ตอนที่ 506
เข้าสู่ภาคกลาง สุสานเทพเปิด
มู่ชิงเกอก้าวเข้าไปหาซือมั่ว
ทวนหลิงหลงในมือเปล่งแสงวาบกลายเป็นปลอกนิ้ว สวมอยู่บนนิ้วชี้ข้างขวาของนาง ชุดเกราะเพลิงบนร่างของนางก็หายเข้าไปในกาย กลับคืนสู่การแต่งกายด้วยชุดกระโปรงแบบหญิงสาวเดินไปตรงหน้าของเขา
“ถึงเวลาแล้วหรือ?” มองเห็นซือมั่วแล้ว มู่ชิงเกอก็พูดด้วยนํ้าเสียงเรียบสงบ
ซือมั่วพยักหน้า เขายกมือขึ้น นิ้วมือนวดเบาๆ ที่ติ่งหูด้านซ้ายของนาง ที่นั่นเคยมีของที่สามารถปิดบังรูปโฉมอันงดงามบาดตาเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้มีผู้ชายคนไหนมาข้องแวะกับนางในตอนที่เขาไม่อยู่ข้างกายอยู่
แต่ตอนนี้กลับไม่มีแล้ว
“วันนั้นข้าไม่ควรเพิ่มความสามารถในการลวงตา น่าจะเพิ่มความแข็งแกร่งมากกว่า” น้ำเสียงของซือมั่วแฝงด้วยความรู้สึกผิด
ปีนั้นเขายังไม่ทันเข้าใจความรู้สึกของตนเองชัดเจน ส่วนมู่ชิงเกอก็ยังอ่อนแอมาก
ไม่อยากให้คนอื่นมองเห็นหัวใจของเขา เขาจึงใช้ข้ออ้างโดยการลงค่ายกลไว้บนเครื่องมือมายาของมู่ชิงเกอ ค่ายกลนั้นหากไม่ใช่คนที่มีพลังฝึกปรือเหนือกว่าเขาจะมองภาพลวงตาของเครื่องมือมายาไม่ออก
จุดนี้เขาทำได้แล้ว
ถึงแม้เครื่องมือมายาจะมีระดับไม่สูงมาก แต่ตลอดการเดินทางของมู่ชิงเกอ หากไม่ใช่นางยินยอมเอง มิเช่นนั้นก็จะไม่มีใครมองทะลุสถานะปลอมของนางได้
แต่เครื่องมือมายากลับถูกคนทำลายในแม่น้ำรั่ว!
ทำให้มู่ชิงเกอเผยร่างหญิงสาวต่อหน้าผู้คน ทั้งยังดึงดูดพวกหมาป่าจำนวนไม่น้อยให้คิดปรารถนาในตัวเสี่ยวเกอเอ๋อร์ของเขา?
คิดถึงเรื่องเมื่อหนึ่งปีก่อน หลังจากเขาได้รับข่าวจากกู่หยาก็รีบไปในทันที และเมื่อมองเห็นภาพคนจำนวนมากมายนั่นแล้ว เขาก็แทบอยากจะเปิดฉากฆ่าล้างเลยทีเดียว
“ไม่เป็นไรหรอก ถึงอย่างไรในโลกแห่งยุคกลางตอนนี้ก็ไม่มีใครไม่รู้ว่าข้าเป็นผู้หญิง เครื่องมือมายาก็ไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไหร่แล้ว” มู่ชิงเกอดึงมือของเขาลงมา ผสานเข้ากับมือตนเอง
แต่ซือมั่วกลับส่ายหน้า “เจ้าอยู่โลกแห่งยุคกลางได้อีกไม่นาน หลังจากเข้าไปในแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารแล้ว ทางที่ดีที่สุดคือไปในสถานะผู้ชาย”
“ทำไมล่ะ?” มู่ชิงเกอเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ
ทำไม? แน่นอนว่าเพื่อไม่ให้พวกเผ่าเทพในแผ่นดินเทพทั้งสี่สมุทรมาชอบเสี่ยวเกอเอ๋อร์ของเขาน่ะสิ!
