ตอนที่ 507
เขาคือเลือดเนื้อเชื้อไขของตระกูลจิง
มู่ชิงเกอก็คิดไม่ถึงว่าหลังจากนางเข้าสู่ภาคกลางแล้วจะพบกับคนคุ้นเคยที่เคยพบกันครั้งหนึ่งในเมืองจินไห่ภาคใต้อย่างจิงฟ่งอวี่
ตระกูลจิงทะลวงสวรรค์ ตระกูลจิงก็อยู่ในภาคกลางมิใช่หรือ?
เพียงแต่ต่อมาผู้กล้าหนุ่มที่แต่เดิมอยู่บนทำเทียบชิงอิงก็เงียบหายไป ทั้งสองคนไม่ได้พบกันอีกเลย
‘รู้จากโห่วว่าการเคลื่อนไหวของตระกูลจิงในครั้งนั้นได้รับความเสียหายมาก!’ มู่ชิงเกอเอ่ยออกมาในใจประโยคหนึ่ง
ที่ทำให้นางรู้สึกแปลกใจก็คือหลายปีผ่านมาแล้วจิงฟ่งอวี่กลับยังจำนางได้อยู่! ที่สำคัญก็คือตอนนี้นางอยู่ในสถานะผู้หญิง!
แต่ไม่ว่าอย่างไรในเมื่อจำได้แล้วก็ไม่สามารถแสร้งทำ เป็นไม่รู้จักได้
มู่ชิงเกอยิ้ม พยักหน้าเอ่ยว่า “ไม่ได้พบกันนาน”
“เป็นเจ้าจริงๆ ด้วย!” เมื่อได้รับการยอมรับจากมู่ชิงเกอแล้ว จิงฟ่งอวี่ก็ยิ้มอย่างดีใจขึ้นมา เขาอดพิจารณามู่ชิงเกอไม่ได้ ถอนหายใจเอ่ยว่า “หลังจากข้ากลับมาจากภาคใต้ก็พักรักษาตัวอยู่นาน ไม่ได้ออกไปไหน คิดไม่ถึงเลยว่า ชื่อเสียงของมู่ชิงเกอจะโด่งดังไปทั่ว หนึ่งปีก่อน ข้าได้ยินว่าที่แท้มู่ชิงเกอที่เคยพบ และพูดคุยกับข้าที่เมืองจินไห่นั้นเป็นสาวงามผู้หนึ่ง เมื่อครู่ได้เห็นแล้วข้าก็ยังไม่กล้าเชื่อสายตาตนเอง กลัวว่าจะจำผิดคน”
คำพูดของเขาทำให้มู่ชิงเกอหรี่ตาลง
ไม่ได้เจอกันหลายปี จิงฟ่งอวี่คนเดิมที่กล้าหาญไม่เกรงกลัวสิ่งใดทั้งยังหยิ่งทะนงคนนั้นไม่มีอีกแล้ว เขาในตอนนี้ไม่มีความหยิ่งทะนงเหลืออยู่อีก แต่กลับเพิ่มความอ่อนโยนราวกับหยกเข้ามา
“เจ้ามาเพื่อสุสานเทพงั้นหรือ?” จิงฟ่งอวี่ยิ้มถามออกมา
มู่ชิงเกอพยักหน้า เดิมทีนี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องปิดบังอะไร
จิงฟ่งอวี่หัวเราะเอ่ยว่า “ข้าแค่เดาก็ถูกเท่านั้น ช่วงนี้มีคนจำนวนไม่น้อยเข้ามาในภาคกลาง ซึ่งล้วนแต่มาเพื่อสุสานเทพ วันนี้ในเมื่อข้าและเจ้ามีวาสนาได้พบกัน ไม่สู้ให้ข้าเป็นเจ้าภาพเลี้ยงเจ้าสักมื้อเป็นไร?”
เดิมทีมู่ชิงเกอก็คิดจะปฏิเสธ แต่กำลังจะเอ่ยปากก็ได้ยินเสียงจิงฟ่งอวี่อุทานขึ้นมาอีกครั้ง
“นี่…เขา…เป็นไปได้อย่างไร?!” นัยน์ตาของจิงฟ่งอวี่นอกจากเปลี่ยนจากตกใจเป็นประหลาดใจแล้วยังดู ตื่นเต้นมากอีกด้วย เสียงอุทานนี้ของเขายิ่งดูประหลาดใจและตะลึงมากกว่าครั้งก่อนเสียอีก
มู่ชิงเกอเงยหน้าขึ้นมองก็พบว่าเขากำลังมองไปที่จิไห่ที่ยืนอยู่ด้านหลังนาง
จิงฟ่งอวี่ก้าวเข้ามาอีกสองสามก้าว คว้าเข้าที่ข้อมือของจิงไห่ พูดอย่างร้อนใจว่า “เจ้าแซ่อะไร?”
