ตอนที่ 485
ยืมมือรังแกคนนั้นรู้สึกดีมาก!
คุณชายตระกูลมู่ผู้เก่งกล้ากลับถูกเต่าตัวหนึ่งทำร้ายงั้นหรือ!
มู่ชิงเกอเงยมองฟ้าอย่างไร้คำจะพูด…ไม่สิ มองยอดถ้ำ ตอนนี้ในใจของนางรู้สึกซับซ้อนมาก!
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์ เจ้าคิดจะจัดการกับมันอย่างไร?” ซือมั่วหันมองมู่ชิงเกอแล้วเอ่ยออกมา
มู่ชิงเกอกลับถอนหายใจอย่าง ‘หมดความสนใจ’ เอ่ยว่า “แล้วแต่เถอะ ทำให้มันตายก็พอ” หากไม่ใช่เพราะร่างกายของนางแข็งแกร่งเป็นพิเศษ ก็คงถูกเต่าตัวนี้ทำร้ายจนตายไปหลายร้อยรอบแล้ว!
หากไม่เป็นเพราะพิษในตานํ้าพุร้อนไม่มีผลต่อเต่าตัวนี้ นางก็อยากจะให้มันได้ลิ้มลองความเจ็บปวดจากการที่เลือดเนื้อถูกกัดกร่อนดูสักครั้ง
“อืม…” ซือมั่วขมวดคิ้วอย่างลำบากใจ ก้มลงมองภูตเต่าใต้เท้าของตนเอง
“จอมมารไว้ชีวิตด้วย! จอมมารไว้ชีวิตด้วย! เต่าน้อยไม่รู้ว่าคุณชายท่านนี้เป็นคนในใจของท่าน มิเช่นนั้นคงไม่กล้าสร้างความลำบากให้!” ภูตเต่าพยายามขอร้องเป็นครั้งสุดท้าย
แต่ซือมั่วก็ไม่ได้สงสารแต่อย่างใด
เขามองภูตเต่าอย่างเย็นชา ไม่คิดจะเปลืองคำพูดกับมันอีก เขาค่อยๆ เงยหน้าขึ้นแล้วเหยียบลงไปอย่างแรง ท่ามกลางสายตาที่ดูหวาดกลัวของภูตเต่า
แครก!
นํ้าเลือดผสมไปกับเนื้อที่แหลกเละไหลออกมาจากใต้เท้าของซือมั่ว
มู่ชิงเกออ้าปากค้างมองเท้าของเขา นางมองเท้าที่ดูสงบนิ่งข้างนั้น เท้าข้างนั้นหลังจากออกแรงเหยียบเล็กน้อย แล้วก็ยกขึ้นมาเหมือนไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น เผยให้เห็นเนื้อแหลกเละที่ถูกเหยียบเอาไว้ใต้เท้า
“…” ในใจของมู่ชิงเกอรู้สึกอยากจะร้องไห้
นางได้รู้และเข้าใจถึงความต่างระหว่างนางกับซือมั่วแล้ว
ภูตเต่าที่ทำร้ายนางจนเกือบตาย เมื่ออยู่ต่อหน้าเต่าตัวนี้นางแทบจะไม่มีแรงโต้กลับเลย แต่ซือมั่วเล่า?
เมื่อภูตเต่าอยู่ต่อหน้าเขาก็ช่างอ่อนแอเหลือเกิน
เพียงแค่เขาเหยียบภูตเต่าก็แหลกเละแล้ว
ความเงียบของมู่ชิงเกอทำให้ซือมั่วที่กำลังจัดการกับความสกปรกใต้เท้าของตนเองหันมองมา เมื่อมองเห็นอารมณ์แปลกประหลาดบนใบหน้าของนางแล้ว เขาก็หวังดีพูดปลอบใจว่า “เสี่ยวเกอเอ๋อร์ไม่ต้องสนใจไป ภูตเต่าชนิดนี้ในแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารนั้นเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำที่สุดเท่านั้น แม้จะเป็นเด็กสามขวบก็สามารถฆ่าได้ง่ายๆ”
“…” มู่ชิงเกอเงยหน้าขึ้นมา ใช้สายตาแค้นเคืองมองเขา “เจ้าแน่ใจนะว่าเจ้ากำลังปลอบใจ?”
