ตอนที่ 512
ข้อเสนอของตระกูลจิง
คำพูดของซีเซียนเสวี่ยทำให้มู่ชิงเกอตกใจ นางประคองอีกฝ่ายขึ้นมาจากอ้อมอกของตนเองแล้วถามว่า “บอกข้ามาว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
ซีเซียนเสวี่ยเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาของนางเต็มไปด้วยหยาดนํ้าตา “อาจารย์ในตอนนี้หาใช่อาจารย์เมื่อก่อนอีกแล้ว”
เอ๋?
คำพูดนี้ของซีเซียนเสวี่ยทำให้มู่ชิงเกอแปลกใจมาก นางมองอีกฝ่ายแล้วเอ่ยถามว่า “เหตุใดเจ้าถึงพูดเช่นนี้เล่า”
ซีเซียนเสวี่ยได้รับการปลอบโยนจากมู่ชิงเกอ จึงสงบใจขึ้นแล้วพูดกับนางว่า “อาจารย์เมื่อก่อนนี้ใจดีมีเมตตา เป็นเหมือนบิดามารดาของข้า แต่ครึ่งปีมานี้ข้ากลับรู้สึกว่าสายตาที่อาจารย์มองข้านั้นแปลกไป ข้าก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไรแต่นั้นทำให้ข้ากลัวมาก”
คำพูดของซีเซียนเสวี่ย ทำให้นางนึกไปถึงฉากที่ทั้งสามคนอยู่ในเหตุการณ์ที่ตำหนักเทพวันนี้
สายตาที่นักบวชเทวะใช้มองซีเซียนเสวี่ยนั้นดูผิดปกติจริงๆ ความปรารถนาและต้องการ…
นัยน์ตาของมู่ชิงเกอหรี่เล็กลง นางเอ่ยถามเสียงเบาว่า “เขาเคยทำอะไรเจ้าหรือไม่?”
ซีเซียนเสวี่ยมองมู่ชิงเกออย่างมึนงง “อะไรที่เรียกว่าเคยทำอะไร?”
มุมปากของมู่ชิงเกอกระตุก พูดอย่างกระดากใจว่า “ก็คือเขาทำอะไรล่วงเกินเจ้าหรือไม่ ฉวยโอกาสแตะต้องเจ้าหรือไม่?”
คำพูดที่ชัดเจนเช่นนี้ทำให้ซีเซียนเสวี่ยหน้าแดงขึ้นมา นางส่ายหน้าแล้วเอ่ยว่า “เรื่องนี้ไม่มี แต่ว่าช่วงนี้เขาชอบคิดที่จะอยู่ฝึกปรือกับข้าเพียงลำพังตลอด หาข้ออ้างอยู่หลายครั้งแต่ก็ถูกข้าใช้เหตุผลปฏิเสธไปหมด”
พูดแล้วนางก็เอ่ยอย่างไม่อยากเชื่อว่า “เขาเป็นอาจารย์ของข้านะ! เหตุใดถึง…ถึง…” ประโยคต่อมานางไม่สามารถเอ่ยออกมาได้ แต่นางเชื่อว่ามู่ชิงเกอจะต้องเข้าใจ
มู่ชิงเกอส่ายหน้าพูดกับซีเซียนเสวี่ยว่า “มีคนบางคนก็ไม่ใช่อย่างที่เจ้าเห็น ไม่ใช่เมื่อครู่เจ้าถามข้าว่าอาจารย์ของเจ้าเรียกพบข้าด้วยเรื่องอะไรหรือ?”
ซีเซียนเสวี่ยพยักหน้า
มู่ชิงเกอยิ้มเยาะ “ที่เขาเรียกพบข้าก็เพราะคิดจะบีบให้ข้าส่งมอบหม้อปรุงยาของข้าออกไปก็เท่านั้น”
“อะไรนะ!” ซีเซียนเสวี่ยยืนขึ้นมาอย่างไม่อยากเชื่อ พึมพำว่า “จะเป็นไปได้อย่างไร?”