จิงไห่ถูกการกระทำของเขาทำให้ตกใจ หันมองมู่ชิงเกอ เดิมทีเขาก็คิดจะสลัดมือของจิงฟ่งอวี่ออก เพียงแต่คิดว่าคนคนนี้รู้จักกับครูฝึกจึงไม่ได้ทำอย่างนั้น
สายตาของมู่ชิงเกอตกไปอยู่ที่มือของจิงฟ่งอวี่ นางเลิกคิ้วขึ้นแล้วเอ่ยว่า “คุณชายจิง ท่านหมายความว่าอย่างไร?”
จิงฟ่งอวี่ถูกคำพูดนี้ของนางดึงสติกลับมา ปล่อยมือที่จับข้อมือของจิงไห่ออก
จิงไห่ได้รับอิสระกลับมาก็รีบถอยไปด้านหลังสองก้าว เว้นระยะห่างจากจิงฟ่งอวี่
นัยน์ตาของจิงฟ่งอวี่เต็มไปด้วยความตกตะลึงและสงสัย เขาพูดกับมู่ชิงเกอว่า “ที่นี่ไม่ใช่ที่พูดคุยที่ดี พวกเราเปลี่ยนสถานที่ก่อนแล้วข้าจะอธิบายให้เจ้าฟังเป็นอย่างไร?”
หากเป็นเพียงแค่การพูดคุยและทักทาย มู่ชิงเกอจะต้องปฏิเสธคำเชิญของจิงฟ่งอวี่อย่างไม่ต้องสงสัย
แต่เรื่องนี้เกี่ยวกับชาติกำเนิดของจึงไห่ มู่ชิงเกอจึงต้องไปสักครั้ง
เมื่อคิดแล้วนางก็พยักหน้า
เมื่อจิงฟ่งอวี่เห็นว่ามู่ชิงเกอตกลงแล้วก็ดีใจมาก เขานำพวกมู่ชิงเกอออกจากถนนแล้วก็เดินไปยังโรงนํ้าชาที่เงียบสงบแห่งหนึ่งอย่างคุ้นเคย
โรงนํ้าชาแห่งนี้ไม่ใหญ่มาก คนก็ไม่เยอะ
มู่ชิงเกอมองไปรอบๆ ก็พบว่าที่นี่ตกแต่งอย่างละเอียดอ่อน ก็เข้าใจในใจว่าสถานที่แห่งนี้ก็เหมือนกับคลับในชาติก่อนที่ไม่ใช่ใครก็เข้ามาได้
“เจ้าเมืองมู่ เชิญ” จิงฟ่งอวี่เปลี่ยนเป็นดูเกรงใจมาก ไม่ดูใกล้ชิดอย่างเมื่อก่อน
ความสุขุมและเป็นผู้ใหญ่นี้ไม่รู้ถือเป็นการพัฒนาในหลายปีนี้ของเขาหรือไม่
มู่ชิงเกอเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง แล้วก็ตามเข้าไปในเรือนที่แยกออกไปต่างหาก
องครักษ์เขี้ยวมังกรแล้วก็ผู้คุ้มกันของจิงฟ่งอวี่ล้วนแต่รออยู่ด้านนอก ภายในห้องมีเพียงจิงฟ่งอวี่และคนสนิทของเขาคนหนึ่ง กับมู่ชิงเกอ จิงไห่และมู่เฟิงสามคน
“เพื่อจะไม่ทำให้เจ้าเมืองมู่ต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง ข้าจะเปิดประตูเอาไว้” จิงฟ่งอวี่มองประตูที่ปิดอยู่แล้วก็พูดขึ้นมาในทันใด
นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแวววาววาบ ส่ายหน้าอย่างขบขัน “ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นก็ได้ ข้าไม่ได้ใส่ใจเรื่องเหล่านี้”
ขณะเดียวกัน นางก็ลอบคิดในใจว่า ‘นี่ก็คือความแตกต่างระหว่างสภาพผู้ชายและผู้หญิง! หากว่านางยังอยู่ในสภาพผู้ชาย จิงฟ่งอวี่จะใส่ใจกับเรื่องเช่นนี้ทำไม’
“แต่ว่านี่…” จิงฟ่งอวี่ยังคงลังเล มองออกว่าเขาคิดแทนมู่ชิงเกอจริงๆ
แต่มู่ชิงเกอกลับเอ่ยว่า “ปากอยู่บนร่างคนอื่น คิดจะพูดอะไรก็เป็นเรื่องของพวกเขา พวกเรากระทำด้วยความบริสุทธิ์ใจไม่ต้องกลัวคำครหา หากใช้ชีวิตไปแล้วต้องคอยกังวลต่อความคิดของคนอื่นเช่นนี้ จะไม่เหนื่อยเกินไปหรืออย่างไร?”