อะไรกัน! นี่เป็นการทำร้ายจิตใจกันต่างหากเล่า
บนแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมาร แค่เด็กสามขวบก็สามารถฆ่าสิ่งมีชีวิตที่ตํ่าที่สุดได้ ส่วนในโลกแห่งยุคกลางมันกลับสามารถทำร้ายนางจนเกือบตายได้!
ทันใดนั้นมู่ชิงเกอก็รู้สึกว่าตนเองอ่อนแอมาก!
ภายในดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองและอดสู และยังนึกตำหนิกับประโยคนั้น…
ซือมั่วชะงัก เขากำลังปลอบใจเสี่ยวเกอเอ๋อร์จริงๆ นะ? ทันใดนั้นเขาก็ยื่นแขนออกไปโอบเอวของมู่ชิงเกอดึงเข้ามาในอ้อมอก ให้สองเท้าของนางเหยียบอยู่บนรองเท้าของเขา เพื่อที่นางจะได้ไม่ต้องเหนื่อยมากตอนที่เงยหน้า
ซือมั่วก้มหน้าลงครอบครองริมฝีปากของนางอย่างง่ายดาย
“อื้อ!” จูบที่มาอย่างกะทันหันนี้ทำให้มู่ชิงเกอเบิกตากว้าง สมองว่างเปล่า
จูบของซือมั่วเร่าร้อนมาก เขาออกแรงงัดแนวฟันที่ปิดสนิทของมู่ชิงเกอออก ต้องการเก็บเกี่ยวความหอมหวานมากกว่านี้
เหมือนว่าเขาจะไม่ได้ลิ้มลองความหอมหวานที่แผ่ซ่านมาจากริมฝีปากเช่นนี้มานานแล้ว ทำให้เขาไม่อยากจะหยุด
ในขณะที่ซือมั่วกำลังตั้งใจลิ้มรสความหวานหอมที่เป็นของเขาอยู่นั้น ก็พบว่ามู่ชิงเกอใจลอย จึงประท้วงว่า “เสี่ยวเกอเอ๋อร์ ตั้งใจหน่อยสิ”
คำประท้วงจากเขาทำให้มู่ชิงเกอได้สติกลับมา โอนอ่อนไปกับจูบที่ทั้งอ่อนโยนและบ้าอำนาจของเขา ผ่านไปเนิ่นนาน ซือมั่วถึงได้คลายจูบออกมาอย่างอาลัย มู่ชิงเกอลืมตาขึ้น สายตาสบเข้ากับนัยน์ตาสีอำพันคู่นั้นของซือมั่ว
นางมองเห็นอารมณ์ที่ถูกซ่อนอยู่ในแววตาของเขา หากไม่ใช่เพราะเวลาและสถานที่ไม่เหมาะสม เขาก็คงจะต้องการมากกว่านี้…
ใบหน้าของมู่ชิงเกอผุดความเอียงอายออกมา
“ดีขึ้นบางหรือยัง?” ซือมั่วเอ่ยถาม
มู่ชิงเกอชะงัก ชั่วขณะนั้นก็ได้สติกลับมา การจูบเมื่อครู่ก็คือคำตอบที่ผู้ชายคนนี้ตอบนาง!
นางบอกว่าคำพูดก่อนหน้านี้ของเขาไม่ใช่การปลอบใจ กลายเป็นว่าผู้ชายคนนี้ใช้การกระทำแทน?
เวรกรรม!
