ตอนที่ 49
แรกเข้าค่ายตระกูลมู่
มู่ชิงเกอตามท่านปู่ของตนเองออกจากเมือง บางทีอาจจะเพราะว่าช่วงนี้นางไม่ได้ก่อความเดือดร้อนตามตลาด นางจึงสัมผัสได้ว่าความกลัวและเกลียดชังที่ ประชาชนมีให้กับนางเหมือนไม่ได้มีมากดังแต่ก่อนแล้ว มู่ซงพาทั้งขบวนออกจากเมืองไปยังค่ายพักแรมของทหารโดยไร้ซึ่งอุปสรรคใดๆ กองทัพที่ขึ้นตรงต่อมู่ซง ทหารของตระกูลมู่ ส่วนมากไม่ได้อยู่ในลั่วตู แต่เฝ้าอยู่ตามชายแดน ผู้ที่รับผิดชอบเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ภายในกองทัพ ก็คือมือซ้ายและมือขวาของมู่ซง
ทหารตระกูลมู่ที่ประจำอยู่ในลั่วตู มีอยู่เพียงไม่ถึงหนึ่งหมื่นคน
และกองทัพนี้หากไม่ได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้ก็ห้ามออกจากค่ายโดยเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะต้องโทษ ฐานสมคบกันก่อกบฏ
แม้เป็นทหารตามชายแดนของตระกุลมู่ก็เช่นกัน หากไม่ได้รับพระบัญชาเรียกตัวจากองค์ฮ่องเต้ ก็ไม่อาจทิ้งชายแดนไปได้ง่ายๆ มู่ซงที่อยู่ในลั่วตูจึงเป็นกุญแจสำคัญที่ฮ่องเต้จะใช้กวาดล้างทหารของกองทัพตระกูลมู่
องครักษ์คนสนิทของตระกูลมู่ ก็คัดเลือกมาจากทหารกองทัพตระกูลมู่ทั้งสิ้น กองทหารตระกูลมู่รับใช้มู่ซงมาทั้งชีวิต ความซื่อสัตย์นั้นมาจากใจจริงอย่างแน่นอน
ค่ายพักแรมของตระกูลมู่อยู่ในที่ราบระหว่างภูเขาซึ่งเป็นที่ลับตาคน คนภายนอกยากที่จะเข้าไปในบริเวณนั้นได้ ภายในอาณาเขตร้อยเมตรถือเป็นพื้นที่ของกองทหารไม่มีใครสามารถเข้าไปได้
จากจุดนี้ เห็นได้ชัดถึงความสามารถของมู่ซง กองทหารตระกูลมู่ที่จงรักภักดีต่อมู่ซง สำหรับฮ่องเต้ฉินชางแล้วเหมือนดั่งหญิงสาวที่งดงามและเย็นชา ทำให้
พระองค์ทั้งหวาดกลัวและอยากจะครอบครอง
พระองค์อยากจะล้วงความลับจากทหารตระกูลมู่ แต่เสียดายที่ไม่เคยสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว
เห็นได้ชัดว่า การนำทัพของมู่ซงนั้นยอดเยี่ยมมาก
บางที อาจจะเป็นเพราะกองทัพตระกูลมู่รักใคร่ปรองดองและซื่อสัตย์เกินไปจึงยิ่งทำให้ฮ่องเต้หวาดกลัวมู่ซง
หากฮ่องเต้อยากจะกล่าวโทษใครสักคน ผู้ใดจะกล้าว่าอันใดได้ ฮ่องเต้อยากจะสังหารผู้ใด ไม่จำเป็นต้องมีเหตุมีผล หากเจ้าได้กลายเป็นภัยมหันต์ในใจของกษัตริย์แล้วไซร้ แม้ว่าเจ้าจะไม่มีใจคิดกบฏก็มีแต่ด้องตายสถานเดียวเท่านั้น ทุกคำพูดและทุกการกระทำล้วนกลายเป็นความผิดได้ทั้งนั้น
มู่ชิงเกอค่อยๆ เดินเข้าไปในอาณาเขตค่ายพักทหารตามมู่ซง
ระหว่างทางเต็มไปด้วยเวรยาม ที่มีการจัดวางไว้อย่างแยบคายโดยไร้ซึ่งช่องโหว่ใดๆ
แม้ว่ามู่ซงจะนำทัพมาด้วยตนเอง แต่ก็ต้องตรวจสอบให้ละเอียด ความเคร่งครัดในการทหารแบบนี้ทำให้จิตวิญญาณของมู่ชิงเกอที่มาจากกองทหารในยุคปัจจุบันรู้สึกชื่นชม ในที่สุดมู่ชิงเกอก็มองเห็นค่ายทหารที่ซ่อนอยู่ระหว่าง
ภูเขา
ภายในค่ายเต็มไปด้วยกระโจม เสียงของเหล่าทหารที่กำลังฝึกกันอยู่ดังราวกับฟ้าร้อง ทำให้สรรพสัตว์ในป่าต่างตื่นตระหนก
“เกอเอ๋อร์ที่นี้คือค่ายทหารของตระกูลมู่ นี่คงเป็นครั้งแรกที่เจ้ามาที่นี่” มู่ซงนั่งหลังตรงอยู่บนหลังม้า นัยน์ตาเปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิใจ สิ่งที่มู่ชิงเกอเห็นคือทหารที่เข้าแถวกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย การเคลื่อนไหวทุกท่วงท่าที่พร้อมเพียงกัน ทุกคนต่างยืดอกหลังตรง
