ตอนที่ 508
ตำหนักเทพขอเชิญ นักบวชเทวะ
“ไปตระกูลจิงมีผลดีต่อเจ้าไม่น้อย อีกอย่างจิงฟ่งอวี่ก็พูดแล้วว่าถึงเจ้ากลับไปยังตระกูลจิง ความสัมพันธ์ระหว่างศิษย์อาจารย์ของพวกเราก็ไม่เปลี่ยน มีผลประโยชน์แล้วไม่เอา โง่หรืออย่างไร?” มู่ชิงเกอหลุดหัวเราะพูดออกมา
นางไม่ได้ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์กับศิษย์ร่วมสำนักสักเท่าไหร่
สำหรับนางแล้ว ถ้าหากกลับไปตระกูลจิง จิงไห่ก็จะมีตระกูลหนุนหลัง นี่เป็นการค้าขายที่คุ้มค่า!
“แต่จิงไห่ไม่อยากจากลั่วซิงเฉิงไป ไม่อยากจากครูฝึกไป และก็ไม่อยากจากทุกคนไป” จิงไห่เอ่ยขึ้น
ภายในใจของเขานั้น ลั่วซิงเฉิงก็คือบ้าน ทุกคนในลั่วซิงเฉิงก็คือญาติสนิท สำหรับมู่ชิงเกอ เขาก็ยิ่งนับถือนางเป็นเช่นบิดามารดา อาจารย์ผู้มีพระคุณ พี่สาวคนโต
หากว่าให้เขาทิ้งทุกอย่างแล้วกลับไปสู่ตระกูลเพื่อความแข็งแกร่งนั้น เขาไม่ยอมอย่างแน่นอน
มู่ชิงเกอยกมือขึ้นตบบนไหล่ของจิงไห่เบาๆ เอ่ยปลอบว่า “ดังนั้นก็อย่าได้ร้อนใจไป ถึงแม้ว่าการค้าขายครั้งนี้จะคุ้มค่า แต่ก็ยังต้องมีการพูดคุย รอไปก่อน ดูว่าเมื่อได้พบจิงฟ่งอวี่อีกครั้งเขาจะเอาข้อเสนออะไรมา”
พูดแล้วนางก็สะบัดแขนเสื้อเดินไป จบประเด็นนี้ลง
ส่วนจิงไห่กลับยืนอยู่ที่เดิม รู้สึกมึนงง เขาลูบหัว ไม่เข้าใจความหมายของครูฝึกตนเอง
ที่พักที่มั่วหยางจัดเอาไว้นั้นจัดตามความชอบของมู่ชิงเกอ
หลังจากเข้าที่พักแล้วเหล่าองครักษ์เขี้ยวมังกรก็วิ่งวุ่นไปทั่ว
มู่เฟิงมาถึงข้างกายมู่ชิงเกอเผยสีหน้าลำบากใจแล้วเอ่ยว่า “ที่มาในครั้งนี้ไม่ได้พาพวกโย่วเหอมาด้วย ลำบากนายน้อยแล้ว”
ผู้หญิงผู้ชายนั้นแตกต่าง พวกเขาไม่สามารถคอยรับใช้ข้างกายมู่ชิงเกอได้
มู่ชิงเกอกลับหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจเอ่ยว่า “ข้าไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น สามารถดูแลตนเองได้อีกไม่กี่วัน สุสานเทพก็เปิด จากนั้นข้าก็ต้องเข้าไปในสุสานเทพแล้ว จะพาพวกนางมาด้วยทำไม”
มู่เฟิงหลุบตาเงียบลง ไม่ได้พูดถึงประเด็นนี้ต่อ
มู่ชิงเกอนั่งลงบนเก้าอี้ เคาะนิ้วมือบนโต๊ะอย่างไม่ใส่ใจ เอ่ยกัปมู่เฟิงว่า “รู้ไหมว่าเหตุใดครั้งนี้ข้าถึงได้นำเจ้ากับจิงไห่มาด้วย?”
