Skip to content

พลิกปฐพี 497

ตอนที่ 497

ถูกดูดไปแล้ว

กลิ่นอายความเฉียบคมตวัดผ่านลำคอของตนเอง

เดิมทีหัวหน้านักฆ่าตำหนักเทพก็คิดจะหลบ แต่เขากลับพบว่าตนเองไม่สามารถขยับตัวได้ แม้แต่ความคิดก็เหมือนจะช้าลง

ภาพสุดท้ายในนัยน์ตาของเขาเหลือแค่เพียงใบหน้าอันงดงามของมู่ชิงเกอพร้อมกับรอยยิ้มเยาะเย้ย

เยาะเย้ยหรือ?

นางกำลังเยาะเย้ยอะไร?

เยาะเย้ยที่ตนเองฆ่านางไม่ได้แต่กลับถูกฆ่าตายเองงั้นหรือ?

“อ๊าก!”

“อ๊าก!”

เสียงสุดท้ายที่ข้างหูเป็นเสียงร้องโหยหวนของเหล่าลูกน้อง ไม่ต้องหันไปดูเขาก็รู้ว่าทั้งหมดพ่ายแพ้ยับเยินแล้ว

ฉึบ!

ของอะไรถูกตัดผ่านน่ะ?

เหมือนมีของเหลวร้อนไหลออกจากคอ

เขาเบิกตากว้าง ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าตนเองมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง รู้สึกว่าตนเองพลิกกลับไปมากลางอากาศ สุดท้ายก็ตกลงบนพื้น

ตุบ!

ศีรษะตกจากฟ้าลงบนพื้นสีขาวบริสุทธิ์

มู่ชิงเกอค่อยๆ ลอยลงมา ทวนหลิงหลงในมือปักลงกับพื้น ปลายทวนแหลมคมแทงเข้าไปในศีรษะนั้น

รอบด้านเกิดเสียงสูดลมหายใจแรงๆ ขึ้นชั่วขณะ

นางมองไปยังศีรษะที่ตายตาไม่หลับด้วยนัยน์ตาที่ฉายแววเยาะเย้ย คนในโลกแห่งยุคกลางไม่เคยให้ความสำคัญกับการฝึกจิตวิญญาณ ถึงแม้ว่าคนคนนี้จะแข็งแกร่งแค่ไหน พลังฝึกปรือสูงแค่ไหน แต่จะขวางการโจมตีทางจิตวิญญาณที่นางเรียนมาจากเคล็ดวิชาเทวะส่วนกลางได้อย่างไร?

ตาย…ตายแล้วหรือ?

คนที่มองอยู่ไกลๆ ค่อยๆ ยืนขึ้นมามองสนามรบฝั่งนี้อย่างตกตะลึง

คนที่มาไล่ฆ่ามู่ชิงเกอล้วนแต่ตายอยู่ที่นี่หมดแล้ว

ซากร่างบนพื้น เลือดเป็นหย่อมๆ ล้วนแต่เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าพวกเขาไม่ได้ตาพร่าและก็ไม่ได้มองผิดไป ที่สำคัญก็คือ

“เจ้าเมืองมู่ฆ่าระดับสีทองชั้นสี่หรือ? ไม่ใช่ว่านางอยู่ระดับสีทองชั้นหนึ่งงั้นหรือ?”

“สัตว์ประหลาด! ถึงกับสามารถต่อสู้ข้ามระดับได้!”

“ที่สำคัญก็คือ การต่อสู้นี้ดุคันมาก! ถึงกับเอาชนะศัตรูระดับสีทองชั้นสี่ได้ ทั้งยังตัดหัวลงมาได้อีก”

“ไม่ พวกเจ้าผิดแล้ว! ที่สำคัญก็คือ ผู้หญิงคนหนึ่งต่อสู้กับผู้ชายได้ทั้งยังเท่ขนาดนี้ต่างหาก!”

