ตอนที่ 516
เฮือก! กลุ่มๆ นี้
‘สติเฉียบคมอะไรเช่นนี้!’
ชายชราที่ดูภายนอกอ่อนแอเหลือประมาณยืนงกเงิ่นอยู่ข้างกายเด็กสาวหลุบตาลงอย่างตกตะลึง
เมื่อครู่เขาแค่มองไปยังเจ้าเมืองมู่ผู้นั้นแวบเดียว ทั้งยังใช้กลิ่นอายที่เบาบางมากจ้องมองนางก็ยังถูกจับสัมผัสได้
‘หากไม่ใช่ข้ามีปฏิกิริยารวดเร็ว เกรงว่าคง…’ ชายชราคิดในใจ
“ท่านปู่ ท่านกำลังคิดอะไรอยู่หรือ” เด็กสาวสนทนากับคนอื่นๆ เสร็จก็หันมาเห็นท่าทีครุ่นคิดของปู่ตนเข้าพอดี
ชายชราเลิกครุ่นคิด เงยหน้ามองนาง ยิ้มอย่างเอ็นดูเอ่ยว่า “ไม่มีอะไรหรอก”
เด็กสาวขานรับคำหนึ่งไม่ได้ซักไซ้ต่อ แต่กลับพุ่งไปยังข้างกายของชายชรา เอ่ยถามเสียงเบาว่า “ท่านปู ท่านว่าเจ้าเมืองม่ผู้นั้นจะร้ายกาจอย่างที่พวกเขาพูดกันหรือไม่”
ชายชราถอนหายใจ เอ่ยออกมาว่า “หากแค่คนสองคนพูดก็อาจจะเป็นเท็จได้ แต่หากทุกๆ คนล้วนแต่พูดเช่นนี้ เช่นนั้นก็เป็นจริงเกินครึ่ง”
“อา! นางร้ายกาจถึงขนาดนั้นจริงๆ น่ะหรือ?” หญิงสาวตกตะลึงใช้สองมือปิดปาก ท่าทางดูน่ารักมาก
แต่น่าเสียดายที่คนส่วนมากในที่นี่พากันมองไปยังตำแหน่งที่พวกมู่ชิงเกอห้าคนยืนอยู่ จึงไม่ได้ใส่ใจกับท่าทางเปี่ยมเสน่ห์นี้ของนาง
“ข้าอยากจะเข้าร่วมกับพวกเจ้า” เว่ยมั่วลี่เดินมาหยุดลงตรงหน้าของมู่ชิงเกอ ท่ามกลางเสียงพูดคุยและสายตาสงสัยใคร่รู้ของทุกคน เขาก็เอ่ยขึ้นด้วยนํ้าเสียงแน่วแน่ไม่ยอมให้ปฏิเสธ
เอ่อ…
นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแววประหลาดใจ พวกจีเหยาฮั่วสามคนก็ชะงักไป
เมื่อคนที่อยู่ใกล้ๆ ได้ยินคำพูดนี้ของเขาแล้วก็ยิ่งอ้าปากค้างกว่าเดิม
เกิดอะไรขึ้นน่ะ
เว่ยมั่วลี่ต้องการเข้าร่วมกับพวกเจ้าเมืองมู่หรือ!
มุมปากของมู่ชิงเกอกระตุก เอ่ยอย่างนุ่มนวลว่า “ทุกการเคลื่อนไหวของพวกเราต้องทำตามคำสั่ง”
“ได้” ใครจะรู้ว่าเว่ยมั่วลี่จะตอบอย่างเด็ดขาด คนอื่นๆ ยังไม่ทันมีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา เขาก็มองมู่ชิงเกอแล้วเอ่ยว่า “คำพูดของเจ้านั้นข้าจะทำตาม”
มู่ชิงเกอหัวเราะอย่างฝืดเฝือนในใจ ไม่รู้จะเอ่ยอย่างไรชั่วขณะ
ส่วนอีกสามคนก็มองมาที่นางอย่างมีเลศนัยพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
‘นี่ อะไรกัน!’ เมื่อมู่ชิงเกอถูกสายตาจากทั้งสามคนจับจ้องก็รู้สึกอยากจะร้องไห้ขึ้นมา ‘อย่ามาคิดโยงว่าระหว่างนางกับเว่ยมั่วลี่มีอะไรกันจะได้ไหม!’