แต่ซือมั่วก็ไม่พูดเหตุผลที่แท้จริงออกไป เพียงพูดอย่างจริงจังว่า “เดินทางในร่างผู้ชายนั้นสะดวกกว่า สามารถลดปัญหาไปได้เยอะ”
เหตุผลนี้มู่ชิงเกอรับได้
นางพยักหน้า พูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “ข้าจะส่งข่าวให้ท่านแม่ช่วยข้าหลอมเครื่องมือมายาให้”
“หลังจากท่านแม่ยายหลอมเสร็จแล้ว ข้าจะส่งคนไปเอามาเก็บไว้ที่ข้า” ซือมั่วพูดต่อ คำว่าแม่ยายของเขาพูดได้อย่างคล่องปากมาก
มู่ชิงเกอมองเขาแวบหนึ่ง เอ่ยว่า “เจ้าจะทำอะไร?”
ซือมั่วอธิบายว่า “อิงตามระดับพลังฝึกปรือของแม่ยายในตอนนี้ เครื่องมือมายาที่หลอมออกมาไม่สามารถปิดบังเผ่าเทพบนแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารได้ข้าจะต้องปรับแต่งสักหน่อย”
มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้น
ซือมั่วเอ่ยว่า “เสี่ยวเกอเอ๋อร์ไม่สามารถหลอมเครื่องมือมายาได้ใช่ไหม?”
มู่ชิงเกอพยักหน้าเงียบๆ
ไม่ใช่อาจารย์หลอมศาสตราทุกคนจะสามารถหลอมเครื่องมือมายาได้ เห็นได้อย่างชัดเจนว่าแม้ท่านแม่ของนางจะสามารถหลอมเครื่องมือมายาได้ แต่นางกลับไม่ได้สืบทอดความสามารถนี้มาด้วย
“ดังนั้นข้าจะสร้างขอบเขตไว้บนเครื่องมือมายาชิ้นใหม่ของเจ้า หากไม่ใช่คนที่มีพลังฝึกปรือเหนือกว่าข้าจะมองภาพลวงตาของเครื่องมือมายาไม่ออก ครั้งนี้ข้าจะเพิ่มพลังป้องกันเอาไว้ด้วย ทำให้มันสามารถรองรับพลังของคนที่มีพลังเท่าข้าได้สามกระบวนท่า” ซือมั่วเอ่ย นัยน์ตาของมู่ชิงเกอหดตัวลงเต็มไปด้วยความตกตะลึง ระดับพลังของซือมั่วคืออะไร? เป็นขั้นศักดิ์สิทธิ์เชียวนะ!
สูงสุดในแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมาร หากว่าเครื่องมือมายาชิ้นใหม่ของนางเป็นดั่งที่เขาว่า นั่นก็ไม่ใช่ว่าไร้เทียมทานแล้วหรือ?
นางก็ไม่ต้องกังวลเรื่องเครื่องมือมายาจะได้รับความเสียหายต้องการเวลาฟื้นฟูหรือถูกคนที่แข็งแกร่งทำลายอีก
“ดี เช่นนั้นก็เอาไปไว้ที่เจ้าก่อน” มู่ชิงเกอพยักหน้าอย่างไม่ลังเล
เมื่อมู่ชิงเกอรับปากแล้ว ซือมั่วก็ยิ้มออกมา
นิ้วเรียวยาวของเขาปัดผมที่ตกลงมาตรงหน้าของนาง แล้วพูดอย่างอ่อนโยนว่า “เมื่อเข้าไปในภาคกลางพบคนของตำหนักเทพแล้ว ต้องระมัดระวังตัวให้มาก หากพวกเขายังไม่ยอมรามือ ทำลายก็ทำลายไปเถอะ เจ้าทำไปเลย ทุกอย่างมีข้าอยู่”
