวิถีโอสถเอ่ยปากขึ้นมา น้ำเสียงของเขานุ่มลึกมีพลัง แฝงไว้ด้วยจิตวิญญาณ “อาจารย์ปรุงยาระดับมหาเทพจะต้องมีวิถีโอสถของตนเองก่อน วิถีโอสถแตกต่างไปในแต่ละคน แต่ก็มีจุดจบเช่นเดียวกัน ถึงจะพูดอย่างนี้ แต่ทางที่เลือกก็แตกต่างกัน ผลลัพธ์ที่แสดงออกมาก็ย่อมแตกต่าง ยาระดับมหาเทพสองเม็ดนี้ ใครแพ้ใครชนะสามารถมองออกได้ในครั้งเดียว ไม่จำเป็นต้องให้ข้าพูดมาก” เขาชูสองมือขึ้นสูง เม็ดยาของเหยาชิงไห่นั้นเขากำมือแน่นปิดบังแสงของมันเอาไว้ ส่วนของมู่ชิงเกอ เขากลับยกมาที่ตรงหน้าแล้วเอ่ยว่า “ยาเม็ดนี้ไม่เพียงแต่ชนะที่คุณค่าแต่ยังชนะที่วิถีโอสถอีกด้วย!” ชนะ…ชนะแล้ว?

เจ้าเมืองมู่ชนะแล้ว’?

ชนะประมุขน้อยเหยาแล้ว?

เขาเอาชนะอาจารย์ปรุงยาอันดับหนึ่งของรุ่นเยาว์แห่งสำนักวิถีโอสถได้!

ให้ตายสิ!

ร้ายกาจเกินไปแล้ว!

“เจ้าเมืองมู่อายุยังน้อยไม่เพียงแต่เป็นอันดับหนึ่งบนทำเนียบชิงอิง แต่ยังเป็นอาจารย์หลอมศาสตราระดับมหาเทพเพียงหนึ่งเดียวในโลกแห่งยุคกลางอีกด้วย มาตอนนี้ก็ยังเป็นอาจารย์ปรุงยาประดับมหาเทพอีก ยังจะให้คนมีชีวิตอยู่ได้อีกหรือ?”

“ฮือ ฮือ ฮือ เจ้าเมืองมู่ผู้นี้เกิดมาบดบังรัศมีคนอื่นจริงๆ!

“อยู่ต่อหน้าเจ้าเมืองมู่ พวกเราเป็นแค่ขยะเท่านั้น!”

ทั้งด้านในและนอกลานแข่งขัน หลังจากผ่านความตกตะลึงไปก็กลายเป็นความวุ่นวาย พวกเขากำลังเป็นพยานให้กับดวงดาวที่กำลังลอยสูงขึ้นไปท้าทายสวรรค์!

มู่เสวี่ยอู่เขย่าแขนของซางซุ่นหวางอย่างตื่นเต้น “ท่านตา ลูกพี่ชนะแล้ว! นางกลายเป็นผู้ชนะของงานชุมนุมใหญ่ของสำนักวิถีโอสถแล้ว!”

มู่เฉินก็พูดกับมู่เฟิงว่า “นายน้อยไม่เคยทำให้ใครผิดหวัง”

“ชนะแล้ว! ชิงเกอชนะแล้ว!” จีเหยาฮั่วกระทุ้งบ่าของอิ๋งเจ๋ออย่างตื่นเต้น

พวกเหมยจื่อจ้งสี่คนก็เผยรอยยิ้มอย่างดีใจไปกับมู่ชิงเกอ

‘ชนะแล้ว’ หานฉายไฉ่โล่งอก มู่ชิงเกอห่างไกลจากเขาออกไปเรื่อยๆ โดดเด่นขึ้นไปเรื่อยๆ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!