“แค่ก แค่ก” มู่ชิงเกอไอออกมาเบาๆ ไม่ใส่ใจสายตาสนใจของทั้งสามคนเอ่ยกับเว่ยมั่วลี่ว่า “ไม่ใช่ว่าเจ้าชอบเดินทางไปไหนมาไหนคนเดียวงั้นหรือ”
เว่ยมั่วลี่เองก็ตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า “ข้าคิดว่าการเข้าไปในสุสานเทพกับกลุ่มพวกเจ้ามีประโยชน์มากกว่าการเข้าไปเพียงลำพัง”
“พี่เว่ย รู้จักพูดแบบนี้ก็แสดงว่าท่านเป็นคนฉลาดคนหนึ่ง!” จีเหยาฮั่วยักคิ้วยิ้มแล้วเอ่ยขึ้นมา
เว่ยมั่วลี่มองเขาอย่างเรียบเฉยแวบหนึ่งแล้วก็หันมามองมู่ชิงเกออีกครั้ง เอ่ยกับนางว่า “อีกอย่าง ภายในสุสานเทพก็อันตรายมาก ข้าจะได้คืนหนี้ที่ติดค้างเจ้าให้หมดเสียที”
“เจ้าติดค้างอะไรข้า” มู่ชิงเกอพูดอย่างหมดทางเลือก
ทำไมเจ้าบ้านี่ถึงได้ดื้อดึงขนาดนี้นะ! นางพูดไปไม่รู้กี่ครั้งแล้วว่าระหว่างพวกเขาไม่มีใครติดค้างใคร เหตุใดเขายังคงหัวแข็งอยู่อีก อยากจะติดค้างนางอยู่ได้!
“นั่นเป็นสิ่งที่เจ้าคิด” เว่ยมั่วลี่พูดอย่างแน่วแน่
จีเหยาฮั่วหันไปถ่ายทอดเสียงให้มู่ชิงเกอว่า ‘ชิงเกอ หากเว่ยมั่วลี่ยอมเข้าร่วมด้วย กำลังของพวกเราก็จะแข็งแกร่งมากขึ้น’
มู่ชิงเกอเหลือบมองไปยังเขา เข้าใจความหมายที่เขาพูด
ในใจของนางก็คิดเช่นเดียวกัน
ดังนั้นนางจึงมองเว่ยมั่วลี่แล้วพูดอย่างจริงจังว่า “ข้าไม่ต้องการให้เจ้ามาชดใช้อะไรให้ข้า ถ้าหากเป็นการร่วมมือกัน พวกข้าก็ยินดีต้อนรับ”
ในที่สุดมู่ชิงเกอก็พยักหน้า เว่ยมั่วลี่เองก็ไม่พูดอะไรอีก เดินตรงเข้าไปยืนในกลุ่มของพวกมู่ชิงเกอทันที
เมื่อทั้งห้าคนยืนอยู่ด้วยกันเช่นนี้ก็ทำให้เกิดการพูดคุยวิเคราะห์ขึ้นรอบด้าน
“เว่ยมั่วลี่ก็มาร่วมความคึกคักด้วย”
“เว่ยมั่วลี่ผู้นี้มักจะเดินทางเพียงลำพังตลอดมิใช่หรือ”
“แปลกมาก! ไม่เคยได้ยินว่าเว่ยมั่วลี่มีความสัมพันธ์อะไรกับสี่คนนี้ เหตุใดจึงมาอยู่ด้วยกันได้”
“พวกเราสนใจผิดประเด็นไปหรือไม่ ทั้งห้าคนนี้รวมตัวกันแล้วพวกเราจะทำอย่างไร เกรงว่านอกจากปีศาจเฒ่าที่น่าหวาดกลัวสำหรับพวกเขาแล้ว พวกเราเหล่านี้ก็คงได้แต่หลบหลีกให้ไกลแล้ว”
“เฮือก! จริงด้วย!”