มู่เฟิงเงยหน้าขึ้นแล้วค่อยๆ ส่ายหน้า
ในใจของเขาเองก็รู้สึกแปลกใจ ภายในลั่วซิงเฉิงมีคนตั้งมากมาย เหตุใดนายน้อยถึงไม่เลือก แต่กลับเลือกพวกเขาที่มีกำลังอ่อนแอที่สุดมาร่วมทาง
มู่ชิงเกอหัวเราะขึ้นมา
ภายในรอยยิ้มเหมือนซ่อนความหมายลึกลํ้าเอาไว้ “เจ้ากับจิงไห่ไม่ค่อยได้ออกมาสัมผัสกับโลกภายนอก”
จิงไห่ ยังดี มีออกไปทำภารกิจกับพวกเขี้ยวมังกรบ้าง
ส่วนมู่เฟิงนั้น…
ก่อนที่มู่เฟิงจะติดตามมู่ชิงเกอก็มักจะเก็บตัวฝึกปรือทุกวัน น้อยครั้งที่จะก้าวออกนอกประตูบ้าน
หลังจากติดตามมู่ชิงเกอแล้ว เขาก็อยู่แต่ในลั่วซิงเฉิง ยังคงตั้งใจฝึกปรือ ไม่ค่อยสนใจเรื่องราวภายนอก
“ไม่ใช่บอกว่าที่เจ้าตั้งใจฝึกปรือนั้นไม่ดี แต่จะอย่างไรก็ไม่สามารถปิดประตูสร้างรถ*[1]ได้คิดจะพัฒนา คิดจะแข็งแกร่ง นอกจากฝึกปรือแล้วยังต้องมีประสบการณ์การต่อสู้จริงด้วย” นัยน์ตาของมู่ชิงเกอเปลี่ยนเป็นดุดันขึ้นมา
มู่เฟิงใช้สายตาที่แน่วแน่มองนาง ริมฝีปากเม้มเป็นเส้นตรง ตั้งใจฟัง
มู่ชิงเกอค่อยๆ ยืนขึ้นมา แล้วเอ่ยต่อว่า “การต่อสู้จริงไม่ใช่การแลกเปลี่ยนความรู้ที่หยุดเมื่อถึงตัวที่เจ้าฝึกกับคนในลั่วซิงเฉิง แต่เป็นการผ่านความเป็นความตายที่แท้จริง ใช้ช่องว่างระหว่างความเป็นความตายขัดเกลากำลังของตนเอง”
มู่เฟิงมีสีหน้าเคร่งขรึมไม่ได้โต้เถียง
เพราะเขาไม่มีอะไรโต้เถียง คำพูดที่มู่ชิงเกอพูดล้วนแต่เป็นความจริง และก็เป็นปัญหาในตัวของเขา
“ดังนั้นที่ข้าพาพวกเจ้ามาก็เพื่อมอบภารกิจให้พวกเจ้า” มู่ชิงเกอยืนอยู่ตรงหน้าของมู่เฟิง “ตอนนี้ตัวของจิงไห เกี่ยวพันไปถึงตระกูลจิง เรื่องของเขาจึงระงับเอาไว้ก่อน แต่เจ้า…เจ้ารู้จักสถานที่ที่ถูกขนานนามว่าเป็นแดนคนตายในเมืองเทียนคงแห่งภาคกลางไหม?” นัยน์ตาของมู่เฟิงหดตัวลง ดูเหมือนเขาจะเข้าใจความหมายของมู่ชิงเกอ
ดวงตาที่สดใสของมู่ชิงเกอจับจ้องทุกการเคลื่อนไหวของมู่เฟิง เมื่อมองเห็นปฏิกิริยาของเขาแล้ว นางก็พยักหน้าเอ่ยว่า “อืม ดูแล้ววงข่าวสารของเจ้าก็ไม่ได้แคบอย่างที่ข้าคิดเอาไว้อย่างน้อยเจ้าก็รู้จักสถานที่นี้”
มู่เฟิงขบริมฝีปากแล้วเอ่ยออกมาว่า “ว่ากันว่าในแดนคนตายเติมไปด้วยคนชั่วร้าย เป็นที่รวมตัวกันของบรรดาคนชั่วของทั้งห้าภาค หลังจากทำชั่วแล้วก็หนีจากศัตรูที่ไล่ล่าสังหารเข้าไปในแดนคนตาย ด้านในนั้นเต็มไปด้วยความชั่วร้าย สกปรกและมืดมน คนที่เข้าไปแล้ว ถึงสุดท้ายจะออกมาได้ก็ถูกถลกหนังไปหลายชั้น ที่นั้นถูกเรียกว่าดินแดนเก้าตายหนึ่งเป็น”
