Skip to content

พลิกปฐพี 479

ตอนที่ 479

ลานล่าสัตว์ของมู่ชิงเกอ!

อะไรที่ทำให้พวกที่ระดับพลังสูงกว่าโมโหตายได้น่ะหรือ ก็คือการไม่สนใจเจ้าอย่างไรเล่า?!

ความได้ใจในนัยน์ตาของคนใส่หน้ากากสีทองหายไป นัยน์ตาเปลี่ยนเป็นอำมหิตน่ากลัว เขารู้สึกว่าความโอหังและความได้ใจของตนเองเมื่ออยู่ต่อหน้ามู่ชิงเกอก็กลับกลายเป็นไม่มีอะไรเลย

ความสงบนิ่งและไม่สนใจทำให้เขารู้สึกเหมือนว่าตนเองเป็นตัวตลกที่มาเพียงเพื่อทำเรื่องไร้สาระยั่วยุให้ศัตรูโกรธ!

เขาไม่สามารถสงบสติเช่นเดิมได้อีก ไม่ได้รู้สึกว่าชัยชนะอยู่ในการควบคุมอีกต่อไป

นี่ไม่ใช่เพราะรู้สึกว่ามู่ชิงเกอต่อกรยากแต่เป็นเพราะเขาโมโหมู่ชิงเกอแล้ว!

“ชิ!” เขาเก็บมือที่ยกขึ้นกลับ เสียงที่แหบพร่าไม่น่าฟัง ดังออกมาจากไรฟันของเขา “ฆ่าเขาซะ ฆ่าเขา! ฆ่าเขาให้ข้าเดี๋ยวนี้!” เขายกมือขึ้นชี้ไปที่มู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอยิ้มเยาะในใจ ‘อับอายจนโกรธงั้นหรือ?’

นางสะบัดทวนในมืออีกครั้ง ทำให้คนนับร้อยที่รุมโจมตีนางกลายเป็นซากศพเพิ่มอีกสิบกว่าร่าง นัยน์ตาของนางฉายแววดูแคลน ยิ่งคนมากก็ยิ่งได้ผลหรือ?

มีคนมากมายขนาดนี้มารุมโจมตีนางคนเดียว แต่คนที่สามารถต่อสู้กับนางได้นั้นกลับมีแค่ไม่กี่คน ส่วนคนที่เหลือนอกจากที่ดูจำนวนมากแล้วก็ทำได้แต่ล้อมข่มขู่อยู่ด้านนอก

คนใส่หน้ากากสีทองออกคำสั่ง บรรดาคนที่ยืนอยู่ไม่ขยับอีกสองร้อยกว่าคนบวกกับคนระดับสีทองสิบกว่าคนพุ่งเข้าไปหามู่ชิงเกอทันที

ด้านหลังของพวกเขายังมีเสียงของคนใส่หน้ากากสีทอง ร้องด้วยความโอหังว่า “ชิ! ไม่รู้จักดีชั่ว ข้าจะฆ่าเจ้าก่อนแล้วค่อยๆ หาหม้อผลาญสวรรค์ทีหลัง! ที่เจ้าตายก็เป็นเพราะความกำแหงของเจ้า! ข้าจะสั่งสอนเจ้าว่า หากล่วงเกินคนที่ไม่สมควรล่วงเกินแล้วจะเป็นอย่างไร!”

คนนับร้อยคนรุมโจมตีมู่ชิงเกอ สถานการณ์น่าตกใจมาก

นัยน์ตาของนางฉายแววหนักอึ้ง อำมหิตขึ้นมา สิงโตแม้จะต้องสู้กับกระต่ายก็ยังใช้แรงเต็มที่ ตัวนางไม่เคยหยิ่งทะนงว่าตนเองยิ่งใหญ่ และจัดการเรื่องราวอย่างขอไปที!