ในที่สุดทุกคนก็ได้สติขึ้นมาจากภาพที่ห้าอันดับแรกของทำเนียบชิงอิงรวมตัวอยู่ด้วยกัน
ในที่สุดพวกเขาก็นึกขึ้นได้ว่าในการเข้าสู่สุสานเทพครั้งนี้ระหว่างพวกเขาจะมีสถานะเป็นศัตรูกัน หากพบเจอกันในสุสานเทพเล่าจะทำอย่างไร ดูแล้วคงทำได้แต่หลบหลีกไปให้ไกลกระมัง
เมื่อคิดได้เช่นนี้แล้ว ในใจของคนรุ่นเยาว์จำนวนไม่น้อยก็เกิดความขมขื่นขึ้นมา
ส่วนบรรดาปีศาจเฒ่าที่มาเพื่อสุสานเทพและปะปนอยู่ในกลุ่มคนกลับหัวเราะอย่างได้ใจ
เสียงแผ่วเบาที่ดังออกมาจากปากของเหล่าปีศาจเฒ่าไม่ได้ทำให้ใครตื่นตกใจ
“วีรบุรุษห้าอันดับแรกของทำเนียบชิงอิง ล้วนแต่เป็นคนที่มีพรสวรรค์และรากวิญญาณ…อย่างน้อยก็ต้องมีโอกาสมากกว่าคนธรรมดาอยู่แล้ว ชิ ชิ”
“คนที่แข็งแกร่งที่สุดในรุ่นเยาว์ยุคนี้ หากข้าเจอตัวละก็จะฉีกพวกเจ้าเป็นชิ้นๆ เชียว”
“น่าสนใจ น่าสนใจ การเข้าไปในสุสานเทพครั้งนี้คงไม่น่าเบื่อแล้ว”
“อันดับหนึ่งของทำเนียบชิงอิงนั้นเป็นสาวงามคนหนึ่ง หากสามารถจับมาเป็นสาวใช้ได้ก็คงจะทำให้คนอิจฉาตาร้อนเป็นแน่ ฮี่ ฮี่!”
ชั่วขณะนั้น แต่ละคนล้วนแต่คิดเรื่องของตนเอง
ภายในกลุ่มของภาคเหนือ สายตาของหายฉายไฉ่ก็มองไปยังตำแหน่งที่มู่ชิงเกออยู่ เมื่อมองเห็นนางถูกคนสี่คนล้อมรอบ ในใจก็เกิดความคิดสับสนวุ่นวายขึ้น
เขาเองก็เคยมีโอกาสและสิทธิ์ที่จะยืนปกป้องมู่ชิงเกอเช่นนั้น
แต่กลับเป็นตัวเขาเองที่ทำลายมันลงไป
แม้ตอนนี้เขาจะปล่อยวางแล้ว แต่กลับไม่มีสิทธิ์จะยืนอยู่ข้างกายนาง ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับนาง ดื่มเหล้าร้องเพลงกับนางอีก
ซีเซียนเสวี่ยเองก็มองไปทางที่พวกมู่ชิงเกอห้าคนยืนอยู่ แต่นางมองไปเพียงแวบเดียวก็ละสายตากลับ ราวกับว่าตรงนั้นไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับนาง
“ธิดาเทพ” ชายหนุ่มสวมชุดสัญลักษณ์ของตระกูลซีที่ยืนอยู่ด้านหลังของนางเอ่ยเบาๆ ด้วยความเคารพ
ซีเซียนเสวี่ยไม่ได้หันกลับไปมอง เพียงแต่เอ่ยอย่างเรียบสงบว่า “หลังจากเข้าไปในสุสานเทพแล้ว ให้เจ้านำกลุ่มระมัดระวังด้วย”