ตำหนักเทพไล่ฆ่ามู่ชิงเกอเพราะหม้อผลาญสวรรค์เรื่องนี้ซือมั่วรู้มานานแล้ว หากไม่ใช่เพราะมู่ชิงเกอยังไม่อยากหักหน้าตำหนักเทพ ทั้งยังต้องการใช้ตำหนักเทพผ่านเข้าสุสานเทพแล้วละก็ เขาคงจะทำให้ตำหนักเทพหายไปจากโลกแล้ว
ความเป็นห่วงของเขาทำให้มู่ชิงเกอรู้สึกอบอุ่นในใจ นางพยักหน้า “วางใจเถอะ รอให้ข้าออกมาจากสุสานเทพแล้ว จะคิดบัญชีให้ครบเลย”
“อยู่ในสุสานเทพจะต้องระมัดระวังตัวให้ดี สิทธิ์แห่งเทพที่หาได้สามารถเก็บเอาไว้ในจิตวิญญาณ แต่หากยังไม่แน่ใจในสิทธิ์แห่งเทพที่ดีที่สุดแล้วก็ไม่ต้องหลอมรวม จำเอาไว้ว่าสิทธิ์แห่งเทพก็มีแบ่งความสามารถว่าอ่อนแอหรือแข็งแกร่ง” ซือมั่วเอ่ยเตือน
มู่ชิงเกอตั้งใจฟังคำพูดของเขา
“อิงตามรากวิญญาณของเจ้า เจ้าลองหาสิทธิ์แห่งเทพฮุ้นตุ้นหรือไม่ก็สิทธิ์แห่งเทพเจ็ดสีก็ได้” ซือมั่วเอ่ย
“สิทธิ์แห่งเทพฮุ่นตุ้นกับสิทธิ์แห่งเทพเจ็ดสีหรือ?” มู่ชิงเกอพูดอย่างสงสัย
ซือมั่วพยักหน้า อธิบายให้นางฟังว่า “ในตอนนี้เจ้ามีรากวิญญาณสายฟ้า รากวิญญาณเพลิง รากวิญญาณทอง รากวิญญาณไม้และยังมีรากวิญญาณช่องว่าง ตามธรรมดาแล้วสิทธิ์แห่งเทพที่หาได้จะต้องเข้ากับรากวิญญาณของตนเอง เช่นนี้เมื่อเข้าไปในแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารแล้วถึงจะพัฒนาไปได้ไกล นี่เป็นการปรับเปลี่ยนพรสวรรค์ครั้งหนึ่ง พรสวรรค์ของเจ้านั้นข้าไม่เป็นกังวล เพียงแต่เพราะว่าเจ้ามีรากวิญญาณเยอะเกินไป หากเจ้าหาสิทธิ์แห่งเทพที่มีคุณสมบัติเน้นไปในทางเดียว จะทำให้เจ้าฝึกปรือได้ช้า จำเป็นต้องให้รากวิญญาณแต่ ละอย่างพัฒนาขึ้นถึงขอบเขตหนึ่งก่อนถึงจะสามารถทะลวงขอบเขตได้”
มู่ชิงเกอค่อยๆ เข้าใจขึ้นมา
“แต่มีสิทธิ์แห่งเทพสองชนิดที่เป็นข้อยกเว้นออกไป หนึ่ง ก็คือสิทธิ์แห่งเทพฮุ่นตุ้น เจ้าของสิทธิ์แห่งเทพฮุ่นตุ้นคนแรกก็คือหนึ่งในบรรพเทพผู้เปิดโลก เวลานั้นยังไม่มีการแบ่งเทพแบ่งมาร เขาใช้พลังของฮุ้นตุ้นเปิดโลก สร้างความสมดุลให้โลกน้อยใหญ่ พลังของฮุ่นตุ้นนี้ไม่มีคุณสมบัติเฉพาะ สามารถทำให้รากวิญญาณทั้งหมดของเจ้าพัฒนาไปด้วยกันได้นี่เป็นทางเลือกแรก แต่เพราะนี่เป็นสิทธิ์แห่งเทพของบรรพเทพ ยากที่จะหาพบ หากว่าเจ้ากับมันไร้วาสนาต่อกันก็เลือกอีกชนิดหนึ่งคือสิทธิ์แห่งเทพเจ็ดสี เจ้าของคนก่อนของสิทธิ์แห่งเทพเจ็ดสีก็เป็นผู้ที่มีรากวิญญาณเยอะเช่นกัน เพียงแต่เขามีแค่สามชนิด ไม่สู้เจ้า แต่เมื่อเขามีการสนับสนุนจากสิทธิ์แห่งเทพเจ็ดสี ทำให้ในตอนที่เขาฝึกปรือนั้นสามารถเอาพลังฝึกปรือจากรากวิญญาณด้านที่สูงหมุนเปลี่ยนไปด้านที่ตํ่าได้ ความเร็วในการฝึกปรือก็ถือว่าเร็วอยู่ ดังนั้นนี่เป็นทางเลือกที่สองของเจ้า” ซือมั่วพูดอย่างจริงจังจบแล้วก็ถอนหายใจออกมา
