ตอนที่ 509
พบซีเซียนเสวี่ยอีกครั้ง
วันถัดมา
มู่ชิงเกอถือเอาเทียบเชิญตำหนักเทพมุ่งหน้าไปยังใจกลางเมืองเทียนคง เดินไปยังกลุ่มอาคารที่โดดเด่นแตกต่างเพียงลำพัง
ถ้าพูดว่าเมืองเทียนคงอยู่บนก้อนเมฆ เช่นนั้นตำหนักเทพและหอคอยก็อยู่เหนือเมฆ รอบด้านของตำหนักเทพนั้นมีเมฆหมอกโอบล้อม ไม่มีใครสามารถเข้าใกล้ได้หากไม่ได้รับอนุญาต
ที่นี่เต็มไปด้วยความสงบเงียบแตกต่างไปจากเมืองที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย
มู่ชิงเกอเพิ่งจะเดินมาถึงบันไดหน้าประตูใหญ่ก็ถูกผู้คุ้มกันเทพขวางเอาไว้ ผู้คุ้มกันเทพที่เฝ้าอยู่หน้าประตูใช้อาวุธยาวในมือไขว้กันขวางทางเข้าไป
“ผู้มาเป็นใคร!”หนึ่งคนในนั้นพูดอย่างดุดัน
มู่ชิงเกอมองแวบหนึ่งและก็เห็นระดับพลังของเขา ‘ใช้ระดับสีทองชั้นสองเฝ้าประตูหรือ ตำหนักเทพนี่ช่างฟุ้งเฟ้อ อลังการจริงๆ!’
มู่ชิงเกอเอาเทียบเชิญที่ถูกส่งไปถึงที่พักเมื่อวานออกมาให้ทั้งสองคนดู
เมื่อมองเห็นสัญลักษณ์ของตำหนักเทพแล้ว ผู้คุ้มกันเทพทั้งสองคนถึงได้เก็บอาวุธของตนเอง
หนึ่งในนั้นรับเทียบมาเปิดตรวจดูอย่างละเอียดและเมื่อเห็นชื่อของมู่ชิงเกอเขียนอยู่บนนั้นแล้วทั้งสองคนก็อดแสดงสีหน้าตกใจไม่ได้
หลังจากปิดเทียบเชิญแล้ว ผู้คุ้มกันเทพก็เก็บท่าทีที่เคร่งขรึมกลับ พูดอย่างเกรงใจว่า “ที่แท้ก็เป็นเจ้าเมืองมู่”
เขายื่นเทียบเชิญคืนให้มู่ชิงเกอแล้วก็เปิดทางให้ครึ่งหนึ่ง เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “เจ้าเมืองมู่ เชิญ หลังจากเข้าไปแล้วก็ จะมีนกกางเขนจิตวิญญาณนำทางพาท่านไปพบท่านนักบวชเทวะ”
“ขอบคุณมาก” มู่ชิงเกอพยักหน้า ก้าวเท้าเข้าไปในตำหนักเทพ
เงาร่างของนางหายเข้าไปในหมอก หลังจากมองไม่เห็นนางแล้ว ผู้คุ้มกันเทพสองคนที่เฝ้าประตูถึงได้เริ่มพูดคุย กันเบาๆ
“พูดกันว่าเจ้าเมืองมู่ของลั่วซิงเฉิงงดงามล่มเมือง รูปโฉมไร้ผู้เทียมทาน วันนี้ได้เห็นช่างสมคำรํ่าลือจริงๆ”
“หากว่าวันนี้ข้าไม่ได้เข้าเวรแล้วได้พบกับนางในที่อื่น เกรงว่าคงจะห้ามใจไม่ให้คิดอะไรเหลวไหลไม่ได้”
“เหอะ เจ้าเมืองม่ผู้นี้ไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดา หากว่าเจ้าหวั่นใจแล้ว อาจจะไม่รู้ด้วยซํ้าว่าตัวเองตายได้อย่างไร”
“เหอะ เลิกพูดเถอะ หากว่าถูกใครได้ยินเข้า เจ้าและข้าสองคนอาจจะถูกลงโทษได้”