มู่ชิงเกอพยักหน้า นัยน์ตาฉายรอยยิ้ม “ดูแล้ว เจ้ารู้มาไม่น้อยเลย ไม่เลว เป็นที่นั้นแหละ หลังจากข้าเข้าไปในสุสานเทพแล้ว เจ้าก็อย่าได้เอ้อระเหยลอยชาย ไปแดนคนตายสักครั้ง สามารถมีชีวิตออกมาได้หรือไม่ก็ดูที่ความสามารถของเจ้าแล้ว”
มู่เฟิงเงยหน้าขึ้นมองมู่ชิงเกอ ชันเข่าลงกับพื้น แล้วรับรองกับนางว่า “มู่เฟิงจะไม่ทำให้นายน้อยผิดหวัง จะบุกตะลุยแดนคนตายแล้วมีชีวิตกลับไปลั่วซิงเฉิงให้ได้!”
“ดี! เจ้าจำคำพูดนี้ของได้าเอาไว้ และไม่ว่าเจ้าจะพบเรื่องราวอะไรที่นี่ก็ขออย่าได้ลืมคำมั่นนี้ของเจ้า” มู่ชิงเกออเอ่ย
มู่เฟิงพยักหน้า
มู่ชิงเกอเอ่ยขึ้นอีกว่า “เจ้าต้องจำเอาไว้ว่าหากจิงไห่ไปตระกูลจิงแล้วก็จะเหลือเพียงเจ้าแค่คนเดียวที่เข้าไป ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็จะไม่มีใครช่วยเจ้า ทุกอย่างต้อง
พึงตัวเจ้าเองแล้ว”
“ขอรับ ข้าน้อยจะจดจำไว้” มู่เฟิงพยักหน้า
“ดีแล้ว หลายวันนี้เจ้าก็พักผ่อนในที่พักให้ดี เตรียมความพร้อมที่จะเข้าแดนคนตาย ยิ่งเตรียมได้พร้อมเท่าไหร่ โอกาสในการรอดชีวิตของเจ้าก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น” มู่ชิงเกอให้มู่เฟิงออกไป
แดนคนตายของภาคกลางนั้นนางรู้จักมานานแล้ว
เดิมทีนางเคยคิดจะเข้าไปสักครั้ง แต่เรื่องที่เกิดขึ้นในภายหลังนั้นเหนือความคาดหมาย ทำให้นางไม่มีเวลา ตอนนี้นางมาถึงภาคกลางแล้ว แต่กลับไม่จำเป็นต้องไปแดนคนตายอีก
แดนคนตายเป็นที่สำหรับระดับสีทองชั้นสี่ลงไปเท่านั้นถึงจะมีประโยชน์ในการเคี่ยวกรำ
ในตอนนี้นางอยู่ระดับสีทองชั้นหกชั้นสูงสุด ถึงแม้เข้าไปก็เหมือนเป็นการกวาดล้าง ไม่มีประโยชน์ในการฝึกปรือเลย แต่สำหรับจิงไห่และมู่เฟิงที่มีประสบการณ์รบจริงน้อยแล้วก็เป็นประโยชน์อย่างมาก
เมื่อมู่เฟิงจากไป มู่ชิงเกอก็พักผ่อนอยู่ในห้องคนเดียว
นางคิดไม่ถึงว่าเมื่อมาภาคกลางก็จะพบกับจิงฟ่งอวี่เลย จากนั้นก็ได้รับประโยชน์ที่เหนือความคาดหมาย
ถ้าหากจิงไห่ไปฝึกปรือในตระกูลจิงก็จะเป็นประโยชน์ต่อเขามาก
มู่ชิงเกอหัวเราะ หยิบยันต์ส่งสาส์นออกมาใบหนึ่งแล้วพูดกับยันต์ส่งสาส์นว่า “ข้ามาถึงเมืองเทียนคงแล้ว พวกเจ้าจะมาถึงเมื่อไหร่?” เมื่อพูดจบ ยันต์ส่งสาส์นในมือของนางก็กลายเป็นแสงสายหนึ่งพุ่งขึ้นไปบนฟ้า
หลังจากเวลาหนึ่งก้านธูป แสงก็ย้อนกลับมาตกลงตรงหน้านางกลายเป็นเงาคน
“ชิงเกอ เจ้ารอพวกข้าก่อน อีกสองวันพวกข้าก็จะถึงแล้ว!” เงาคนนั้นหากไม่ใช่จีเหยาฮั่วแล้วจะเป็นใครอีก?