ประโยคนี้ทำให้มุมปากของผู้ชายจำนวนไม่น้อยกระตุก

ดูแคลนตนเองในใจ

หากเปลี่ยนเป็นพวกเขา พวกเขาคงทำไม่ได้

“ชิงเกอ”

เมื่อการต่อสู้สิ้นสุดลง พวกจีเหยาฮั่วสี่คนก็เดินมาที่ข้างกายของมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอดึงทวนหลิงหลงออกมา สลัดคราบเลือดบนปลายทวนออก แสงเยียบเย็นวาววาบ ทวนหลิงหลงกลับเป็นปลอกนิ้วมืออีกครั้ง สวมอยู่บนนิ้วชี้ข้างขวาของนาง

จากนั้นนางจึงเงยหน้าขึ้นมองคนทั้งสี่คนแล้วยิ้มให้พวกเขา

“อย่า อย่า อย่า เจ้าอย่ายิ้มให้ข้า ข้ากลัวควบคุมตัวเองไม่อยู่!” จีเหยาฮั่วใช้มือหนึ่งบังดวงตาของตนเอง ใช้อีกมือยกขึ้นมาขวางมู่ชิงเกอ

รอยยิ้มที่มุมปากของมู่ชิงเกอแข็งทื่อ รู้ว่าเขาใช้วิธีหยอกล้อเช่นนี้มาทำลายความกระดากใจ ดังนั้น นางจึงเลิกคิ้วแล้วพูดเออออตามเขาไปว่า “ต้องการให้ข้าช่วยเจ้ากำจัดมันออกหรือไม่?”

เมื่อคำพูดนี้หลุดออกไป เหยาชิงไห่ก็อดก้มหน้าหัวเราะออกมาไม่ได้

ริมฝีปากที่เม้มแน่นของอิ๋งเจ๋อก็โค้งขึ้นมาเล็กน้อย

แม้แต่เว่ยมั่วลี่ที่มักจะสงบนิ่งเหมือนนํ้านิ่งก็ยังมองมาที่จีเหยาฮั่วแวบหนึ่ง

แผ่นหลังของจีเหยาฮั่วแข็งทื่อ สะบัดมืออย่างโมโห จ้องมองมู่ชิงเกอแล้วเอ่ยว่า “เจ้าเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง อย่าได้ใจร้ายใจดำขนาดนี้ได้หรือไม่?”

มู่ชิงเกอถามกลับว่า “เจ้าเพิ่งรู้จักข้าวันแรกงั้นหรือ?”

ประโยคนี้ทำให้จีเหยาฮั่วหมดคำจะพูด เขาพบว่าไม่ว่ามู่ชิงเกอจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็เป็นคนที่ไม่มีใครกล้าล่วงเกิน และก็เจ้าเล่ห์เข้ากระดูกอยู่ดี!

“นักฆ่าเหล่านี้เป็นใคร เหตุใดถึงมาตามฆ่าเจ้าถึงที่นี่?” เหยาชิงไห่มองซากร่างบนพื้นแล้วก็เอ่ยถามมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอเงยหน้ามองเขา ไม่ได้ตอบคำถามของเขา แต่กลับตอบกลับไปว่า “รอเจ้าออกจากที่นี่กลับไปสำนักวิถีโอสถแล้วบอกเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้อาจารย์ของเจ้าฟังด้วย” นัยน์ตาของเหยาชิงไห่ฉายแวววาววาบ พยักหน้า ไม่ได้ถามต่ออีก

ทันใดนั้น ช่องว่างขาวบริสุทธิ์ก็เกิดสั่นสะเทือนขึ้น

การเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันนี้ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าจีเหยาฮั่วหายไป เก็บคำถามที่คิดจะถามกลับไป ระวังรอบด้านพร้อมกับทุกคน

“เกิดอะไรขึ้น?”

“เหตุใดจู่ๆ ถึงได้เกิดสั่นขึ้นมา?”

“ช่องว่างกำลังจะพังทลายแล้วงั้นหรือ!”

“จะเป็นไปได้อย่างไร?”

“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ เมื่อครู่ต่อสู้กันรุนแรงถึงขนาดนั้น!”

บึ้ม บึ้ม!