สถานการณ์ที่เห็นได้ชัดว่าสู้ไม่ได้ แน่นอนว่านางจะไม่อยู่ต่อเพื่อให้คุกคามข่มขู่

มุมปากของนางปรากฎรอยยิ้มเยาะออกมา มองดูคนใส่หน้ากากสีทองที่กล้าดีเฉพาะอยู่ด้านหลังคนแล้ว ก็พูดยั่วยุออกมาว่า “ที่เจ้าแพ้ก็แพ้ที่พูดจาไร้สาระมากเกินไป”

มือของนางกุมทวนหลิงหลง ออกแรงสะบัดเปลวไฟพุ่งออกมาจากปลายทวนหลิงหลง ดุจดั่งมังกรเพลิงส่งเสียงคำรามด้วยความโมโหพุ่งเข้าไปใส่คนที่พุ่งเข้ามาหานาง

ภายในมังกรเพลิงไม่ได้มีเฉพาะพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดแต่ยังมีพญาเพลิงปาฮวงซูคงอีกด้วย

พญาเพลิงสองชนิดรวมเข้าด้วยกันพุ่งไปใส่คนเหล่านั้น ไม่ว่าจะสัมผัสโดนพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดหรือพญาเพลิงปาฮวงซูคง คนที่โดนก็ล้วนแต่ร้องโหยหวนแล้วก็กลายเป็นขี้เถ้าสีดำหายไป

เสียงหัวเราะอันหยิ่งยโสของคนในหน้ากากสีทองหยุดลงในทันใด

การโจมตีนี้เก็บเอาชีวิตสามสิบกว่าชีวิตมาได้อย่างง่ายดายและก็บีบให้คนในหน้ากากที่โอบล้อมนางให้ถอยออกไป คนในหน้ากากสีทองที่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันจนอยากจะลอกหนังของมู่ชิงเกอ ทรมานเขาให้หนัก แต่มู่ชิงเกอก็เพียงยิ้มเยาะออกมา หันไปด้านหลัง แล้วกระโดดเข้าไปในหลุมแห่งหนึ่งที่ลึกจนมองไม่เห็นก้นอย่างไม่ลังเล

บัดซบ!

ดวงตาทั้งคู่ของคนในหน้ากากสีทองแทบจะพ่นไฟออกมาได้!

ในดวงตาที่โกรธเกรี้ยวนั้นยังแอบซ่อนไปด้วยความโลภ ไม่เพียงแต่โลภอยากได้หม้อผลาญสวรรค์แต่ยังโลภอยากได้ยุทธภัณฑ์ระดับมหาเทพในมือของมู่ชิงเกออีกด้วย

เปลวไฟกระจายหายไป คนใส่หน้ากากสีเงินนับร้อยไล่ตามไปถึงปากหลุมที่มืดสนิทและก็อดที่จะหยุดฝีเท้าลงไม่ได้

“กระโดด! กระโดดลงไปเดี๋ยวนี้ ไปฆ่าเขา!” คนในหน้ากากสีทองเดินเข้ามาตะโกนพูดกับคนนับร้อย

มีคนระดับสีทองคนหนึ่งพูดกับเขาว่า “ใต้เท้า ใต้ถํ้าจิ่วเฉวียนนั้นเป็นถํ้าเชื่อมต่อกันนับไม่ถ้วนดุจดั่งเขาวงกต เขากระโดดเข้าไปแล้ว หากพวกเรากระโดดเข้าไปตามก็เกรงว่าอาจจะต้องติดอยู่ในนั้นทั้งหมด”

ลูกน้องของเขาคนนี้ยังพอมีความรู้อยู่บ้าง

ชื่อเสียงของถํ้าจิ่วเฉวียนไม่ใช่เรื่องที่ถูกลมพัดออกมาแค่นั้น มีคนมากมายที่เคยคิดอยากจะลองท้าทายที่นี่แต่สุดท้ายก็ต้องล้มเหลว ไม่รู้ว่าไปตายอยู่ที่มุมไหนของถํ้าจิ่วเฉวียน