‘ผู้ชายคนนี้กลายเป็นคนเจ้าเล่ห์ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน! ไม่! เขาก็เจ้าเล่ห์อยู่ตลอดนั้นแหละ!’ มู่ชิงเกอกัดฟันพูดในใจ
นางผลักเขาออกแล้วจัดเสื้อผ้าของตนเองพูดด้วยใบหน้าที่ดูเย็นชาว่า “บนนั้นยังมีคนรอข้าอยู่”
ที่สำคัญก็คือ มีซือมั่วอยู่ นางก็มีความมั่นใจที่จะถามถึงคนที่อยู่เบื้องหลังได้!
ซือมั่วพยักหน้าแล้วโอบกอดเอวของมู่ชิงเกออีกครั้ง “พวกเราไปกันเถอะ”
เอวของมู่ชิงเกอกระชับแน่นขึ้น ทำให้มู่ชิงเกอรู้สึกว่าการมีคนตามใจจนสามารถเอาแต่ใจตัวเองได้นั้นที่จริงแล้วความรู้สึกเช่นนี้ก็ไม่เลวเลย
นางหรี่ตาเล็กลง นัยน์ตาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม นางเงยหน้าถามเขาว่า “จะออกไปอย่างไร? พวกเราเดินไปจนถึงด้านบนสุดแล้วเจาะรูออกไปเป็นอย่างไร”
ซือมั่วพยักหน้า ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “วิธีไม่เลว แต่ไม่จำเป็นต้องลำบากขนาดนั้น”
มู่ชิงเกอชะงัก ยังไม่ทันเข้าใจความหมายของเขา ก็รู้สึกว่าตัวเองถูกผู้ชายด้านข้างโอบกอดแล้วร่างกายก็ลอยจากพื้นขึ้นไปบนยอดถํ้าดุจดงลูกศรเพลิง
นางเบิกตากว้าง พริบตาเดียวก็เข้าใจความคิดของผู้ชายคนนี้
ปัง!
ยอดถํ้าถูกซือมั่วทะลุออกไปเป็นทาง
ทางสายนี้พุ่งไปถึงพื้นดิน ทำให้ทางแยกต่างๆ ภายในถํ้าที่พวกเขาผ่านไปพังทลายลงมา
‘…ป่า…ป่าเถื่อนเกินไปแล้ว!’ ระหว่างที่กำลังพุ่งขึ้นไป มู่ชิงเกอก็ถอนหายใจในใจอย่างตกตะลึง ‘แต่ว่า ป่าเถื่อนและเรียบง่ายเช่นนี้ข้าชอบ!’
มุมปากของนางเผยรอยยิ้มสุขใจออกมา
พลังจากหมัดเดียวของซือมั่วพุ่งจากใต้ถํ้าจิ่วเฉวียนขึ้นมาบนพื้น
คนในหน้ากากสีทองและลูกน้องที่เหลือรออยู่บนพื้น ทันใดนั้นพื้นที่ที่ห่างจากพวกเขาไปไม่ไกลก็เกิดเสียงระเบิดดังขึ้นมาพร้อมกับหมอกสีขาวและฝุ่นที่กระจายคลุ้งไปทั่ว
ปรากฏการณ์ใหญ่โตเช่นนี้ ทำให้คนในหน้ากากสีทองและลูกน้องของเขาตกใจ
เขาโบกมือ ระดับสีทองคนหนึ่งก็ก้าวมาตรงหน้าของเขาในทันที
“พาคนไปดู” คนในหน้ากากสีทองสั่งการ
ระดับสีทองทำตามคำสั่ง พาระดับสีเงินสองคนเดินไปยังสถานที่ที่เกิดเสียง
สิ่งที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้ทำให้คนในหน้ากากสีทองรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก จากประสบการณ์ที่สั่งสมมานาน ทำให้เขาคิดจะออกไปจากที่นี่ แต่ในตอนที่เขาเตรียมจะพาคนสนิทระดับสีทองสองคนจากไปนั้น กลับ ได้ยินเสียงร้องโหยหวนดังขึ้นมา
เลียงนี้โหยหวนจนทำให้คนที่ได้ยินรู้สึกหัวใจสั่นสะท้าน
ต่อจากนั้น พวกเขาเพิ่งจะเงยหน้ามองก็เห็นคนระดับสีทองหนึ่งคนและคนระดับสีเงินสองคนที่ออกไปสืบข่าว ถูกโยนขึ้นไปกลางอากาศ แล้วร่างกายก็ระเบิดแตกกระจายตกลงมา
นํ้าเลือดในร่างกายของพวกเขากลายเป็นฝนเลือดตกลงมา สาดลงบนร่างกายของคนใส่หน้ากากคนอื่น
ฉากนองเลือดเช่นนี้ทำให้คนในหน้ากากที่ยืนอยู่รู้สึกขาอ่อน
ระดับสีทอง!