ภายในช่องว่างสีขาวบริสุทธิ์สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง คนจำนวนมากไม่อาจยืนอย่างมั่นคงได้พากันเซไปเซมา

จีเหยาฮั่วเงยหน้ามองท้องฟ้าสีขาว แล้วก็เอ่ยถามว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น? เป็นไปไม่ได้ที่จะพังทลาย พวกเจ้ามีใครสืบข้อมูลเกี่ยวกับแม่นํ้ารั่วมาบ้าง ช่วยพูดออกมาที”

อิ๋งเจ๋อที่นิ่งเงียบพูดขึ้นในตอนนี้ว่า “เดิมทีที่นี่ก็มีไว้เพื่อให้คนที่มาถามหาวิถีได้สงบใจ มีเพียงแค่ใจสงบแล้วถึงจะมองเห็นสิ่งที่ถูกซ่อนเอาไว้ เมื่อเวลามาถึงก็จะเริ่มถามวิถีเอง”

ถามวิถี?

มู่ชิงเกอมองอิ๋งเจ๋อ “ภายในบันทึกที่เจ้าอ่านมีคำอธิบายว่าจะถามวิถีอย่างไรหรือไม่?”

อิ๋งเจ๋อค่อยๆ ส่ายหน้า

เวลานี้เอง ก็มีเสียงร้องอย่างหวาดกลัวดังเข้ามาจากที่ไกลออกไป ดึงดูดสายตาของคนทั้งห้าเอาไว้

พวกเขามองเห็นคนจำนวนไม่น้อยถูกพลังบางอย่างดูดหายไปจากที่เดิม

ทันใดนั้นเว่ยมั่วลี่ก็รู้สึกว่ามีแรงดูดส่งมาจากใต้เท้า เหมือนมีมือล่องหนจับเข้าที่ข้อเท้าของตนเอง เขากำลังคิดจะส่งเสียงเตือนก็รู้สึกว่าร่างกายของตนเองถูกดูดไปอย่างควบคุมไม่ได้แล้ว

เว่ยมั่วลี่ถูกดูดไปแล้ว มู่ชิงเกอที่ยืนอยู่ข้างหน้าเขาสัมผัสได้ในทันที ในตอนที่นางหันไปมองและได้เห็นว่าตำแหน่งที่เว่ยมั่วลี่เคยยืนอยู่นั้นกลายเป็นความว่างเปล่า นัยน์ตาของนางก็หดตัวลง

“เว่ยมั่วลี่เล่า?” จีเหยาฮั่วเอ่ยขึ้นอย่างประหลาดใจ

“ถูกดูดไปแล้ว” อิ๋งเจ๋อที่มองเห็นทุกอย่างเอ่ยขึ้น เขาคิดจะยื่นมือเข้าช่วยเหลือ แต่เขายังไม่ทันได้เคลื่อนไหว เว่ยมั่วลี่ก็ถูกดูดไปแล้ว

พูดได้เพียงว่าทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วเกินไป!

เหยาชิงไห่พูดว่า “พวกเรา…”

แต่เขายังพูดไม่จบ ตัวเขาก็หายไปจากที่เดิม เหมือนจะถูกพลังดูดเข้าไปในช่องว่างที่ไม่รู้จัก

ในห้าคนหายไปแล้วสองคน ทำให้คนที่เหลืออีกสามคนระวังตัวขึ้นมา

ทันใดนั้นพวกเขาก็พบว่ารอบด้านเงียบสงัดลง

ทั้งสามคนมองไปอีกด้านพร้อมกัน และก็พบว่าบรรดาคนที่มาแม่นํ้ารั่วเพื่อถามหาวิถีนั้นหายไปหมดแล้ว

“คนละ?” จีเหยาฮั่วถามอย่างแปลกใจ

ในเวลาเดียวกัน ทั้งสามคนก็รู้สึกว่าข้อเท้าของตนเองโดนพลังบางอย่างดึงดูดลงไป

พวกเขามองลงไปยังข้อเท้าของตนเอง เพียงสบตากันแวบหนึ่งก็ถูกพลังอะไรบางอย่างดูดให้หายไปจากที่เดิมแล้ว