“ใช่แล้ว ข้ามาพร้อมกับอิ๋งเจ๋อแล้วก็เหยาชิงไห่ด้วยนะ!”
พูดจบแล้วเงาคนก็หายไป
มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว พึมพำด้วยท่าทีแปลกใจ “เหยาชิงไห่? สามคนนี้อยู่คนละที่แท้ๆ มาอยู่ด้วยกันได้อย่างไร?”
ก็ไม่แปลกที่นางคิดเช่นนี้ อิ๋งเจ๋ออยู่ภาคตะวันตก จีเหยาฮั่วอยู่ภาคเหนือ เหยาชิงไห่อยู่ภาคตะวันออก แต่สามคนนี้กลับจะมาถึงพร้อมกัน ทั้งยังร่วมทางกันด้วย มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้น พึมพำในใจว่า ‘สงสัยสามคนนี้คงจะฝึกปรือด้วยกัน’
นางคาดเดาไม่ผิด เพียงแต่นางไม่รู้ว่าหนึ่งปีก่อนในลั่วซิงเฉิง ตอนที่นางประกาศเรื่องราวของนางกับซือมั่วให้คนทั้งใต้หล้าได้รับรู้ ทั้งสามคนที่อยู่ในกลุ่มคนจึงรวมตัวเข้าด้วยกัน
เดิมทีก็ต้องร่วมกลุ่มอยู่แล้ว กลับมาเจอกันโดยบังเอิญในลั่วซิงเฉิงอีก จีเหยาฮั่วและอิ๋งเจ๋อดูละครจบแล้ว เหยาชิงไห่ก็ยอมแพ้แล้ว ทั้งสามคนจึงไปหาที่ฝึกปรือด้วยกัน แล้วเพิ่งจะออกมา จึงรีบมุ่งหน้ามายังภาคกลาง ส่วนคนในตระกูลของพวกเขาแต่ละคนก็ออกมาจากแต่ละภาค มารวมตัวกันที่ภาคกลาง
มู่ชิงเกอพักผ่อนในที่พักเมืองเทียนคงหนึ่งวัน
วันที่สองคนของตระกูลจิงก็ยังไม่มา แต่กลับมีแขกที่ไม่คาดคิดมาผู้หนึ่ง
ในตอนที่ผู้รับใช้เทพของตำหนักเทพมาถึงตรงหน้าของนางนั้น มู่ชิงเกอก็มองเห็นเทียบเชิญที่เขาใช้สองมือยื่นมาให้ พลางเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
คนของตำหนักเทพมาส่งเทียบเชิญให้นาง?
นี่เป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายของนาง ช่วงนี้ระหว่างนางกับตำหนักเทพนั้นลอบโจมตีกันไปมาตลอด นางมาภาคกลางที่เป็นถิ่นของตำหนักเทพ ตำหนักเทพไม่สร้างปัญหาให้นางกลับมาส่งเทียบเชิญให้นางหรือ?