มู่ชิงเกอเลิกคิ้ว “ทำไมจะเป็นไปไม่ได้? หม้อปรุงยาของข้านั้นมีที่มา พูดกันว่าตำหนักเทพหามันมาโดยตลอด แต่ตอนนี้มันเป็นหม้อปรุงยาของข้า ข้าไม่สามารถละทิ้งมันเพื่อรักษาชีวิตได้ หลังจากที่งานชุมนุมใหญ่ของสำนักวิถีโอสถจบลง ตำหนักเทพก็ตามไล่ล่าสังหารข้ามาสามรอบแล้ว ครั้งที่สองเป็นการซุ่มโจมตีในแม่น้ำรั่ว แต่ก็โชคดีที่มีเว่ยมั่วลี่ จีเหยาฮั่ว อิ๋งเจ๋อ เหยาชิงไห่อยู่ร่วมรบกับข้า จนสุดท้ายถึงได้ฆ่าพวกนักฆ่าจนหมด”
“แต่…เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเป็นฝีมือของตำหนักเทพ?” ซีเซียนเสวี่ยตะลึงไป นางยากที่จะยอมรับได้จริงๆ ว่าสิ่งที่ตนเชื่อตนศรัทธามาตั้งแต่เด็กจะมีเบื้องหลังที่สกปรกเช่นนี้
มู่ชิงเกอมองนาง ยกมือขึ้นโบกตรงหน้านาง ภาพใบหน้าเสมือนจริงของคนคนหนึ่งปรากฎขึ้นตรงหน้าของซีเซียนเสวี่ย แต่เพียงพริบตาเดียวก็หายไป
“รู้จักเขาหรือไม่” มู่ชิงเกอเอ่ยถาม
เมื่อครู่นางใช้อาคมเล็กๆ ในเคล็ดวิชาเทวะส่วนกลาง แสดงใบหน้าของคนที่มาฆ่านางในครั้งแรกและทูตเทวะที่เป็นตัวแทนของตำหนักเทพในงานชุมนุมใหญ่ของ สำนักวิถีโอสถออกมา
ในเมื่อสามารถเป็นตัวแทนของตำหนักเทพได้ คิดว่าสถานะก็คงไม่ตํ่าต้อย ซีเซียนเสวี่ยน่าจะรู้จัก
ถึงแม้ภาพนี้จะปรากฎแค่เพียงพริบตาเดียว แต่ซีเซียนเสวี่ยก็มองเห็นได้อย่างชัดเจน ดวงตาอันงดงามของนางหดตัวลง พึมพำไม่หยุดว่า “เป็นไปได้อย่างไร…เป็นไปได้ อย่างไร…ทูตเทวะเซียว…”
ทูตเทวะเซียว?
มู่ชิงเกอรู้สึกขบขันในใจ ถึงตอนนี้นางถึงรู้ว่าคนที่มาไล่ฆ่านางในถํ้าจิ่วเฉวียนนั้นมีชื่อว่าอะไร
“นี่เป็นผู้นำของคนชุดแรกที่มาไล่ฆ่าข้า ส่วนคนที่มาไล่ฆ่าข้าในชุดที่สอง ยังไล่ฆ่าเว่ยมั่วลี่ไปพร้อมกันด้วย” มู่ชิงเกอพูดจบก็เลิกคิ้วมองซีเซียนเสวี่ย
ซีเซียนเสวี่ยฉลาดมาก นางเชื่อว่าตนเองพูดมาถึงตรงนี้ บวกกลับเหตุการณ์ที่นักบวชเทวะเชิญนางไปพบที่ตำหนักเทพในวันนี้ ผู้หญิงที่ฉลาดเฉลียวคนนี้น่าจะวิเคราะห์ความจริงออกมาได้
ซีเซียนเสวี่ยนั่งลงบนเก้าอี้อย่างไม่อยากเชื่อ
มู่ชิงเกอมองนางแล้วก็เสริมไปอีกหนึ่งประโยคว่า “ที่จริง ในตอนแรกที่เจ้าได้รับคำสั่งให้มาลอบฆ่าข้า ก็พิสูจน์แล้วว่าตำหนักเทพไม่ได้ใสละอาดอย่างที่แสดงออกมิใช่หรือ?”