ภายในช่องว่างสีขาวไม่มีคนเป็นๆ หลงเหลืออยู่เลยสักคน

ที่เหลืออยู่ก็มีเพียงซากศพหลายสิบร่างบนพื้นเท่านั้น โลกสีขาวบริสุทธิ์สงบลงอีกครั้ง ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ไม่ปาน

ทันใดนั้นก็มีแสงสีเงินเป็นสายเปล่งแสงออกมาจากซากศพเหล่านี้

เมื่อแสงสีเงินจางหายไป ซากศพเหล่านี้ก็หายไปด้วย เมื่อปรากฎขึ้นอีกครั้งก็ไปปรากฎอยู่นอกแม่นํ้ารั่ว ด้านนอกนํ้าตกสีเงินที่โผล่ออกมาจากรอยแยกอย่างไร้ที่มาที่ไปนั้น

“นี่คือที่ไหนกัน?” มู่ชิงเกอมองไปรอบด้าน นัยน์ตาเต็มไปด้วยความระมัดระวัง

ดูเหมือนนางจะเข้ามาอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยสีสัน รอบด้านล้วนแต่เป็นแสงสีต่างๆ ราวกับสายรุ้งเป็นแถวเป็น แนวดูมีระเบียบเรียบร้อย ทุกๆ สีเปล่งรัศมีออกมา

มู่ชิงเกอยืนอยู่บนพื้นที่เรียบเหมือนกระจก พื้นสะอาดสะอ้านสะท้อนให้เห็นเงาร่างของนางอย่างชัดเจน เหมือนว่านางกำลังเหยียบอยู่บนกระจก

มู่ชิงเกอยืนอยู่ที่เดิม ขยับเท้าเบาๆ วนรอบๆ เป็นวงกลม เสียงฝีเท้าของนางดังขึ้นอย่างชัดเจน น่าจะเป็นเสียงสะท้อน

“ถามวิถี จะถามอย่างไร?” มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว นางเงยหน้าขึ้นมองไปยังท้องฟ้าสีขาวบริสุทธิ์ ถอนสายตากลับ แล้วมองไปยังแสงเจ็ดสีเหล่านั้นและถามว่า “วิถีคืออะไร?”

เดิมทีนางเพียงถามไปเรื่อยเชื่อยเท่านั้น แต่คำถามเรื่อยเชื่อยของนางกลับมีเสียงตอบกลับมา

“วิถีก็คือจิตใจ”

“จิตใจงั้นหรือ?” มู่ชิงเกอพึมพำ ในใจรู้สึกประหลาดใจกับนํ้าเสียงที่ดังตอบกลับมา

เสียงนี้ให้ความรู้สึกเหมือนชีวิตที่ไหลผ่านไปตามกาลเวลา เป็นเสียงของผู้หญิงคนหนึ่ง อีกทั้งเสียงนี้ก็ยังดูคล้ายกับเสียงของตัวนางเอง

มู่ชิงเกอขมวดคิ้วถามว่า “เจ้าพูดว่าวิถีคือจิตใจ ทุกสิ่งภายในโลกต่างก็มีวิถีของใครของมัน แต่ก็ไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างที่จะมีจิตใจ เมฆลมแปรเปลี่ยนนั้นมีจิตใจหรือ? ต้นไม้ใบหญ้าในฤดูใบไม้ร่วงมีจิตใจหรือ? ตะวันขึ้นพระจันทร์ตกมีจิตใจหรือ?”

“นี่เป็นกฎเกณฑ์ไม่ใช่วิถี”

กฎเกณฑ์!

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแวววาววาบ

“แก่นแท้ของวิถีคือจิตใจ วิธีการของวิถีคือกฎเกณฑ์”

เสียงนั้นเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

“แก่นแท้ของวิถีคือจิตใจ วิธีการของวิถีคือกฎเกณฑ์?” มู่ชิงเกอพึมพำในใจ ไม่เข้าใจความหมายของคำพูดนี้ เดิมทีวิถีก็เป็นสิ่งที่ลึกลับอย่างหนึ่ง จะสามารถเข้าใจด้วยคำถามและคำตอบเดียวได้อย่างไร?

