ตอนที่ 50
คุณชายคัดเลือกองครักษ์
มู่ชิงเกอไม่รอช้าและตอบอย่างยินดี ความนิ่งของนางทำให้มู่ซงรู้สึกชื่นชมจนพยักหน้าโดยไม่รู้ตัวพร้อมพูดว่า “เจ้าโตขึ้นแล้วจริงๆ แม้เจ้าจะไม่สามารถฝึกพลังได้ แต่หากมีองครักษ์ที่ชื่อสัตย์ต่อเจ้า ใครก็ยากที่จะปองร้ายเจ้าได้หลังจากที่เจ้าคัดเลือกองครักษ์เสร็จเรียบร้อยแล้ว ระหว่างที่ฝึกก็ให้สาวใช้ทั้งสองอย่างโย่วเหอ ฮวาเยวี่ย และเจ้าเด็กมั่วหยางมาด้วย พวกเขาต่างก็เป็นคนรับใช้ใกล้ชิดเจ้า มีความสามารถหลากหลายไวัถือเป็นเรื่องที่ดี”
เหตุผลที่แท้จริงที่มู่ซงพาสามคนนี้มาเพราะมีจุดประสงค์แบบนี้นี่เอง
มู่ชิงเกอเข้าใจแล้ว
สำหรับการตัดสินใจของมู่ซงนางไม่ได้คัดด้านใดๆ ในทางกลับกัน นางกลับเห็นด้วย
“หลังจากที่เจ้าเลือกองครักษ์เสร็จเรียบร้อยแล้วข้าจะส่งตัวพวกเขาไปฝึกกับท่านลุงฉงถึงตอนนั้น…”
“ท่านปู่ องครักษ์ที่เลือกวันนี้ข้าขอเป็นคนฝึกเอง”
“ห๊ะ อะไรนะ!” มู่ซงได้สติ แล้วตะโกนถามด้วยความตกใจ
การตอบกลับของเขาทำให้องครักษ์ที่ยืนอยู่รอบๆ ต่างก็หันมามอง
“อะแฮ่มๆ” มู่ซงแสร้งไอเพี่อกลบเกลื่อน พอทุกคนหันกลับไปแล้วเขาก็พูดกับมู่ชิงเกออย่างจริงจังว่า “เกอเอ๋อร์เจ้าพูดเล่นหรึอเปล่า เจ้าจะฝึกได้หรือ ฝึกทหารไม่ ใช่เรื่องล้อเล่นนะ”
“ท่านปู่ ข้าจริงจัง” มู่ชิงเกอมองมู่ซงด้วยนัยน์ตาอันสดใสสงบนิ่ง
มู่ซงขมวดคิ้วเหมือนกำลังอ่านความคิดของมู่ชิงเกอ แต่กลับพบว่าไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขาอ่านใจหลานชายของตนเองไม่ออกเสียแล้ว
“ท่านปู่ไม่เชื่อใจข้าหรือ?” มู่ชิงเกอย้อนถาม
มู่ซงเริ่มกังวลใจ
เขาเชื่อในตัวของหลานชาย แต่ไม่ได้หมายความว่าจะวางใจว่ามู่ชิงเกอจะฝึกทหารให้เก่งกาจได้
ที่ลั่วรื่อ ตั้งแต่มู่ชิงเกอทำให้ทหาร 500 นายต้องตายก็กลายเป็นจุดดำมืดในใจของเหล่าทหารเสียแล้ว หากไม่ใช่เพราะหลังจากนั้นนางยอมรับความผิดอย่างกล้า หาญได้รับการลงโทษด้วยการเฆี่ยนโดยไม่ปฏิเสธ ทำให้ทหารพวกนี้เลื่อมใสแล้วล่ะก็ ในวันนี้จะมีคนยอมเป็นองครักษ์ของนางได้อย่างไร
การยอมเป็นองครักษ์ให้กับมู่ชิงเกอกับยอมรับการฝึกจากนางนั้นเป็นคนละเรื่องกัน
หลานชายคนนี้ของเขายังคงมีความคิดเป็นเด็กๆ และหยิ่งยโสเกินไป
คิดว่าทหารพวกนี้ฝึกง่ายรึ?