เปรี๊ยะ
ในใจของซีเซียนเสวี่ยดูเหมือนว่ามีอะไรบางอย่างแตกลงตามคำพูดของมู่ชิงเกอ
นางถามตนเองว่า ‘ใช่แล้ว! ข้าลืมไปได้อย่างไร’
“เหล่านี้เป็นเพียงแค่การต่อสู้เพื่อผลประโยชน์เท่านั้น จุดยืนไม่เหมือนกัน ยากที่จะแบ่งดีแบ่งเลว เจ้าไม่จำเป็นต้องยุ่งเกี่ยว แต่เจ้าต้องระวังให้ดี อย่าให้อาจารย์คนนั้นของเจ้าเอาเปรียบได้” มู่ชิงเกอหยิบขวดเล็กๆ ออกมายื่นไปตรงหน้าของซีเซียนเสวี่ย
สายตาหลุดลอยของซีเซียนเสวี่ยค่อยๆ กลับมาหยุดลงที่ขวด
“นี่เป็นยาพิษไร้สีไร้กลิ่นที่ข้าปรุงออกมา หากว่าพบเจอสถานการณ์อันตรายเร่งด่วนก็ทำให้มันแตก พิษที่กระจายออกมาสามารถทำให้คนเป็นอัมพาตโดยไม่สนระดับพลัง” มู่ชิงเกอแนะนำ
ซีเซียนเสวี่ยอ้าปากค้างมองดูนาง ดูเหมือนจะถูกผลลัพธ์ของยาพิษทำให้ตื่นตะลึงไป
มู่ชิงเกอหัวเราะ “เจ้าไม่ต้องตกตะลึงขนาดนั้นก็ได้ มันไม่ได้ร้ายกาจมากมายอย่างที่เจ้าคิด นี่เป็นยาพิษจิตวิญญาณชนิดหนึ่ง มีความสามารถเหมือนกันกับตัวประหลาดตัวเล็กที่พวกเราพบในสนามรบโบราณแห่งเทพมาร ผลลัพธ์ส่งผลต่อจิตวิญญาณไม่ใช่ร่างกาย อีกอย่างมันสามารถทำให้เป็นอัมพาตไปชั่วระยะหนึ่งเท่านั้น ดังนั้นเมื่อเจ้าใช้แล้วจะคุ้มครองตัวได้เพียงชั่วระยะหนึ่ง เจ้าต้องรีบหาวิธีหนีไป”
ซีเซียนเสวี่ยยื่นมือออกมารับขวดยาไปจากมือของมู่ชิงเกอมาถือไว้ในมือ
มู่ชิงเกอเอ่ยว่า “นี่ไว้ใช้สำหรับเจ้าป้องกันตัวเอง ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ได้ใช้มัน’’
“ขอบคุณมาก” ซีเชียนเสวียมองนางแล้วพูดออกมา
มู่ชิงเกอส่ายหน้า “ระหว่างข้ากับเจ้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้”
นางยืนขึ้นมาแล้วเดินไปข้างเตียง มองไปบนสีท้องฟ้าที่มืดมิดยามคํ่าคืนในเมืองเทียนคง แล้วเอ่ยกับซีเซียนเสวี่ยว่า “ก่อนเข้าไปในสุสานเทพไม่กี่วันนี้ ทางที่ดีเจ้าหาข้ออ้างกลับไปตระกูลซีเถอะ”
ซีเซียนเสวี่ยพยักหน้า “อืม พรุ่งนี้ข้าจะไปพูดว่าข้าจะกลับไปตระกูลซีสักครั้ง”
มู่ชิงเกอหันกลับมา ใช้ดวงตาอันสดใสมองดูนาง “หากว่ามีเรื่องอะไรก็สามารถมาหาข้าได้ตลอดเวลา”
ซีเซียนเสวี่ยยืนขึ้นพูดว่า “เจ้าก็ต้องระวังตัวด้วย เรื่องที่เขาตัดสินใจแล้วยากที่จะเปลี่ยนแปลง เกรงว่าเขาจะทำอะไรไม่ดีต่อเจ้า”
มู่ชิงเกอพยักหน้า “วางใจเถอะข้ามีแผนอยู่ในใจ”
ซีเซียนเสวี่ยค่อยๆ เดินเข้ามาหานาง กัดฟันเอ่ยถามว่า “ข้าได้ยินมาว่าเจ้ามีคู่หมั้นแล้ว”