คนหนึ่งในนั้นเป็นระดับสีทองเชียวนะ!
ไม่มีแม้แต่พลังจะตอบโต้ก็มีจุดจบเช่นเดียวกันกับอีกสองคนแล้ว
นี่หมายถึงว่าอีกฝ่ายร้ายกาจขนาดไหนกัน?
ชั่วขณะนั้นในใจของทุกคนก็รู้สึกอยากจะหลบหนีขึ้นมา โดยเฉพาะคนในหน้ากากสีทอง!
เขาลากระดับสีทองสองคนมาแล้วสั่งกับคนที่เหลือว่า “พวกเจ้าต้านเอาไว้หลังกลับไปแล้วข้าจะให้รางวัลอย่างงาม!”
อะไรนะ!
คนในหน้ากากคนอื่นๆ ล้วนแต่แค้นใจมาก ไม่ว่าใครก็รู้ดีว่าหากเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งเช่นนี้ก็แทบจะไม่มีโอกาสรอดเหลืออยู่เลย คนเมื่อตายแล้วจะพูดถึงรางวัลอะไรอีก?
เพียงแต่สถานะของคนในหน้ากากสีทองแขวนอยู่บนนั้น ทำให้พวกเขายากที่จะต่อต้านได้
คนในหน้ากากสีทองเผยสีหน้าเย็นชาหันกายคิดจะวิ่งหนี
แต่เขายังไม่ทันได้ก้าวเท้าก็พบว่าตนเองขยับไม่ได้
เขามองคนทางด้านซ้ายและขวาอย่างหวาดกลัว ก็พบว่าคนอื่นๆ เหมือนกันกับตนเอง ดูเหมือนกับถูกวิชาหยุดนิ่งก็ไม่ปาน
เวลานี้เองก็มีคนสองคนเดินออกมาจากหมอก
เมื่อมองเห็นรูปโฉมของหนึ่งคนในนั้นชัดเจนแล้ว นัยน์ตาของคนในหน้ากากสีทองก็หดตัวลง มู่ชิงเกอเดินอยู่ข้างกายซือมั่ว นางไพล่มือไว้ด้านหลัง เดินอย่างผ่อนคลาย รอยยิ้มบนใบหน้าดูเจิดจ้า รอยยิ้มนั้นเมื่ออยู่ในสายตาของคนในหน้ากากสีทองแล้วก็เป็นรอยยิ้มที่ดูทิ่มแทงนัยน์ตามาก
ราวกับมู่ชิงเกอกำลังเยาะเย้ยเขา!