“เกอเอ๋อร์นี่มัน…” ในใจมู่ซงปฏิเสธ แต่เมื่อสบเข้ากับสายตาอันสว่างและสดใสของหลานชายที่เหมือนอ่านใจคนออกเขากลับปฏิเสธไม่ลง
“หากท่านปู่เชื่อใจข้า ก็เอาตามนี้เถิด การคัดเลือกในครั้งนี้ในเมื่อยอมให้ข้าเป็นผู้เลือก ถ้าอย่างนั้นก็ต้องทำตามวิธีการของข้า คนที่ได้รับการคัดเลือกไม่ต้องรบกวนท่านลุงฉง ข้าจะเป็นคนฝึกพวกเขาด้วยตัวของข้าเอง หากท่านปู่ยังกังวลใจ งั้นเรามาพนันกันไหม?” มู่ชิงเกอพูดไปตามที่คิด
“พนันอะไร” พอได้สติมู่ซงก็โดนมู่ชิงเกอจูงจมูกเอาเสียแล้ว
ทั้งที่ควรจะคัดด้านความคิดเอาแต่สนุกของมู่ชิงเกอ แต่กลับกลายเป็นว่ายอมรับข้อเสนอของนางไปเสียอย่างงั้น
เพียงแต่ว่า ตอนนี้ท่านปู่เองก็ยังไม่รู้ตัว
มู่ชิงเกอยิ้มอย่างขี้เล่น “ท่านปู่เป็นกังวลว่าข้าจะไม่สามารถฝึกทหารได้ไม่ใช่หรือ ถ้าอย่างนั้น 3 เดือนหลัง จากนี้ให้นำทหารทั้ง 500 นายของข้ามาประลองกับ ทหารที่เหลือของท่านปู่ดูว่าใครจะเหนือกว่ากัน ผู้แพ้ต้องทำตามสัญญาข้อหนึ่ง”
หนวดของมู่ซงเริ่มกระตุกเล็กน้อย ดวงตาเบิกโต “เจ้าเด็กนี่ เจ้ากล้ามาก ทหารแค่ 500 นายของเจ้าจะสู้กับทหารนับหมื่นของข้าได้อย่างไรกัน”
“ไม่ลองจะรู้ได้อย่างไรว่าไม่ได้” มู่ชิงเกอยิ้มอย่างมีเลศนัยแต่กลับชวนให้ผู้คนเชื่อในคำพูดของนาง มู่ซงพยักหน้าอย่างไม่ค่อยรู้ตัว รอจนเขารู้สึกตัวก็เดินมาจนถึงสนามฝึกแล้ว เขามองไปที่ร่างผอมบางในชุดสีแดงแสบตาแล้วจึงพบว่าตนเองถูกหลานชายมัดมือชกเข้าให้แล้ว ในสนามฝึก ทหารนับหมื่นยืนเรียงกันเป็นแถวอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย รองแม่ทัพทั้งหลายที่เจอก่อนหน้านี้ก็ยืนรออยู่บนเวที แล้ว พอมู่ชิงเกอเดินตามมู่ซงขึ้นเวทีไป ก็รู้สึกถึงสายตาอันแรงกล้าที่มองมายังนาง คนพวกนี้ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นคนที่ไปตามหานางที่ลั่วรื่อ และเห็นนางรับทัณฑ์เฆี่ยนตีกับตาตัวเอง
แม้จะไม่ใช่อะไรที่ผิดปกติแต่ก็เป็นฉากที่น่าตกตะลึงมากฉากหนึ่ง