มู่ชิงเกอชะงัก ยิ้มเล็กน้อย พยักหน้ายอมรับ
ความตรงไปตรงมาของนางทำให้ซีเซียนเสวี่ยรู้สึกขมขื่นในใจและก็โล่งใจ นางถามว่า “เขาดีต่อเจ้าหรือไม่”
แต่ไม่รอให้มู่ชิงเกอตอบ นางก็หลุดหัวเราะแล้วพูดว่า “คำถามของข้าออกจะแปลกไปหน่อย หากว่าไม่ดีแล้วเจ้าจะยอมรับเขาได้อย่างไร”
ท่าทีที่ดูโศกเศร้าของซีเซียนเสวี่ยทำให้มู่ชิงเกอไม่รู้จะพูดอะไรดี
ครู่หนึ่งซีเซียนเสวี่ยถึงได้เก็บทำทีโศกเศร้ากลับ ยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าสบายดีข้าก็วางใจ หลังจากเข้าไปในสุสานเทพแล้ว พวกเจ้าก็รอข้าที่ประตูสุสานอันที่สอง ข้าจะรีบไปรวมตัวกับพวกเจ้า”
“ดี” มู่ชิงเกอพยักหน้า
ซีเซียนเสวี่ยไม่ได้อยู่นาน ลอบออกจากห้องของมู่ชิงเกอ ก่อนจะไปนางก็เก็บยาพิษที่มู่ชิงเกอให้นางไว้ป้องกันตัวลงในถุงซวีหมีอย่างระมัดระวัง
หลังจากส่งซีเซียนเสวี่ยไปแล้ว มู่ชิงเกอก็นอนไม่หลับทั้งคืน
นางเป็นห่วงความปลอดภัยของคนในครอบครัวที่หลินชวน หวังว่ากู่หยาและกู่เย่สองคนจะไปถึงเร็วพอ
พวกเขาสองคนไม่จำเป็นต้องใช้ประตูมิติ สามารถฉีกช่องว่างไปถึงลั่วซิงเฉิงได้เลย หลังจากรวบรวมคนแล้วก็กลับไปยังหลินชวนได้เลย
แน่นอนว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่ใครก็ทำได้
แต่เป็นเพราะพวกเขาทั้งสองคนนั้นมีรากวิญญาณช่องว่าง อีกทั้งรากวิญญาณของพวกเขานั้นแตกต่างออกไป ไม่ใช่การเก็บสะสม แต่เป็นการทะลุมิติ และนี่ก็เป็นเหตุผลว่าเหตุใดซือมั่วถึงให้พวกเขาติดตามข้างกายตลอด
หากว่ามีเรื่องอะไรสั่งให้พวกเขาทำ พวกเขาก็สามารถทำได้รวดเร็วที่สุด!
จนถึงวันรุ่งขึ้น มู่ชิงเกอถึงได้รับข่าวจากกู่หยาบอกนางว่าพวกเขาได้ไปถึงหลินชวนแล้ว มู่ชิงเกอถึงได้สบายใจลงได้
และในขณะที่นางกำลังคิดจะนอนเพื่อพักผ่อนสายตานั้น คนของตระกูลจิงก็มาถึง
ครั้งนี้คนที่มานอกจากจิงฟ่งอวี่แล้วยังมีผู้อาวุโสตระกูลจิงมาด้วยอีกคน
“ท่านนี้คงจะเป็นเจ้าเมืองมู่! ได้ยินชื่อเสียงมานาน!” ผู้อาวุโสตะกูลจิงถึงจะอายุมากและมีตำแหน่งสูงแต่ก็ยังดูเป็นมิตร
เมื่อมองเห็นมู่ชิงเกอแวบแรก ก็ไม่ได้ถือว่านางเป็นรุ่นหลังและแสดงตัวว่าสูงส่ง แต่เอ่ยทักทายอย่างเท่าเทียมกัน
คนแก่ที่ไม่ใช้อายุมาข่มขู่นั้นมู่ชิงเกอค่อนข้างพอใจ
ดังนั้นนางจึงเผยรอยยิ้มทักทายคนทั้งสองและให้ทั้งสองนั่งลง
เมื่อจิงฟ่งอวี่นั่งลงแล้วก็เอ่ยถามว่า “เหตุใดจึงไม่เห็นจิงไห่?”