มู่ชิงเกอเดินออกมาจากหมอกก็ได้ยินเสียงนกกางเขนร้อง นางเงยหน้าขึ้นก็เห็นนกกางเขนจิตวิญญาณสีทอง บินเข้ามาหาตนเอง
นกกางเขนจิตวิญญาณใหญ่เพียงแค่หนึ่งฝ่ามือ สีทองตลอดตัว เปล่งแสงวาววาบ ดวงตาสดใสคู่นั้นดูเฉลียวฉลาดเข้าใจมนุษย์
มันเข้าไปหามู่ชิงเกอ บินวนรอบหัวของนาง ดูเหมือนว่ากำลังส่งสัญญาณให้นางตามมันไป
เจ้าตัวเล็กที่เต็มไปด้วยความกระตือรือร้นตัวนี้ทำให้มู่ชิงเกอเผยรอยยิ้มออกมา “รบกวนนกกางเขนจิตวิญญาณนำทางด้วย”
เมื่อนางพูดจบนกกางเขนจิตวิญญาณก็เหมือนจะเข้าใจ ส่งเสียงร้องเบาๆ สองคำแล้วก็ขยับปีกบินออกไป
มู่ชิงเกอก้าวเท้าตามไปด้านหลัง
ความเร็วของนกกางเขนจิตวิญญาณไม่เร็วมาก ดูเหมือนมันจะจงใจให้ความเร็วเท่ากันกับความเร็วของมู่ชิงเกอ หากว่ามู่ชิงเกอเดินเร็ว มันก็จะบินเร็วหน่อย หากว่าเดินช้า มันก็จะบินช้าลงหน่อยเช่นกัน
บางครั้งนกกางเขนจิตวิญญาณตัวเล็กก็จะหันกลับมามองมู่ชิงเกอแล้วก็ส่งเสียง จิ๊บ จิ๊บ
ท่าทางที่ดูกระตือรือร้นนี้ทำให้มู่ชิงเกออดยิ้มไม่ได้
ในขณะเดียวกัน นางถอนหายใจในใจ ‘ใครจะคิดว่าบนสถานที่ที่เต็มไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ ในมุมลับกลับทำเรื่องเลวร้ายได้’
เรื่องอื่นนั้นนางไม่รู้
แต่ดูจากที่ตำหนักเทพส่งคนไปไล่ฆ่านางสามรอบ นางก็สามารถแน่ใจได้แล้วว่า ตำหนักเทพนี้ไม่ได้ดูศักดิ์สิทธิ์ และเห็นแก่ส่วนรวมอย่างที่คนภายนอกเห็น
นกกางเขนจิตวิญญาณนำทางอยู่ตรงหน้า
มู่ชิงเกอตามอยู่ด้านหลัง มองซ้ายมองขวาไม่หยุด พิจารณาบรรยากาศของตำหนักเทพ
ตำหนักเทพของเมืองเทียนคงภาคกลางนั้นไม่เหมือนกับที่อื่น ตำหนักเทพในภาคอื่นๆ มักจะเต็มไปด้วยผู้คน ดูใกล้ชิดกับประชาชน ส่วนที่นี่…
มู่ชิงเกอเดินไปสักพัก อย่าพูดถึงเจอคนธรรมดาเลย แม้แต่คนในตำหนักเทพก็พบเห็นได้น้อยมาก พบเจอเงาร่างเป็นบางครั้งและก็เดินผ่านอยู่ไกลๆ ตรงกลางมีเมฆ
หมอกขวาง มองเห็นไม่ชัดเจน
แต่ไม่รู้เพราะว่าชุดสีแดงบนตัวของนางนั้นโดดเด่นเกินไปหรือไม่ นางจึงสังเกตได้ว่าคนที่อยู่ไกลออกไปนั้นมองมาทางนาง
ผ่านกลุ่มอาคารกว้างใหญ่เข้าไป นกกางเขนจิตวิญญาณก็พานางไปถึงสะพานลอยวงกต ซึ่งไม่ได้มีทางเข้าทางออกเพียงทางเดียว หากไม่มีคนนำแล้ว อาจจะไม่รู้เลยว่าจะออกจากสะพานลอยที่เชื่อมกันบนทะเลสาบขนาดใหญ่นี้ได้อย่างไร
มู่ชิงเกอเดินบนสะพานลอย สะพานลอยนี้สร้างขึ้นจากศิลาวิญญาณทั้งหมด พลังจิตที่กระจายออกมาจากมัน ทำให้รู้สึกมีชีวิตชีวา