“ขอรับ ธิดาเทพ” ชายหนุ่มหลุบตาลงอย่างเคารพ แต่ก็ยังเอ่ยเตือนขึ้นมาอีกประโยคว่า “ธิดาเทพเดินทางเพียงลำพัง ขอให้รักษาตัวให้ดีด้วย หากพบเจอกับอันตราย ขอให้รีบส่งสัญญาณ พวกข้าจะรีบไปในทันที”
“ไม่จำเป็นต้องสนใจข้า” ซีเซียนเสวี่ยพูด ในใจของนางในตอนนี้อยากจะไปกับพวกเขา อยู่ข้างกายมู่ชิงเกอ ราวกับได้กลับไปเมื่อครั้งที่อยู่ในสนามรบโบราณแห่งเทพมารอีกครั้ง
ความรู้สึกไว้วางใจช่วยเหลือกันและร่วมทุกข์ร่วมสุขท่ามกลางอันตรายนั้น คนที่ไม่เคยผ่านมาก่อนนั้นยากที่จะเข้าใจ
บนท้องฟ้าเหนือหอคอยตำหนักเทพ น้ำวนสีม่วงดำขนาดใหญ่กดตํ่าลงมาเรื่อยๆ
สั่งที่ตามมากับการลดต่ำของมันก็คือลมพายุบนพื้นดินที่พัดจนเสื้อผ้าของทุกคนในลานปลิวไสว
เวลานี้เองนักบวชเทวะก็ปรากฎตัวต่อหน้าทุกคน
เขายังคงสวมชุดสีเงินสลักลวดลายสีทองดูศักดิสิทธิ์และสูงส่งเช่นเคย ผมสีเงินของเขาดูเหมือนเปล่งแสงของความศักดิ์สิทธิ์ออกมา
เพียงแค่เขาปรากฎตัว คนรอบด้านที่รอเข้าไปสู่สุสานเทพต่างพากันโค้งกายลงเอ่ยว่า “คำนับนักบวชเทวะ!”
ถึงแม้มู่ชิงเกอจะยืนอยู่ในกลุ่มคน แต่กลับไม่ได้ก้มคำนับเหมือนคนอื่น แค่ยืนมองด้วยสายตาเย็นชาอยู่ เงียบๆ เท่านั้น วันนี้เช้านางเพิ่งจะได้รับข่าวจากกู่หยาว่ามีนักฆ่าลอบเข้าไปในแคว้นฉิน แต่ในตอนที่ใกล้จะถึงตระกูลมู่นั้นก็ถูกพวกเขาฆ่าตายจนหมด
เดิมทีพวกเขาก็คิดจะเหลือคนเป็นเอาไว้เค้นถาม แต่เมื่อนักฆ่าเหล่านี้พบว่ามีการซุ่มโจมตี อีกทั้งพลังของคนที่มาซุ่มโจมตีก็แข็งแกร่งมาก จึงพากันกินยาพิษฆ่าตัวตายจนหมด
ในหลินชวนไม่มีใครกล้าลงมือกับตระกูลมู่ ส่วนในโลกแห่งยุคกลาง คนที่รู้จักที่มาของนางและมีโอกาสลงมือกับตระกูลมู่ก็มีเพียงแค่ตำหนักเทพเท่านั้น
ดังนั้นในใจของมู่ชิงเกอในตอนนี้จึงไม่มีความเคารพใดๆ ต่อตำหนักเทพหรือนักบวชเทวะเลย
น่าจะพูดว่า หากไม่ใช่เพราะการเข้าสู่สุสานเทพเป็นเรื่องสำคัญ เกรงว่าตอนนี้นางคงฉีกหน้าตำหนักเทพไปตรงๆ แล้วที่กล้าลงมือกับคนในครอบครัวนาง…
มู่ชิงเกอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ข่มความโกรธในใจลง
นางไม่กล้าคิดเลยว่าหากพวกกู่หยาไปช้ากว่านี้หน่อย หรือในตอนนั้นนางฟังความหมายในคำพูดของนักบวชเทวะไม่ออกว่าซ่อนไอสังหารไว้ แล้วตอนนี้จะเป็นสถานการณ์อย่างไร!