ความเปิดกว้างของนางทำให้จิงฟ่งอวี่ชะงัก
ผ่านไปนานเขาถึงได้ถอนหายใจพยักหน้า เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “จิตใจของเจ้าเมืองมู่ ทำให้ข้าละอายใจตัวเองจริงๆ”
ในเมื่อมู่ชิงเกอไม่ใส่ใจ เขาก็ไม่ได้พูดถึงประเด็นนี้ต่อ
สายตาของจิงฟ่งอวี่เลื่อนไปที่ร่างของจิงไห่อีกครั้ง
สายตาที่ดูเร่าร้อน พิจารณา และไม่อยากจะเชื่อสายตาตนเองของเขา ทำให้จิงไห่ที่นั่งอยู่ข้างซ้ายของมู่ชิงเกอร้สึกอึดอัดทำตัวไม่ถูก อดขยับไหล่ไม่ได้
ท่าทางของเขาไม่อาจหลุดรอดไปจากสายตาของมู่ชิงเกอ
นางยิ้มบางๆ วางจอกชาในมือลงบนโต๊ะ จงใจทำให้เกิดเสียง
จิงฟ่งอวี่ได้สติถอนสายตาออกจากตัวของจิงไห่ มองไปยังมู่ชิงเกอ เห็นนางเล่นกับจอกชาในมือด้วยท่าทีคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มแล้ว เขาก็เผยท่าทีละอาย เอ่ยขอโทษว่า “เสียมารยาทแล้ว เจ้าเมืองมู่โปรดอภัย”
“คุณชายจิงควรจะกล่าวสักหน่อยหรือไม่ว่าเหตุใดจึงสนใจในตัวศิษย์ผู้นี้ของข้าเป็นพิเศษ?” มู่ชิงเกอพูดกึ่งล้อเล่น
จิงฟ่งอวี่พูดอย่างตะลึงว่า “ที่แท้ท่านผู้นี้ก็เป็นศิษย์ของเจ้าเมืองมู่!”
มู่ชิงเกอพยักหน้าเบาๆ
จิงฟ่งอวี่กลับขมวดคิ้วเอ่ยว่า “เมื่อครู่ที่ข้าตกตะลึงนั้นก็เพราะข้ารู้สึกว่าบนร่างของเขานั้นมีสายเลือดที่เหมือนกันกับข้าอยู่”
พูดแล้วเขาก็มองไปยังจิงไห่แล้วเอ่ยว่า “เจ้าแซ่จิงใช่ไหม?”
จิงไห่ไม่ได้ตอบเขา แต่มองไปยังมู่ชิงเกอ ส่วนฝ่ายหลังก็เหมือนจะรับรู้ ยิ้มบางๆ แล้วเอ่ยปากว่า “ศิษย์คนนี้ของข้าแซ่จิง แต่เกรงว่าจะไม่มีความสัมพันธ์อะไรกันกับตระกูลจิงทะลวงสวรรค์แห่งภาคกลางของพวกท่าน ข้าพบเขาในหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ ที่ชายแดนภาคใต้ จากนั้นเขาก็อยู่ข้างกายข้ามาตลอด”
“ไม่! ในเมื่อมีแซ่จิง เช่นนั้นก็จะต้องเกี่ยวข้องกับตระกูลจิงแน่นอน!” จิงฟ่งอวี่เอ่ยอย่างแน่ใจ
เขารู้สึกสงสัยในคำพูดของมู่ชิงเกอ เพราะเขาเคยพูดว่าสายเลือดตระกูลจิงนั้นไม่มีทางจะหลุดรอดออกไปภายนอกได้ นอกจากจะเป็นคนในตระกูลและไม่มีสายเลือด จึงออกจากตระกูลจิงไปเอง แต่เขาแน่ใจว่าเขาได้กลิ่นสายเลือดที่ตื่นขึ้นแล้วจากร่างกายของจิงไห่
คนที่ไม่ได้ผ่านการชำระล้างจากตระกูลแล้วสามารถปลุกสายเลือดให้ตื่นขึ้นได้ด้วยตนเองนั้น สำหรับอาจารย์ทะลวงสวรรค์แล้วถือเป็นอัจฉริยะที่หาได้ยาก!