คนอื่นๆ เองก็ไม่สามารถขยับตัวและไม่สามารถพูดได้เช่นกัน ทำได้เพียงกลอกตาไปมา
พวกเขามองเห็นคนที่พวกเขาไล่สังหารก่อนหน้านี้มาปรากฎตัวอยู่ตรงหน้าของพวกเขา อีกทั้งยังพาอีกคนหนึ่งมาด้วย ที่สำคัญก็คือ คนที่ปรากฎตัวอย่างกะทันหันคนนี้ทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัวมาก
ราวกับว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าเขาแล้วพวกเขาก็เป็นดุจดั่งมดปลวก ไม่มีความกล้าที่จะต่อต้านเลย
ซือมั่วยืนอยู่ที่เดิม ไม่ได้เดินตามมู่ชิงเกอไปข้างหน้า
เพราะเขารู้ว่านี่เป็นเวทีของมู่ชิงเกอ ที่เขาต้องทำก็คือช่วยนางจับตาดูคนเหล่านี้ให้ดีก็เท่านั้น
มู่ชิงเกอเดินไปจนถึงตรงหน้าของคนในหน้ากากสีทอง มุมปากเผยยิ้มอย่างดูแคลน
นางยื่นมือออกไปดึงหน้ากากบนใบหน้าของเขาลงมา ท่ามกลางสายตาที่หวาดกลัวของเขา เผยให้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขา
“เป็นเจ้า!” ดวงตาของมู่ชิงเกอหรี่เล็กลง ยิ้มเยาะที่มุมปาก
นางไม่ได้รู้สึกแปลกหน้ากับใบหน้านี้
นางเคยเห็นใบหน้านี้ในงานชุมนุมใหญ่ของสำนักวิถีโอสถ เป็นเพราะเขานั่งใกล้กับซางซุ่นหวางและมู่เสวี่ยอู่ ดังนั้นจึงรู้สึกคุ้นเคยกับใบหน้านี้อยู่บ้าง
“คนตำหนักเทพ” มู่ชิงเกอยิ้มขึ้นมา รอยยิ้มเต็มไปด้วยความดุดัน
ที่แท้คนของตำหนักเทพก็อยากได้หม้อผลาญสวรรค์!
ข้อสงสัยในใจของมู่ชิงเกอคลายออก ตอนนี้สิ่งที่นางอยากรูให้แน่ชัดก็คือ การเคลื่อนไหวในครั้งนี้เป็นทูตเทวะคนนี้ลงมือเองหรือเป็นคำสั่งจากตำหนักเทพ
หากเป็นอย่างแรกก็ดีหน่อย
แต่หากเป็นอย่างหลัง…
มู่ชิงเกอขมวดคิ้วขึ้น นัยน์ตาฉายแววอำมหิต
มู่ชิงเกอหันมองซือมั่ว เอ่ยปากว่า “ข้าต้องการถามบางอย่างจากเขา”
ซือมั่วก้าวเข้ามาแล้วเอ่ยเตือนว่า”ไม่จำเป็นต้องเปลืองนํ้าลาย เอาความทรงจำเขาออกมาเลยดีกว่า”
นัยน์ตาของมู่ชิงเกอเปล่งประกายออกมา พยักหน้าแล้วถอนสายตากลับ มองไปที่ทูตเทวะคนนั้นด้วยความขี้เล่น
‘เจ้าคิดจะทำอะไร! เจ้าคิดจะทำอะไร!’ ทูตเทวะเบิกตากว้าง นัยน์ตาฉายแววหวาดกลัว แต่น่าเสียดายที่เขาไม่อาจพูดและตอบโต้อะไรได้
ยิ่งเขากลัว มู่ชิงเกอก็ยิ่งรู้สึกอารมณ์ดี
ความรู้สึกดีเช่นนี้ไม่ด้อยไปกว่าการที่นางลงมือจัดการเองเลย
‘คิดไม่ถึงว่าบางครั้งการได้ยืมมือคนอื่นรังแกคนก็รู้สึกไม่เลวเหมือนกัน’ มู่ชิงเกอพูดในใจ
ก่อนที่นางจะลงมือก็มองไปยังซือมั่ว “ข้ากลัวว่าข้าจะมีกำลังไม่พอ”
การแย่งชิงความทรงจำของคนอื่นเป็นเรื่องที่เสี่ยงมาก อาจเกิดการสะท้อนกลับได้ง่ายและอาจจะทำให้ความทรงจำของตนเองได้รับบาดเจ็บ
แต่ซือมั่วกลับยิ้มอย่างเอ็นดู แล้วพูดกับนางว่า “อย่ากลัวไป มีข้าอยู่”