ความร้อนใจของเขานั้น มู่ชิงเกอไม่ได้รู้สึกอะไร แต่ผู้อาวุโสตระกูลจิงคนนั้นกลับลอบถลึงตาใส่เขา ทำให้จิงฟ่งอวี่ต้องเงียบเสียงลงไป
“อีกครู่เขาก็จะมาถึง” มู่ชิงเกอยิ้มเอ่ยออกมา
ไม่นานจิงไห่ก็วิ่งเข้ามาพร้อมกับเหงื่อเต็มหัว หลังจากติดตามข้างกายมู่ชิงเกอแล้ว เขาก็ติดนิสัยฝึกซ้อมตอนเช้าทุกวัน
เมื่อเขาเข้ามาก็เดินไปตรงหน้าของมู่ชิงเกอแล้วยกชาขึ้นมา ใช้สองมือยกส่งไปที่ตรงหน้าของมู่ชิงเกออย่างเคารพ
หลังจากมู่ชิงเกอรับมาแล้ว ก็ชี้ไปที่ข้างกายของตนเองเอ่ยว่า “ยืนอยู่ตรงนี้เถอะ”
“ขอรับ” จิงไห่ไปยืนอยู่ในตำแหน่งที่มู่ชิงเกอชี้อย่างดีใจ ไม่ยอมพลาดไปแม้แต่ก้าวเดียว ท่าทียืดอกอย่างภาคภูมิใจของเขาทำให้มู่ชิงเกออดยิ้มออกมาไม่ได้
ผู้อาวุโสตระกูลจิงคนนั้นมองเห็นฉากนี้แล้วก็ขมวดคิ้วขึ้น ดวงตาฉายแววเคร่งเครียด
แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงมองไปยังจิงไห่นิ่ง ในตอนที่เขามองดูจิงไห่ชัดเจนนั้น ปฏิกิริยาก็เหมือนกับจิงฟ่งอวี่ เทียบกับจิงฟ่งอวี่แล้วบางทีเขาอาจจะดูตื่นตะลึงมากกว่าเสียอีก
เพียงแต่เขามีประสบการณ์มากจึงไม่ได้เสียมารยาท
หลังจากระงับความตกตะลึงในใจแล้ว ผู้อาวุโสตระกูลจิงก็พูดกับมู่ชิงเกออย่างจริงจังว่า “เจ้าเมืองมู่ ข้าจะพูดตามตรงเลยแล้วกัน เด็กคนนี้เป็นสายเลือดตระกูลจิงที่พลัดพรากอยู่ภายนอก ตอนนี้เมื่อตระกูลจิงของพวกเราพบเขาแล้วก็ควรจะให้เขากลับคืนสู่ตระกูล พวกเรารู้ดีว่าเด็กคนนี้ติดตามท่านมานานได้รับการสั่งสอนจากท่านจนมีความสามารถ ตระกูลจิงของพวกเราซาบซึ้งใจมาก ยินดีจะส่งสัตว์อสูรวิญญาณที่ฝึกเชื่องแล้วให้ลั่วซิงเฉิง ยี่สิบตัว ยังมีศิลาวิญญาณชั้นสูงหนึ่งหมื่นก้อน เพื่อแสดงความขอบคุณของพวกเรา”
มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขี้น
จิงไห่ก็ขมวดคิ้วเผยความไม่พอใจออกมา
“นี่เป็นข้อเสนอที่ตระกูลจิงของพวกท่านเตรียมมางั้นหรือ คิดจะซื้อตัวจิงไห่จากข้าไป? สำหรับพวกท่านแล้ว จิงไห่มีค่าเหมือนกันกับสัตว์อสูรวิญญาณอย่างนั้นหรือ’’ มู่ชิงเกอหรี่ตาลงหัวเราะอย่างขี้เล่นขึ้นมา
“ข้าจะไม่ไปจากครูฝึก!” จิงไห่ก็ตะโกนแสดงจุดยืนออกมา