“จำเอาไว้ว่า หากไม่มีหวังในสิทธิ์แห่งเทพฮุ้นตุ้น เจ้าจะต้องเร่งเวลาแย่งเอาสิทธิ์แห่งเทพเจ็ดสีมาให้ได้ สิทธิ์แห่งเทพอื่นๆ เพียงแต่จะถ่วงความเร็วในการฝึกปรือของเจ้าและทำให้พรสวรรค์ของเจ้ากลายเป็นธรรมดาไป”
มู่ชิงเกอพยักหน้า “ข้าจะจำเอาไว้”
ทั้งสองคนพูดคุยกันไปพักหนึ่งแล้วซือมั่วก็ส่งมู่ชิงเกอไปยังลั่วซิงเฉิง
มองดูดาวตกในลั่วซิงเฉิงแล้วมู่ชิงเกอก็ถอนหายใจ พึมพำในใจว่า ‘สุสานเทพ! ในที่สุดก็รอจนมาถึงแล้ว’
นางมีความรู้สึกอย่างหนึ่งว่าเมื่อออกจากสุสานเทพแล้ว อีกไม่นานนางก็ต้องเข้าไปในโลกของเทพมาร!
มู่เทียนอิน…หลียวน…
‘พวกเจ้ารอข้าให้ดีเถอะ!’ นัยน์ตาอันสดใสของมู่ชิงเกอฉายแววเย็นยะเยือก
นางรอวันนี้มานาน นานเกินไปแล้ว!
โลกแห่งยุคกลาง ภาคกลาง
นี่เป็นแผ่นดินลอยฟ้าเพียงหนึ่งเดียวในทั้งห้าภาค
หากภาคใต้ภาคตะวันตก ภาคเหนือ ภาคตะวันออกคิด จะเข้าสู่ภาคกลางมีวิธีเดียวคือใช้ประตูมิติเท่านั้น ดังนั้น เมืองหลวงของที่นี่จึงถูกเรียกว่าเมืองเทียนคง (เมืองลอยฟ้า)
ภาคกลางที่ลอยตัวอยู่ก็เหมือนแสดงสถานะในทั้งห้าภาคของโลกแห่งยุคกลาง เมืองเทียนคงของภาคกลางก็เหมือนสถานะของมันในภาคกลาง
ส่วนในตำแหน่งใจกลางของเมืองเทียนคง มีพื้นที่ที่ดูเหมือนเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่ง หอคอยตำหนักเทพทะลุเข้าไปในชั้นเมฆก็คือสัญลักษณ์ของเมืองเทียนคงแห่งนี้
ในประตูมิติของภาคตะวันตกมีแสงสีเงินวาบผ่านและก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดินออกมา
ผู้นำที่เพิ่งปรากฎต่อหน้าทุกคน ก็ทำให้นัยน์ตาของทุกคนที่อยู่รอบๆ ฉายแววตะลึง
ชุดแดงที่มีเสน่ห์ห่วงท่าสง่างาม ก้าวย่างแผ่วเบา ใบหน้านั้นงดงามล่มเมือง เพียงแค่นางปรากฎตัวก็เหมือนเปล่งแสงประกายออกไปรอบด้าน ทำให้ทุกอย่างดูซีดจางลงไปหลายส่วน
นางเดินเอามือไพล่หลัง ห่าทางดูสบายๆ แต่กลับทำให้คนไม่กล้าดูแคลน
เพราะภายในดวงตาสดใสคู่นั้นของนางซ่อนแววตาที่ทำให้คนรู้สึกเกรงกลัวเอาไว้ เหมือนว่าเพียงแค่ลมหายใจก็สามารถกดดันพวกเขาได้แล้ว