ทำให้ชายหนุ่มผู้แข็งแกร่งทนงตัวพวกนี้ยอมให้อภัยในความบ้าบิ่นของมู่ชิงเกอและยอมรับในตัวเจ้านายน้อยผู้นี้
แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นคือสายตามองประเมินที่แสดงความสงสัยและอยากรู้อยากเห็นราวกับยากที่จะเชื่อมโยงชายชุดแดงกับชายหนุ่มผู้หนักแน่น กายเหยียดตรง ราวกับกระบี่ พูดคำไหนคำนั้นในชุดแบบเดียวกันนี้เข้าด้วยกันได้
มู่ชิงเกอเลิกสนใจสายตาพวกนั้น แล้วเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว เอามือไพล่หลัง พูดเสียงดังว่า “วันนี้ข้าจะมาคัดเลือกองครักษ์ ข้าเป็นใครคิดว่าทุกท่านคงจะเคยได้ยินมาบ้าง ตอนนี้ข้าขอถามคำเดียวว่าในที่นี้ ผู้ใดที่ไม่สมัครใจจะเป็นองครักษ์ของข้าเชิญถอยหลังไปห้าก้าว”
พูดจบภายในสนามฝึกก็เต็มไปด้วยเสียงดังเซ็งแซ่
เลือกองครักษ์ส่วนตัวก็แค่เลือกคนที่รู้สึกว่าเข้าตาก็พอแล้วไม่ใช่หรือ? เหตุใดถึงต้องมีอะไรแบบนี้ด้วย?
ไม่ใช่แค่พวกเขาขนาดรองแม่ทัพหลายคนก็มองมู่ซงด้วยความสงสัย แต่มู่ซงกลับไม่ได้พูดอะไรทำได้เพียงยิ้มขื่น แล้วส่ายหน้า เพื่อบอกให้พวกเขาใจเย็นๆ
ไม่รู้ว่ามู่ชิงเกอกำลังคิดอะไรอยู่ หลังจากเงียบไปสักพัก ทหารจำนวนสองสามพันนายก็ก้าวถอยหลัง 5 ก้าวไปอย่างลังเล
บางที พวกเขาอาจจะไม่เต็มใจที่จะเป็นองครักษ์ของมู่ชิงเกอและบางทีพวกเขาอาจจะคิดว่าการเป็นองครักษ์ อาจเทียบไม่ได้กับการได้ฆ่าฟันศัตรูในสนามรบ แต่ทหารส่วนมากก็ยังคงยืนอยู่กับที่ด้วยความสงสัย สำหรับทหารสองสามพันนายนั้น มู่ชิงเกอไม่ได้มองเลยแม้ชั่วแวบเดียว สายตาของนางสนใจแค่เพียงทหารที่ยังเหลืออยู่ แล้วพูดว่า “บรรดาคนที่เหลืออยู่ คนที่อายุมากกว่า 20 ปี โปรดถอยหลังไป 5 ก้าว”
ผู้คนส่งเสียงฮือฮาอีกครั้ง
ทำไมต้องมีการจำกัดอายุ? แม้หากว่ามีคนที่อายุมาก จะดีกว่าไม่ใช่หรอกหรือ อายุยิ่งมากก็จะหมายถึงระดับขั้นของพลังที่เหนือกว่า
คัดเลือกเด็กๆ ที่ยังอยู่ในระดับขั้นแดงไปทำไมกัน? ไปเป็นเพื่อนเล่นกับคุณชายอย่างนั้นหรือ?