‘ไม่ว่าอย่างไรก็จะต้องพาเด็กคนนี้กลับตระกูลให้ได้!’ จิงฟ่งอวี่ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ในใจ
“เหตุใดคุณชายจิงถึงได้แน่ใจขนาดนี้?” รอยยิ้มของมู่ชิงเกอดูขี้เล่น
นางสังเกตเห็นความแน่วแน่ในแววตาของจิงฟ่งอวี่ แต่หากคิดจะพาจิงไห่ไปก็ต้องถามความเห็นของนางก่อนใช่หรือไม่?
จิงฟ่งอวี่ได้สติขึ้นมาจากอาการตกตะลึง เขามองมู่ชิงเกอและถูกท่าทีขี้เล่นนี้ของนางทำให้ตกใจ เอ่ยในใจว่า ‘ข้าเกือบลืมไปแล้ว ว่าเขาอยู่ข้างกายนางและเป็นศิษย์ของนาง หากไม่มีคำอนุญาตจากนาง เขาจะกลับไปตระกูลจิงกับข้าได้อย่างไร?’
จิงฟ่งอวี่สงบอารมณ์แล้วเอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “เจ้าเมืองมู่ คงไม่รู้ว่าสายเลือดตระกูลจิงนั้นพิเศษมาก เพียงแค่ตื่นขึ้นแล้วคนของตระกูลจิงก็จะสามารถสัมผัสถึงกันได้ ดังนั้นข้าจึงแน่ใจว่าเขาเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตระกูลจิงอย่างแน่นอน ส่วนเหตุใดถึงได้ไปอยู่ภาคใต้นั้น จุดนี้ต้องกลับไปตรวจสอบที่ตระกูลอย่างละเอียดอีกที”
พูดแล้ว เขาก็เอ่ยกับจิงไห่ว่า “เจ้ารู้สถานภาพของเจ้าหรือไม่? บิดามารดาของเจ้าเป็นใคร?”
จิงไห่ยังคงมองไปที่มู่ชิงเกอ ไม่ได้ตอบคำถามของเขา ทั้งสายตาและการเคลื่อนไหวทุกอย่างเผยให้เห็นถึงความไว้เนื้อเชื้อใจต่อมู่ชิงเกอมาก ทำให้จิงฟ่งอวี่รู้สึกหนักอึ้งในใจ
ดูเหมือนความคิดที่อยากจะพาจิงไห่กลับตระกูลจิงจะยากลำบากขึ้นมาอีก
“เจ้าตอบคำถามของคุณชายจิงเถอะ” มู่ชิงเกอพูด
เวลานี้จิงไห่ถึงพยักหน้า พูดกับนางอย่างเคารพว่า “ขอรับ ครูฝึก”
ครูฝึก?