ตอนนี้มู่ชิงเกอกระโดดลงไป ตามที่พวกเขามอง ก็คือหาที่ตายให้แก่ตัวเอง

ไม่ต้องพูดว่าเขาจะสามารถหาทางออกได้หรือไม่ เพียงแค่อันตรายที่มีมากมายภายในนั้นก็ทำให้โอกาสที่จะรอดมีแค่หนึ่งส่วนแล้ว

ดังนั้นพวกเขาไม่จำเป็นต้องไล่ตามก็ได้

แต่คนใส่หน้ากากสีทองกลับโมโหพูดว่า “เจ้าพวกโง่เง่า! หม้อผลาญสวรรค์ยังอยู่กับเขา ที่ข้าต้องการก็คือหม้อผลาญสวรรค์! ลงไปฆ่าเขา ฆ่าเขาแล้วเอาหม้อผลาญสวรรค์กลับมา!”

“แต่ว่า หากตามลงไปหมดแล้ว เขาออกมาจากปากหลุมอื่นๆ ละจะทำอย่างไร?” คนระดับสีทองอีกคนพูดอย่างลังเล

ในที่สุดคนในหน้ากากสีทองก็เงียบลง

เขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วถึงได้สั่งบรรดาคนระดับสีทองว่า “พวกเจ้าแบ่งออกเป็นสองส่วน พวกเจ้านำคนครึ่งหนึ่งลงไล่ตาม ข้าจะนำคนที่เหลือเฝ้าอยู่ด้านบน ข้าจะให้เขาหนีไปไหนไม่ได้!”

ใบหน้าด้านหลังหน้ากากของคนที่ถูกสั่งให้เข้าไปในถํ้านั้นดูแย่มาก

แต่ก็ไม่กล้าขัดคำสั่งของคนในหน้ากากสีทอง จึงได้แต่ทำตามคำสั่งของเขานำคนกระโดดลงไปในหลุมที่มู่ชิงเกอกระโดดลงไป

ถํ้าใต้พื้นดินเชื่อมต่อกันและค่อนข้างชื้น

มู่ชิงเกอเดินทางอยู่ในถํ้าอย่างรวดเร็วโดยไม่ได้สนใจทิศทางเลย

เดินไปนางก็ยิ้มเยาะอยู่ในใจ หากว่าคนเหล่านั้นไม่ตามลงมาก็แล้วไป แต่หากตามลงมา เขาวงกตนี้ก็จะเป็นลานล่าสัตว์ที่ดีที่สุดของนาง

ภายในสถานการณ์เช่นนี้นางมีความมั่นใจว่าจะทำให้พวกเขาตายได้ทั้งหมด!

มู่ชิงเกอเก็บทวนหลิงหลงเข้ามา แล้วเอาปืนไรเฟิลออกมาจากช่องว่างแล้วก็ใส่อุปกรณ์เก็บเสียงครอบบนปากกระบอกปืน

อาวุธที่ทะลุมิติอันนี้มาอยู่ในมือของนางอีกครั้งและยังคงคุ้นมือเช่นเดิม ก่อนหน้านี้ในตอนที่อยู่ในภาวะสงครามของแดนมารรกร้าง นางได้เก็บเอาแก่นอสูรภายในคลังของวังไท่ฮวงมาบางส่วน

แก่นอสูรเหล่านี้ สัตว์อสูรวิญญาณในโลกแห่งยุคกลางเทียบไม่ได้

พลังที่ได้มาสามารถทำลายพลังป้องกันของระดับสีทองแล้วเอาชีวิตอีกฝ่ายได้เลย!

มู่ชิงเกอเอาปืนไรเฟิลมาวางบนไหล่ของตนเอง ยิ้มเยาะในใจ ‘จะดูสิว่าใครจะโชคร้ายมาให้ข้าฆ่าเป็นคนแรก’

ภายในถํ้าจิ่วเฉวียน พื้นถํ้าดูขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อ เขาวงกตที่ไม่รู้ว่าลึกขนาดไหนมีอาณาเขตถึงร้อยลี้ ซับซ้อนและมีอันตรายรอบด้าน

คนใส่หน้ากากสีเงินเกือบสองร้อยคนกระโดดตามมู่ชิงเกอเข้าไปในถํ้า เมื่อเผชิญหน้ากับทางแยกต่างๆ แล้วก็ล้วนมีสีหน้ามึนงง

จะทำอย่างไรดี?