มู่ชิงเกอพึมพำในใจว่า ‘ตำหนักเทพสมกับเป็นตำหนักเทพจริงๆ คนอื่นๆ ต่างพากันซุกซ่อนศิลาวิญญาณ แต่นี่กลับเอามาใช้เป็นวัสดุก่อสร้าง’
ความหรูหราของตำหนักเทพ ทำให้นางรู้สึกคันยุบยิบในใจ อยากจะเอาสะพานลอยเหล่านี้ย้ายเข้าไปในช่องว่างของตนเองเสียเลย!
“จิ๊บๆ” นกกางเขนจิตวิญญาณส่งเสียงร้องเรียกมา ดูเหมือนจะเร่งนางให้เร็วหน่อย ไม่ต้องหยุดอยู่ที่นี่
มู่ชิงเกอหัวเราะอย่างกระดากใจ หยุดคิดแล้วเร่งความเร็วขึ้น
มู่ชิงเกอตามนกกางเขนจิตวิญญาณที่บินอยู่เหนือสะพานลอย ทันใดนั้นมู่ชิงเกอก็รู้สึกว่าตนเองเดินมาถึงใจกลางทะเลสาบ ส่วนด้านหน้าและด้านหลังล้วนแต่เป็นสะพานลอยที่ซับซ้อน นางมองไม่เห็นทางเข้าก่อนหน้านี้นานแล้ว
มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้น เดินต่อไป
สะพานลอยของตำหนักเทพนั้นเชื่อมระหว่างตำหนักเทพกับเกาะกลางทะเลสาบ คนที่จะไปเกาะกลางทะเลสาบพบนักบวชเทวะล้วนต้องผ่านสะพานลอยวงกตนี้ไป
ซีเซียนเสวี่ยค่อยๆ เดินมาจากอีกด้านหนึ่ง ด้านหลังของนางมีสาวใช้ตามมาด้วยสองคน
สองคนนี้หากมู่ชิงเกอเห็นแล้วก็ไม่ได้แปลกหน้า เป็นสาวใช้สองคนที่ติดตามซีเซียนเสวี่ยไปเมืองฝูซาภาคตะวันตกนั่นเอง
คนหนึ่งในนั้นยังเคยถูกมู่ชิงเกอหลอกมาก่อนด้วย
“ธิดาเทพ เหตุใดนักบวชเทวะถึงไม่ให้ท่านกลับตระกูลซี ให้ท่านอยู่แต่ในตำหนักเทพ?” อู่เอ๋อร์ถามอย่างแปลกใจ
คำถามของนางทำให้ลิ่วเอ๋อร์สนใจขึ้นมาด้วย มองไปยังซีเซียนเสวี่ย
ซีเซียนเสวี่ยหยุดฝีเท้าลงชั่วขณะ นัยน์ตาดูเหม่อลอย
หลายปีมานี้นางถูกกักบริเวณ ส่วนเพราะเหตุใดนั้นนางรู้ดี อาจารย์ของนางสัมผัสได้ว่านางมีความรัก ทั้งยังคิดว่านางชอบเว่ยมั่วลี่
เพื่อที่จะปกป้องมู่ชิงเกอ นางจึงได้แต่นิ่งเงียบยอมรับและปล่อยไป
แต่นางก็ลอบส่งข่าวให้เว่ยมั่วลี่และอีกฝ่ายก็ส่งข่าวมาหานางว่ายินดีร่วมมือด้วย
เรื่องนี้จึงถือว่าจบลงแล้ว
เดิมทีนางกับมู่ชิงเกอก็ไม่มีอนาคตด้วยกันอยู่แล้ว อยู่ฝึกปรือในภาคกลางก็ดี อย่างน้อยก็ทำให้นางสามารถสงบจิตใจฝึกปรือได้ เพียงแต่ครึ่งปีที่ผ่านมานี้ นางรู้สึกว่าอาจารย์ของตนเองแปลกขึ้นเรื่อยๆ
ความแปลกนี้คือความรู้สึกที่มีต่อนาง ทำให้ตอนที่อยู่ ามลำพังด้วยกันแล้วนางรู้สึกกลัวขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ
นางรู้สึกว่าสายตาที่อาจารย์มองตนเองนั้นเปลี่ยนเป็นดูน่ากลัว ดูเหมือนว่ามีอะไรบางอย่างจะหลุดออกมา
เมื่อนึกไปถึงสายตาของนักบวชเทวะแล้ว สองไหล่ของซีเซียนเสวี่ยก็สั่นขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
“ธิดาเทพ ท่านเป็นอะไรไป?” ลิ่วเอ๋อร์สังเกตเห็นท่าทีที่แปลกไปของซีเซียนเสวี่ยจึงเอ่ยถามออกมา
อู่เอ๋อร์ก็พูดอย่างเป็นห่วงว่า “รู้สึกหนาวหรือไม่? บ่าวจะกลับไปเอาผ้าคลุมไหล่มาให้”
“ไม่ต้อง” ซีเซียนเสวี่ยส่ายหน้า ห้ามไม่ให้อู่เอ๋อร์กลับไป
นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ สงบจิตใจ ยืดอกเอ่ยว่า “ไปเถอะ หลังจากพบอาจารย์แล้วค่อยกลับไปฝึกปรือ”
ภายในตำหนักเทพ ทุกๆ สามวันนางจะต้องไปพบอาจารย์ วันนี้ก็เป็นวันที่สามพอดี
คำพูดของนางทำให้อู่เอ๋อร์และลิ่วเอ๋อร์ไม่กล้าพูดอะไรมากอีก รีบเร่งฝีเท้าตามไปด้านหลังนาง
ด้านหน้าเป็นโค้ง ผ่านตรงนั้นไปแล้วเดินอีกพักหนึ่งก็จะเข้าไปในเกาะกลางทะเลสาบได้ แต่ในตอนที่นางหันกายเลี้ยวโค้งนั้นก็เกือบจะชนคนอีกคนที่มาจากอีกด้าน
กลิ่นอายตรงหน้าทำให้นางถอนเท้าที่ก้าวออกไปกลับมาเว้นระยะห่างเอาไว้
“เซียน…ที่แท้ก็เป็นธิดาเทพ” มู่ชิงเกอเห็นซีเซียนเสวี่ยก็รู้สึกประหลาดใจมาก ที่นางเกือบจะพูดออกไปก็คือ ‘เซียนเสวี่ย’ คำเรียกนี้นางเรียกอยู่ในสนามรบโบราณแห่งเทพมารจนคุ้นชินแล้ว เพียงแต่ยังพูดไม่จบนางก็นึกขึ้นได้ว่าที่นี่คือตำหนักเทพ รอบด้านมีหูตามากมาย หากว่าสนิทกับซีเซียนเสวี่ยเกินไปอาจจะสร้างความวุ่นวายให้ซีเซียนเสวี่ยได้ ดังนั้นนางจึงเปลี่ยนคำพูด
เสียงที่คุ้นเคยดังเข้ามาในหู
ซีเซียนเสวี่ยเงยหน้าขึ้นมาก็พบกับมู่ชิงเกอ ตอนนั้นเองนางก็ตกตะลึงชะงักอยู่ที่เดิม
นางไม่เคยเห็นมู่ชิงเกอในชุดผู้หญิงมาก่อน มาตอนนี้ได้พบเห็นอย่างกะทันหัน นางรู้สึกทำตัวไม่ถูก ความคิดถึงภายในใจหลั่งไหลเหมือนสายนํ้า
นางพยายามควบคุมความรู้สึกของตนเอง แต่กลับห้ามนิ้วมือในแขนเสื้อไม่ให้สั่นไม่ได้
ถึงแม้ท่าทางของซีเซียนเสวี่ยจะไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงมาก แต่ในดวงตากลับมีอารมณ์ปะปนกันอย่างซับซ้อน นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยายามสงบจิตใจของตนเอง เผยรอยยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เจ้าเมืองมู่ ท่านมาที่นี่ได้อย่างไร?”