รองแม่ทัพฉงส่ายหน้าอย่างผิดหวัง เดินก้าวใหญ่ไปหามู่ซงพร้อมพูดอย่างจริงจังว่า “ท่านแม่ทัพ อย่าให้มู่ชิงเกอเล่นสนุกแบบนี้ต่อไปอีกเลย”
มู่ซงขมวดคิ้ว ‘หลานชายกำลังเล่นสนุกอยู่จริงหรือ’ หลังจากที่คิดทบทวนสักพัก มู่ซงก็พูดกับรองแม่ทัพฉงว่า “ดูต่อไปก่อน”
การตัดสินใจของมู่ซง แน่นอนว่ารองแม่ทัพทั้งหลายไม่อาจขัดขืน ทำได้เพียงถอนหายใจ แล้วเดินถอยไปหาทหารคนอื่นๆ
เมื่อไม่มีคนห้าม ทหารทั้งเจ็ดแปดพันนายถอยหลังไปห้าพันกว่าคนที่เหลือเป็นทหารที่อายุประมาณ 16 ถึง 17 ปี ชายหนุ่มที่อายุประมาณ 20 ปี ส่วนมากก็ยังฝึกขั้นแดงอยู่เท่านั้น
คัดเลือกมาสองรอบจากหมื่นคนเหลือแค่เพียงไม่ถึง 3,000 คน
จำนวนองครักษ์ของมู่ชิงเกอคือ 500 นาย นั้นหมายความว่า คนที่เหลืออยู่มีอัตราส่วนเป็นหนึ่งในห้า หรือไม่ก็เป็นหนึ่งในหกของจำนวนทหารเหล่านั้น
สายตาที่ทั้งสว่างและสดใส ต่างจ้องทุกคนที่ยังคงเหลืออยู่ พอมองทุกคนอย่างละเอียดแล้ว มู่ชิงเกอก็พูดต่อว่า : “ตอนนี้ให้คนที่เหลือแบกของหนักสิบต้านและวิ่งรอบสนามร้อยรอบ”
พูดจบ มู่ชิงเกอก็มองมั่วหยางท่ามกลางความมึนงงของเหล่าทหาร “เจ้าก็ไปด้วย”
มั่วหยางไม่ลังเลและพยักหน้าเงียบๆ โดดลงมาจากเวทีคัดเลือก ลงมือกระทำเป็นคนแรก การกระทำของเขา ทำให้สายตาของมู่ชิงเกอเต็มไปด้วยความชื่นชม
พอมั่วหยางทำเป็นคนแรก อีกสองสามพันคนที่เหลือก็เริ่มลงมือ
ไม่นาน บนสนามอันกว้างใหญ่ก็เริ่มมีคนพันกว่าคนวิ่งไปรอบๆ
ร้อยรอบ คำนวณแล้ว เป็นระยะประมาณ 100 กิโลเมตร
รับนํ้าหนักสิบต้าน เปรียบได้กับนํ้าหนัก 30 กิโลกรัม
หากไม่มีร่างกายที่แข็งแรง และความมุมานะ ก็ยากที่จะวิ่งไปได้
สุดท้าย ก่อนตะวันจะลับฟ้า คนที่วิ่งเสร็จร้อยรอบ มีไม่ถึงเจ็ดร้อยคน และต่างก็ล้มนอนลงไปพื้น
มั่วหยางก็อยู่ในนั้นเช่นกัน ใบหน้าเขาขาวซีด ริมฝีปากกลับเม้มแน่นแต่ตั้งแต่ต้นจนจบกลับไม่ส่งสียงโอดครวญออกมาเลยแม้แต่น้อย
มองทหาร 670 นายแวบหนึ่ง แล้วมู่ชิงเกอหันไปพูดกับมู่ซงว่า “ท่านปู่ การเลือกในขั้นตอนแรกของข้าได้เสร็จสิ้นลงแล้ว ทหารหกร้อยเจ็ดสิบนายนี้เป็นองครักษ์ที่ข้าเลือกเอาไว้ สำหรับอีก 170 คนจะคัดใครออกบ้างนั้น อีก 10 วันข้างหน้า ข้าจะให้คำตอบ”
มองแค่แวบเดียวก็นับจำนวนคนได้อย่างถูกต้อง ดูเหมือนว่าคุณชายน้อยท่านนี้จะไม่ได้เป็นอย่างที่เล่าลือกันมาว่าเป็นคนไร้ค่าขนาดนั้นแล้วสิ แต่ว่าเขาคิดจะทำ อะไรกันแน่
รองแม่ทัพหลายคนลอบสบตากันในใจก็ต่างคาดเดาไป ต่างๆ นานา