คนที่เป็นหัวหน้านิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วก็หันไปสั่งคนด้านหลังของตนเองว่า “แยกกันค้นหา หลังจากหาพบแล้วก็อย่าเพิ่งโจมตี ให้คิดหาวิธีแจ้งข่าวแก่คนอื่นๆ”

พูดแล้วพวกเขาระดับสีทองหกคนก็แยกกันพาคนยี่สิบคนเข้าไปในทางแยกภายในถํ้า

มีหนึ่งกลุ่มที่เดินทางไปทางเดียวกันกับมู่ชิงเกอ

ถํ้านั้นดูสลับซับซ้อนเหมือนใยแมงมุมและทุกครั้งที่เดินไปก็จะพบเจอกับทางแยกทำให้ต้องแบ่งคนออกไปเรื่อยๆ

จนกระทั่งในตอนที่คนแรกปรากฎตัวต่อหน้าของมู่ชิงเกอนั้น ข้างกายของเขาก็ไม่มีเพื่อนแล้ว

‘มาแล้ว!’

มู่ชิงเกอขยับเล็กน้อยรอคอยมานานจนรู้สึกคอแข็งแล้ว

นางซ่อนตัวอยู่ในที่ลับเล็งตรงไปที่คนระดับสีทองที่กำลังมองไปรอบๆ คนนั้น

‘นัดแรกเป็นระดับสีทองเลย! ถือว่ามาเปิดประเดิมให้จริงๆ!’ มู่ชิงเกอหัวเราะในใจ

นางเล็งตรงไปที่หัวด้านหลังของคนคนนั้นแล้วก็เหนี่ยวไก ยิงออกไป

ฟิ้ว!

เสียงลูกกระสุนดังออกมาเบาๆ กลายเป็นลูกกระสุนอันทรงพลังหมุนออกจากกระบอกปืนทะลุพลังป้องกันของร่างกายเข้าไปอย่างง่ายดาย เจาะเข้าไปในหัวด้านหลังของคนคนนั้นแล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย ระดับสีทองคนนั้นเบิกตากว้าง เหมือนไม่ทันได้รู้สึกถึงอะไรก็กลับถูกฆ่าตายไปแล้ว เขาล้มไปบนพื้นด้านหลังอย่างรุนแรง

มู่ชิงเกอเดินออกมาจากที่ลับแล้วก็ก้มลงที่ด้านข้างซากร่าง ใช้ปลายกระบอกปืนเปิดหน้ากากของเขาออก

เมื่อหน้ากากหลุดออกก็เผยให้เห็นใบหน้าที่เรียบง่ายไม่ มีความโดดเด่น ใบหน้านี้ยังมีรูเลือดเหลืออยู่หนึ่งรู แต่มู่ชิงเกอก็ไม่ได้หยุดดูใบหน้านี้นาน แต่กลับค้นหาไปบนร่างกายของเขาหวังว่าจะหาร่องรอยอะไรพบบ้าง

แต่สุดท้ายก็ไม่ได้อะไรเลย

ไม่เพียงไม่มีของที่แสดงสถานะแม้แต่ถุงซวีหมีก็ยังไม่มี

“ดูแล้วการเคลื่อนไหวครั้งนี้ คนเหล่านี้เตรียมตัวมาอย่างดี” มู่ชิงเกอพูด “สามารถเอาคนมากขนาดนี้มาไล่ล่า ทั้งยังมาเพื่อหม้อผลาญสวรรค์ อีกทั้งยังเป็นยอดฝีมือทั้งหมด คนเหล่านี้เป็นใครกันแน่ถึงได้ปิดบังสถานะของตนเองอย่างรัดกุมเช่นนี้?”