มุมปากของมู่ชิงเกอปรากฎรอยยิ้มขี้เล่น รับเทียบเชิญมา
ผู้รับใช้เทพเอ่ยว่า “นักบวชเทวะพูดว่า พรุ่งนี้เชิญเจ้าเมืองมู่ไปพบ”
พูดจบแล้วเขาก็หันกายจากไป
หลังจากเขาไปแล้ว มู่เฟิงก็เดินมาข้างกายมู่ชิงเกอ ขมวดคิ้วเอ่ยถามว่า “ตำหนักเทพทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร? ลอบส่งคนมาฆ่านายน้อย มาตอนนี้กลับส่งคนมาเชิญอย่างเปิดเผย หรือว่า…การเชิญในวันพรุ่งนี้จะมีแผนการร้ายอะไร?”
เขากังวลใจ แต่มู่ชิงเกอกลับไม่ใส่ใจ
มู่ชิงเกอวางเทียบเชิญในมือลงแล้วเอ่ยว่า “ที่นี่คือเมืองเทียนคง เป็นศูนย์กลางของตำหนักเทพ หากว่าข้าเกิดเรื่องที่นี่ ไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับพวกเขาหรือไม่ พวกเขาก็ต้องถูกดึงมาเกี่ยว ในเมื่อก่อนหน้านี้พวกเขาเอาแต่ลอบลงมือ ตอนนี้ก็คงจะไม่โง่เช่นนั้น เทียบเชิญนั้นพวกเขาเป็นผู้ส่งมา หากว่าพรุ่งนี้ข้าเกิดเรื่องในตำหนักเทพ พวกเขาก็ยากจะหนีความผิดพ้น”
“ความหมายของนายน้อยคือจะไปงั้นหรือ?” มู่เฟิงเอ่ยถามอย่างตกใจ
มู่ชิงเกอเลิกคิ้ว “ไปสิ ทำไมจะไม่ไปเล่า!”
นางก็อยากจะรู้ว่าที่นักบวชเทวะต้องการพบนางนั้นมีแผนการอะไรกันแน่
“เช่นนั้นข้าน้อยจะไปเตรียมตัว” มู่เฟิงเอ่ย
มู่ชิงเกอหันมองเขาอย่างแปลกใจ “เตรียมอะไร?”
มู่เฟิงเอ่ยว่า “ย่อมต้องไปเตรียมกำลังคนเอาไว้ให้พร้อมสำหรับพรุ่งนี้”
มู่ชิงเกอหลุดหัวเราะ “ไม่จำเป็น พรุ่งนี้ข้าจะไปคนเดียว”
“อะไรนะ! ได้อย่างไรกัน?” มู่เฟิงอุทานออกไป
มู่ชิงเกอหัวเราะเอ่ยว่า “ไม่มีอะไรไม่ได้นี่ เขาส่งเทียบเชิญให้ข้า ก็หมายความว่าจะไม่ทำอะไรข้า เพียงแค่คิดจะพูดข่มขู่หน่อยก็เท่านั้น ยื่นคำขาดให้ข้า ไปตำหนักเทพส่วนกลางนั้นข้าพาคนไปด้วยก็ไม่มีประโยชน์ถึงจะพาไปด้วยจริงๆ ก็จะเหมือนว่าข้าเป็นคนขี้ขลาดในสายตาของคนตำหนักเทพ”
“แต่ถึงจะพูดเช่นนี้นายน้อยไปตามนัดคนเดียวก็อันตรายมากนะขอรับ” มู่เฟิงขมวดคิ้วเอ่ย
มู่ชิงเกอโบกมือเอ่ยว่า “ไม่เป็นไร ข้ามีแผนของข้า พวกเราพักผ่อนให้สบายก็พอแล้ว” ภายในช่องว่างของนางมี หุ่นเทพมาร ทั้งยังมีกู่หยาและกู่เย่คอยคุ้มครอง…ถึงแม้ทางตำหนักเทพ พวกเขาสองคนจะไม่สะดวกเข้าไปแต่ก็สามารถรู้สถานการณ์ของนางได้ แล้วจะมีอะไรต้องกลัวอีก?
หากไม่ได้จริงๆ ก็เข้าไปซ่อนในช่องว่าง ใครจะทำอะไรนางได้?
*ปิดประตูสร้างรถ หมายถึง ไม่มองความเป็นจริง อยู่แต่ในโลกของตนเอง