‘เป็นคำเรียกที่แปลกอะไรเช่นนี้?’ จิงฟ่งอวี่สงสัยในใจ
จิงไห่พูดกับจิงฟ่งอวี่ว่า “ตั้งแต่เล็กจนโตข้าก็อยู่ที่หมู่บ้านชาวประมงในภาคใต้มาโดยตลอด บิดามารดาก็ใช้ ชีวิตอยู่ที่นั่น เพียงแต่ตอนยังเด็ก บิดาของข้าคิดจะแสวงหาเส้นทางของผู้แข็งแกร่ง จึงออกจากบ้านไป หลังจากนั้นหนึ่งปี มารดาของข้าเพื่อไปตามบิดากลับมาจึงจากไปเช่นกัน ภายในบ้านเหลือเพียงข้าคนเดียว จนกระทั่งพบกับครูฝึกถึงได้ติดตามนางมาจนถึงตอนนี้”
เรื่องราวของจึงไห่นั้นเรียบง่ายมาก
จิงฟ่งอวี่รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เพราะเขาหาเบาะแสที่มีประโยชน์ไม่ได้เลย
สิ่งเดียวที่สามารถคาดเดาได้ก็คือ บางทีบิดาของจิงไห่อาจจะเป็นคนในตระกูลที่สายเลือดไม่ตื่นขึ้น เขาจึงออกจากตระกูลไปอยู่ที่ภาคใต้ แต่งงานมีลูก แต่คิดไม่ถึงว่าสายเลือดอาจารย์ทะลวงสวรรค์จะไม่ตื่นขึ้นในร่างกายของเขา แต่กลับตื่นขึ้นในตัวบุตรชายแทน
“เจ้ายินดีตามข้ากลับตระกูลหรือไม่? เจ้ามีสายเลือดอาจารย์ทะลวงสวรรค์อายุก็ยังน้อยยังไม่ผ่านการชำระล้างจากตระกูลก็สามารถปลุกสายเลือดให้ตื่นได้ด้วยตนเอง พรสวรรค์สูงส่ง เพียงแค่กลับถึงตระกูล ตระกูลก็จะมอบทรัพยากรที่ดีที่สุดสำหรับการฝึกฝนให้เจ้า บนเส้นทางของอาจารย์ทะลวงสวรรค์นั้น เจ้าสามารถมีอาจารย์คอยแนะนำไม่ต้องคลำหาเส้นทางไปคนเดียวอีกแล้ว” จิงฟ่งอวี่พูดตรงๆ
กลับคืนตระกูล!
รับการสืบทอด!
มีทรัพยากร!
สถานะสูงส่ง!
คำพูดของจิงฟ่งอวี่เติมไปด้วยสิ่งล่อใจ
จิงไห่ชะงัก เขาไม่เคยรู้ว่าตนเองนั้นมีอะไรพิเศษ แม้แต่ตอนที่เขารู้เรื่องสายเลือดของตนเองก็ไม่ได้รู้สึกว่าตนเองเก่งกาจอะไร เพียงรู้สึกว่ามีประโยชน์และช่วยอาจารย์ของตนเองได้บ้างก็เท่านั้น
แต่ตอนนี้ คำพูดของจิงฟ่งอวี่ เขาก็ได้รู้ว่าตนเองไม่ใช่ตัวคนเดียวอีกต่อไป แต่เป็นคนที่มีตระกูล อีกทั้งตระกูลนี้ก็ยังร้ายกาจอีกด้วย!
แต่เขากลับไม่ได้พยักหน้าในทันที
ความนิ่งสงบของเขาทำให้จิงฟ่งอวี่มองมู่ชิงเกออย่างกระวนกระวาย แล้วเอ่ยขอร้องมู่ชิงเกอว่า “เจ้าเมืองมู่ ถึงแม้เขาจะเป็นศิษย์ของท่าน แต่ก็เป็นสายเลือดของตระกูลจิงที่พลัดพรากอยู่ที่ด้านนอก ตามกฎบรรพชน เขาควรจะกลับคืนตระกูล สำหรับเขาแล้วไม่มีอะไรเสียหาย และก็ไม่กระทบถึงความสัมพันธ์ศิษย์และอาจารย์ของพวกท่าน ท่านว่า…”
เขาต้องการความเห็นพ้องจากมู่ชิงเกอ เพียงแค่มู่ชิงเกอเห็นด้วย เขาคิดว่าเรื่องนี้ก็คงจะสำเร็จแล้ว
แต่มู่ชิงเกอกลับหัวเราะเอ่ยว่า “เรื่องนี้เป็นเรื่องของจิงไห่เอง ควรจะเลือกอย่างไรก็อยู่ที่เขาไม่ได้อยู่ที่ข้า”
เพียงประโยคเดียวก็ทำลายความคิดของจิงฟ่งอวี่ลง
แต่นี่ก็ทำให่จิงฟ่งอวี่รู้สึกยินดีในใจ ตามที่เขามอง เพียงแค่มู่ชิงเกอไม่ขัดขวาง หากได้ฟังข้อเสนอเช่นนี้จะมีใครปฏิเสธอีก?
ตระกูลจิงทะลวงสวรรค์ไม่ใช่สิ่งที่ตระกูลธรรมดาจะเทียบได้!