มู่ชิงเกอเม้มปากไม่พูดอะไรอีก

แต่เสียงนั้นกลับดังขึ้นมาอีก “เจ้ายังอ่อนแอเกินไป ไปเถอะ ไปดูว่าอะไรคือวิถี อะไรคือจิตใจ”

“ดูอย่างไร?” มู่ชิงเกอถามออกไป

เสียงนั้นตอบกลับมาในทันที “มองเห็นลำแสงสีรุ้งเหล่านั้นหรือไม่? ภายในแสงแต่ละสีล้วนแต่เป็นประสบการณ์ในโลกมนุษย์เจ้าเข้าไปด้านในก็จะอยู่ในสถานะผู้เฝ้า

มอง ไปดูแก่นแท้ของชีวิตให้ชัดเจน ทำความเข้าใจวิถีและจิตใจ”

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอเปล่งประกายขึ้น ลอบเอ่ยในใจว่า ‘ที่แท้ลำแสงเหล่านี้ก็มีความสามารถเช่นนี้ด้วย!’

“แต่ข้าต้องเตือนเจ้าเอาไว้สักเล็กน้อย หากว่าเจ้าหลงใหลไปโลกนั้น ตื่นขึ้นมาไม่ได้ก็จะติดอยู่ในนั้นไปชั่วชีวิต” เสียงนั้นเอ่ยเตือนขึ้นมา

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอหดตัวลง ดวงตาฉายแววระมัดระวังขึ้นมา

นางลังเลเล็กน้อย จากนั้นก็ก้าวไปยังลำแสงเหล่านั้น

รอบด้านถูกโอบล้อมด้วยลำแสงหลากสี นางไม่เข้าใจที่คนคนนั้นพูดสักเท่าไหร่ ทุกสีหมายถึงประสบการณ์ในโลกมนุษย์นั้นหมายถึงอะไร

มู่ชิงเกออาศัยความรู้สึกเดินไปยังลำแสงสีแดง สีนี้เป็นสีที่นางชื่นชอบ ดังนั้นนางจะเริ่มผจญประสบการณ์ในโลกจากสีนี้ก่อนแล้วกัน นางยกมือขึ้น ค่อยๆ ยื่นนิ้วมือเข้าไปในลำแสงสีแดง ทันใดนั้นนางก็รู้สึกว่าลำแสงสีแดงกระจายผ่านนิ้วมือของนางไหลมาที่แขนและห่อหุ้มตัวนางเอาไว้ลากนางเข้าไปในโลกแห่งหนึ่ง

“ที่นี่ที่ไหนกัน?” มู่ชิงเกอพบว่าตนเองยืนอยู่ในสวนที่เต็มไปด้วยดอกไม้ผีเสื้อบินไปมา ไม่ไกลออกไปยังมี เสียงนกร้อง

“ที่นี่เป็นหนึ่งในโลกน้อยใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วน เจ้าอยู่ที่นี่สามารถเคลื่อนไหวได้ตามใจชอบ ไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครมองเห็นเจ้า และแน่นอนว่าเจ้าก็ไม่สามารถทำอะไรได้จำไว้ว่าเจ้าเป็นเพียงแค่ผู้เฝ้ามองเท่านั้น’’ เสียงนั้นดังขึ้นมาอีกครั้งจากนั้นก็หายไป

ภายในช่องว่างหลากสีสัน มู่ชิงเกอหลับตาเหมือนเข้าสู่สมาธิ

เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง “แม่นํ้ารั่วถามวิถี ตามปกติถามหนึ่งปี หากเป็นคนที่มีพรสวรรค์โดดเด่นก็สามารถถามสองปี ส่วนเจ้าจะสามารถถามนานแค่ไหน? ข้าอยากรู้จริงๆ”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!