นางรู้สึกกังวลว่าที่มู่ชิงเกอมาปรากฎตัวอยู่ที่นี่จะเกี่ยวข้องกับนาง อาจารย์ของนางดูอะไรออกแล้วงั้นหรือ
มู่ชิงเกอก็ยิ้มบางๆ “ข้าเพิ่งมาถึงภาคกลางเมื่อวันก่อน ได้รับคำเชิญจากนักบวชเทวะจึงมาพบในวันนี้”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” ซีเซียนเสวี่ยยังคงรักษารอยยิ้มที่มุมปาก มองไปดูมีมารยาทแต่แฝงด้วยความห่างเหิน หากคนอื่นมองก็จะรู้สึกว่าพวกนางไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ ต่อกัน
ซีเซียนเสวี่ยเงยหน้ามองนกกางเขนจิตวิญญาณที่นำทางอยู่ตรงหน้าของมู่ชิงเกอแล้วโบกมือ นกกางเขนจิตวิญญาณขยับปีกบินไปจากสายตาของมู่ชิงเกอ
นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแวววาววาบ ไม่พูดอะไร
ซีเซียนเสวี่ยอธิบายว่า “ข้าก็กำลังจะไปพบอาจารย์พอดี ให้ข้านำท่านไปเถอะ”
พูดแล้วนางก็หันไปพูดกับอู่เอ๋อร์และลิ่วเอ๋อร์ว่า “พวกเจ้าสองคนกลับไปก่อนเถอะ”
อู่เอ๋อร์และลิ่วเอ๋อร์สบตากันแวบหนึ่ง ย่อกายคำนับซีเซียนเสวี่ยแล้วถอยออกไป
จากนั้นก็เหลือเพียงแค่มู่ชิงเกอและซีเซียนเสวี่ยสองคน
เมื่อได้พบกันอีกครั้ง แม้จะเปลี่ยนเป็นชุดผู้หญิงแต่บรรยากาศกระดากใจระหว่างทั้งสองคนก็ยังอยู่ ส่วนมู่ชิงเกอกลับไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดซีเซียนเสวี่ยถึงจงใจให้คนข้างกายหลบไป
“เจ้าเมืองมู่ ไปเถอะ” ซีเซียนเสวี่ยเดินมาถึงข้างมู่ชิงเกอ เก็บความรู้สึกตื่นเต้นในดวงตาและสลายบรรยากาศกระดากใจระหว่างทั้งสองคน
มู่ชิงเกอพยักหน้าแล้วก็เดินเคียงบ่าเคียงไหล่ไปกับนาง
‘เหตุใดอาจารย์ของข้าถึงได้เรียกพบเจ้าอย่างกะทันหัน?’ ซีเซียนเสวี่ยถ่ายทอดเสียงไปหามู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้น รอบๆ ที่นี่ไม่มีคน มีเพียงพวกนางสองคน แต่ซีเซียนเสวี่ยก็ยังถ่ายทอดเสียงให้นาง ดูแล้วหูตาในตำหนักเทพ น่าจะซับซ้อนยิ่งกว่าที่นางคิดเอาไว้เสียอีก