เขามองจิงไห่อย่างคาดหวัง รอคำตอบจากเขา
แต่คำตอบของจิงไห่กลับทำให้สีหน้าของเขาแข็งค้าง
“ข้าต้องการติดตามครูฝึก จะไม่ไปไหนทั้งนั้น” จิงไห่พูดอย่างไม่ลังเล
“เจ้าพูดว่าอะไรนะ?” จิงฟ่งอวี่มองเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ
จิงไห่พูดอีกครั้งว่า “ข้าต้องการติดตามครูฝึก จะไม่ไปไหนทั้งนั้น”
นํ้าเสียงของเขาสงบนิ่งมาก ไม่มีความลังเล ทั้งนํ้าเสียงก็ไม่ได้มีความเสียดายที่ไม่ได้กลับตระกูลจิง
“เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เจ้าคิดให้ดีๆ” จิงฟ่งอวี่พูดเตือนขึ้นอีกครั้ง
แต่จิงไห่กลับพยักหน้าอย่างแน่วแน่
จิงฟ่งอวี่มองเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ นานมากถึงได้สติกลับมา เขาเอ่ยถามอย่างไม่ยอมแพ้ว่า “เจ้ามีความกังวลอะไรหรือไม่? เจ้าสามารถพูดออกมาได้เลยไม่จำเป็นต้องปิดบัง”
จิงไห่ส่ายหน้า “การได้ติดตามครูฝึกคือความใฝ่ฝันของข้า”
ท่าทีที่แน่วแน่ของเขาทำให้จิงฟ่งอวี่รู้สึกปวดหัว ครู่หนึ่งเขาถึงได้พูดว่า “เรื่องนี้ไม่รีบ เจ้าค่อยๆ คิด ไม่จำเป็นต้องรีบตอบข้า”
พูดแล้วเขาก็มองมู่ชิงเกอ ท่าทางดูจริงจังมาก “เจ้าเมืองมู่ คิดว่าท่านคงจะรู้ว่าตัวเลือกไหนดีต่อตัวจิงไห่มากที่สุด ขอให้ท่านช่วยโน้มน้าวใจเขาที ผ่านไปอีกสองสามวันข้าจะมาเยี่ยมใหม่”
“ได้ปัญหานี้จำเป็นต้องใช้เวลาครุ่นคิดให้ดีจริงๆ” มู่ชิงเกอพยักหน้าเอ่ยออกมา
ท่าทางของนางทำให้จิงฟ่งอวี่โล่งใจ แต่กลับทำให้จิงไห่ร้อนใจเอ่ยว่า “ครูฝึก…”
มู่ชิงเกอยกมือตัดบทคำพูดของจิงไห่
จากนั้นนางก็พูดคุยกับจิงฟ่งอวี่เรื่องภาคกลางแล้วถึงได้บอกลาแยกย้ายกันไป
หลังจากจิงฟ่งอวี่จากไปแล้วก็ไม่มีกะจิตกะใจเดินเล่นต่ออีก เขารีบกลับไปยังตระกูลเพื่อรายงานเรื่องของจิงไห่ทันที
ส่วนพวกมู่ชิงเกอก็กลับไปยังที่พัก
ระหว่างทางจิงไห่เอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจว่า “ครูฝึก เสี่ยวไห่ทำอะไรผิดไปหรือไม่? ทำให้ท่านโกรธท่านถึงไม่ต้องการเสี่ยวไห่แล้ว?”
มู่ชิงเกอมองเขาอย่างแปลกใจ “เจ้ามีความคิดเช่นนี้ได้อย่างไร?”
จิงไห่เม้มริมฝีปากอย่างอดสู “ก็ข้าได้ยินที่ครูฝึกพูดเหมือนจะต้องการให้ข้าตามคนคนนั้นกลับไปยังตระกูลจิง”
มู่ชิงเกอหลุดหัวเราะ “ไปตระกูลจิงมีผลดีต่อเจ้าไม่น้อย อีกอย่างจิงฟ่งอวี่ก็พูดแล้วว่าถึงเจ้ากลับไปยังตระกูลจิง ความสัมพันธ์ระหว่างศิษย์อาจารย์ของพวกเราก็ไม่เปลี่ยน มีผลประโยชน์แล้วไม่เอา โง่หรืออย่างไร?”