มู่ชิงเกอพบว่าตนเองมีเบาะแสในมือน้อยเกินไป ก่อนหน้านี้เจ้าสำนักวิถีโอสถเคยเตือนนางเอาไว้ว่ามีคนต้องการหม้อผลาญสวรรค์แต่ก็ไม่ได้พูดออกมาจนหมด ทำให้ในตอนนี้นางไม่แน่ใจเป้าหมายอย่างชัดเจน

แต่ในโลกแห่งยุคกลางนี้ ฐานกำลังที่สามารถเคลื่อนไหวกำลังพลมากมายขนาดนี้มาฆ่านางก็มีไม่มาก

แน่นอนว่ารวมกับกองกำลังที่นางไม่รู้ด้วย

‘แผ่นดินนี้มีฐานอำนาจมากน้อยแค่ไหนกันที่ข้ายังไม่เคยพบเห็น? บรรดาคนที่ละโมบในหม้อผลาญสวรรค์และมาไล่ฆ่าข้านั้นเป็นใครกันแน่?’ ในใจของนางปรากฎรายชื่อที่เป็นไปได้ออกมา แต่ก็ไม่อาจแน่ใจได้

“ดูแล้วยังต้องหาโอกาสกลับไปยังสำนักวิถีโอสถสักครั้ง เพื่อถามสิ่งที่ควรถามให้ชัดเจน” มู่ชิงเกอหรี่ตาลง แล้วพูดออกมา

นางมีความรู้สึกอย่างหนึ่ง นั่นคือหลังจากกลับไปคุยกับเจ้าสำนักวิถีโอสถอีกครั้ง นางก็จะสามารถระบุตัวคนที่มาไล่ฆ่านางในวันนี้ได้!

นางดีดเปลวไฟไปเผาซากร่างให้ไหม้กลายเป็นขี้เถ้า

มู่ชิงเกอนำปืนไรเฟิลจากไปแล้วก็เริ่มการไล่ล่าของนาง นางซ่อนตัวอยู่ในที่มืดเหมือนกับเสือดำ ทุกครั้งที่ตรงหน้าของนางมีเงาคนเคลื่อนผ่านก็จะถูกนางใช้ปืนไรเฟิล ยิงเอาชีวิตแล้วจากนั้นก็เผาให้เป็นขี้เถ้า

จนกระทั่งคนในหน้ากากที่ไล่ตามนางเข้ามาในถํ้าค่อยๆ ลดลง โดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว

ถํ้าจิ่วเฉวียนกลายเป็นลานล่าสัตว์ของมู่ชิงเกอ

“ไม่ถูกต้อง!” คนระดับสีทองคนหนึ่งได้สติขึ้นมาในทันใด

เขาส่งสัญญาณที่นัดแนะกันเอาไว้ เรียกรวมให้ทุกคนเข้ามาใกล้กับเขา

แต่ในตอนที่มีคนมาปรากฎตัวอยู่ตรงหน้าของเขาเพียงแค่ยี่สิบกว่าคนนั้น สีหน้าภายใต้หน้ากากของเขาก็เปลี่ยนเป็นดำทะมึน

“เหตุใดจึงมีแค่พวกเจ้า?” คนระดับสีทองคนนั้นเอ่ยถามเสียงเข้ม

คนระดับสีทองหกคนที่นำกลุ่มแต่ละกลุ่ม ในตอนนี้กลับเหลือเพียงแค่เขาคนเดียว! คนอื่นๆ ไปไหนกันหมดแล้ว? เป็นเพราะเดินไปไกลเกินขอบเขตของสัญญาณเรียกตัวหรือว่าได้พบเจอกับอะไรที่คาดไม่ถึง?

คนยี่สิบกว่าคนที่ถูกถามมองหน้ากัน พวกเขาก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

ส่วนมู่ชิงเกอที่อยู่ในที่ลับและลอบตามเสียงเรียกตัวมาก็อยู่นิ่งๆ ไม่ขยับ ดวงตาสดใสฉายแววสงบนิ่งจ้องมอง คนยี่สิบกว่าคนที่ห่างออกจากนางไปไม่ไกล…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!