ส่วนด้านหลังของนางมีคนตามมาด้วยยี่สิบกว่าคน
ชายหนุ่มคนหนึ่งในนั้น รูปโฉมงดงามสบายตา ยืนอยู่ด้านหลังนาง มองไปรอบด้าน นัยน์ตาฉายแววอยากรู้อยากเห็น
ส่วนอีกคน นัยน์ตานึ่งสงบ หวางคิ้วฉายแววแน่วแน่ รูปลักษณ์ดูกำยำเต็มไปด้วยกลิ่นอายของชายหนุ่ม ส่วนคนอีกยี่สิบคนที่ตามมาด้านหลังนั้นก็สวมชุดเกราะสีดำแดงเหมือนกันใบหน้าและท่าทางดูแข็งแกร่งห้าวหาญ
“นายน้อย พวกเราจะไปไหนต่อดี?” มู่เฟิงยืนอยู่ด้านหลังมู่ชิงเกอ เอ่ยถามเบาๆ
มู่ชิงเกอหรี่ตาเล็กลง พูดว่า “กลับที่พักก่อน”
ครั้งนี้นอก จากที่นางจะนำองครักษ์เขี้ยวมังกรมาด้วยกลุ่มหนึ่งแล้ว ยังนำมู่เฟิงและจิงไห่สองคนมาด้วย
ส่วนคนอื่นๆ ก็ให้อยู่ในลั่วซิงเฉิง
ปัญหาเรื่องความปลอดภัยนั้นนางไม่ได้เป็นกังวล ไม่ต้องพูดถึงระดับพลังในตอนนี้ของนางที่สามารถไปไหนก็ได้ในโลกแห่งยุคกลาง อย่าลืมว่านางยังมีกู่หยาและกู่เย่ที่ซ่อนตัวอยู่ในที่ลับเพื่อปกป้องนาง ภายในช่องว่างก็ยังมีหุ่นเทพมารอีกสองร่าง
มู่เฟิงพยักหน้า ทุกคนเดินออกจากประตูมิติ
ประตูมิติที่ภาคต่างๆ สี่ภาคใช้เข้ามาในภาคกลางนั้นมีที่ตั้งแตกต่างกัน หนึ่งปีก่อน มั่วอยางทำตามคำสั่งของมู่ชิงเกอซื้อที่พักแห่งหนึ่งไว้ในเมืองเทียนคงของภาคกลาง บวกกับการปรับปรุงเล็กน้อยทำให้กลายเป็นที่พักผ่อนของพวกเขา
“ที่นี่คือเมืองเทียนคงแล้วหรือ?” จิงไห่มองไปรอบด้านอย่างตื่นเต้น เขารู้สึกเหมือนว่าชั้นเมฆลอยผ่านตัวเขาไป ท้องฟ้าของที่นี่ก็ดูเข้มกว่า
ในตอนที่สายตาของเขามองไปยังหอคอยตำหนักเทพอันสูงใหญ่นั้น ก็อดพูดอย่างตกตะลึงไม่ได้ว่า “ครูฝึก หอคอยนี้ทะลุถึงแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารจริงหรือไม่?”
มู่ชิงเกอมองไปยังหอคอยตำหนักเทพ ที่ตั้งตรงทะลุชั้นเมฆขึ้นไป ซ่อนตัวอยู่บนท้องฟ้า
‘ทะลุถึงแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารได้จริงหรือ?’ นางก็สงสัยอยู่ในใจ
“เอ?” ทันใดนั้น ข้างกายของมู่ชิงเกอก็มีเสียงอุทานดังขึ้นมา
นางหันมองไปยังคนที่กำลังอยู่ในสภาวะตกตะลึง อดเลิกคิ้วขึ้นไม่ได้
นี่เป็นคนที่คุ้นเคยคนหนึ่ง!
จิงฟ่งอวี่มองมู่ชิงเกออย่างตกตะลึง นัยน์ตาฉายแววแปลกใจ และก็ไม่กล้าแน่ใจ
“เจ้า…เจ้าคือมู่ชิงเกอหรือ?” ครู่หนึ่งเขาถึงได้ถามออกมา