แม้จะเป็นแค่การฝึกแปรรูปขบวนทัพ แต่ทุกคนต่างก็ตั้งใจอย่างจริงจังและทะมัดทะแมงยิ่ง
ทหารแบบนี้ หากไปอยู่ในสนามรบ คงจะทำให้ศัตรูเกรงกลัวได้จริงๆ แต่มันก็ยังไม่เพียงพอ
มู่ชิงเกอเม้มปากเบาๆ
ชาติที่แล้วนางเป็นผู้นำของค่ายบังคับบัญชาพิเศษ ได้รับการฝึกฝนมา ทหารธรรมดาก็ไม่อาจเทียบได้ และในโลกนั้น ในยุคสมัยนั้น การทำสงครามอย่างเป็นจริงเป็นจังนั้นมีน้อยมาก สิ่งที่มีมากคือการแทรกซึมเข้าไปในถิ่นศัตรู
นางชำนาญการต่อสู้วิธีพิเศษนั้นก็คือ การฆ่าคน ปลิดชีพอีกฝ่ายโดยที่ใบหน้ายังคงยิ้มอยู่
เพราะฉะนั้น บรรดาทหารตระกูลมู่ตรงหน้า แม้ว่าจะไม่ธรรมดา แต่ก็ไม่อาจทำให้นางตื่นกลัวได้
หลังจากที่รู้ว่ามู่ซงจัดองครักษ์ให้ตนเองใหม่ในใจของมู่ชิงเกอก็มีความคิดหนึ่งเกิดขึ้นมา บางทีนางอาจจะสามารถก่อตั้งค่ายทหารฝีมือดีของตัวเองขึ้นมาในโลกนี้ เป็นทหารที่เก่งกาจไม่มีอะไรที่ทำไม่สำเร็จและไม่เคยพ่ายแพ้ในสงคราม
มู่ชิงเกอเก็บความคิดในใจของตนเองไว้ก่อน แล้วลงจากหลังม้าตามมู่ซงไปทางสนามฝึกทหาร
ระหว่างทางผู้บังคับบัญชาการทหารหลายคนเริ่มเข้ามาต้อนรับเมื่อได้รับข่าว
คนพวกนี้มู่ชิงเกอรู้จักแต่ไม่รู้ว่าชื่ออะไรจำได้เพียงเลือนรางว่าในวันที่นางโดนเฆี่ยน พวกเขาก็เฝ้าอยู่ข้างๆ มู่ซง
“ท่านแม่ทัพ คุณชาย!”
ในขณะที่ทุกคนประสานมือขึ้นคาราวะ เสื้อเกราะที่สวมอยู่บนกายก็กระทบกันจนเกิดเสียงดัง
มู่ชิงเกอค่อยๆ พยักหน้าแล้วถอยหลังไปหนึ่งก้าว สถานการณ์แบบนี้ปล่อยให้ท่านปู่จัดการจะดีที่สุด
มู่ซงเองก็พยักหน้าแล้วพูดกับพวกเขาว่า “บอกเหล่าทหารแล้วหรือยัง”
รองแม่ทัพหลายคนมองหน้ากันและพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “เรียนท่านแม่ทัพ เรื่องที่คุณชายจะมาคัดเลือกองครักษ์ข้าน้อยได้บอกทหารทุกนายแล้ว ขณะนี้ทหารกองตระกูลมู่มีทั้งหมดหนึ่งหมื่นนายล้วน ตอนนี้รอท่านแม่ทัพและคุณชายไปตรวจสอบอยู่ที่สนามฝึกขอรับ”
มู่ซงยิ้มและพูดด้วยความพอใจเป็นอย่างมากว่า “พอเถอะ ครั้งนี้ที่มาเพราะเกอเอ๋อร์เจ้าเด็กบ้านี่จะคัดเลือกองครักษ์ไม่ได้มีเรื่องใหญ่โตอะไร ไม่ต้องเป็นทางการอะไรมาก”
พูดจบ ก็บอกกับรองแม่ทัพหลายคนว่า “พวกเจ้าไปเตรียมการก่อน ข้ากับเกอเอ๋อร์จะตามไปทีหลัง”
รองแม่ทัพหลายคนรับคำสั่งและเดินออกไป
ตอนนี้ รอบข้างของมู่ซง เหลือคนอยู่ไม่กี่คนซึ่งต่างก็เป็นผู้ติดตามที่เดินทางมาพร้อมกัน มู่ซงพยักหน้าให้กับมู่ชิงเกอที่เดินอยู่ข้างๆ เขา ผู้ติดตามที่รู้หน้าที่รู้ว่าเจ้านายทั้งสองมีเรื่องจะพูดคุยกันก็เดินช้าลง พร้อมทั้งสังเกตความเคลื่อนไหวรอบๆ เพื่อ ไม่ให้มีคนแอบฟัง
แม้ว่าทหารของกองทัพตระกูลมู่จะไม่ทำแบบนั้นก็ตาม แต่ปฏิกิริยาพวกนี้ได้รับมาจากการฝึกฝน เป็นการตอบสนองอัตโนมัติของพวกเขาที่ถูกหยั่งรากลึกมา
มู่ชิงเกอแอบกวาดสายตามองแล้วจึงรู้ว่าไม่ใช่แค่องครักษ์ของมู่ซงเท่านั้น แต่สาวใช้ทั้งสองของนางและเด็กรับใช้อย่างมั่วหยางเองก็เช่นกัน
สายตาของพวกเขามีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันมาก นั้นก็คือความซื่อสัตย์อย่างหาที่สุดไม่ได้ “เกอเอ๋อร์ครั้งนี้องครักษ์ของเจ้า ปู่ให้เจ้าเลือกเอง” อยู่ๆ มู่ซงก็พูดขึ้นมา
ให้นางเลือกเอง? ตรงกับความคิดของนางพอดี