“เจ้าเป็นอะไรไป” เสียงของเหยาชิงไห่ดังเข้ามา
มู่ชิงเกอชะงักไป และพบว่าคนสี่คนข้างกายของนางล้วนแต่กำลังมองมาที่นาง ดูเหมือนเมื่อครู่ตนเองจะเผยไอสังหารออกไปโดยไม่ทันระวัง
นางเก็บไอสังหารกลับ ส่ายหน้ายิ้มออกมา “ไม่มีอะไร”
นางรู้สึกว่าเหมือนพวกเขาเองก็ไม่ได้เคารพนักบวชเทวะมากนัก
คิดไปถึงตอนอยู่ในแม่นํ้ารั่วที่พวกเขาเหล่านี้ยืนอยู่ข้างกายนางอย่างไม่สนใจสิ่งใด
ชั่วขณะนั้นนางก็หัวเราะขึ้นมาอย่างขี้เล่น คิดในใจว่า ‘ดูแล้วถึงจะพูดว่าตำหนักเทพนั้นยิ่งใหญ่ในโลกแห่งยุคกลาง แต่ก็ไม่ใช่ทุกๆ ตระกูลจะให้ความเคารพเป็นพิเศษ’
นางเชื่อว่าครั้งที่อยู่ในแม่นํ้ารั้วนั้น นอกจากเว่ยมั่วลี่ที่รู้รายละเอียดของเหล่านักฆ่าแล้ว คนอื่นๆ บางทีอาจจะไม่รู้ แต่ก็คงมีการคาดเดาอะไรได้บ้าง เหยาชิงไห่กลับไปสำนักวิถีโอสถ หลังจากบอกเรื่องนี้ให้เจ้าสำนักวิถีโอสถรู้แล้ว ก็คงจะรู้เรื่องชัดเจนแล้ว
มู่ชิงเกอมองไปรอบด้าน ก็พบว่าเหล่าปีศาจเฒ่าเองก็ไม่ได้ดูเคารพต่อนักบวชเทวะเลยสักนิด ทั้งยังมีบางคนที่เผยแววตาดูแคลนออกมาอีก
ทันใดนั้นนางก็รู้สึกว่าคนเหล่านี้เหมาะที่จะเป็นมารมากกว่า
แม้แต่ตัวนางเองก็รู้สึกว่ามาผิดที่ น่าจะไปสุสานมารถึงจะถูก นิสัยของนางกับเผ่าเทพที่นางได้สัมผัสนั้นช่างแตกต่างกันมากจริงๆ
“ทุกท่าน สุสานเทพเปิดแล้ว กฎของสุสานเทพ ทุกท่านล้วนรู้ดี เป็นหรือตายก็อาศัยความสามารถของตนเอง ที่นี่ไม่ใช่ลานฝึกฝน และก็ไม่ใช่การละเล่น หากว่าตอนนี้คิดจะถอนตัวก็เชิญจากไปได้” นักบวชเทวะพูดขึ้น
เสียงของเขาดังก้องออกไปรอบตำหนักเทพ ทุกคนได้ยินชัดเจนอย่างแน่นอน
ถอนตัวงั้นหรือ
มาถึงเวลานี้แล้ว ใครจะคิดถอนตัวอีก
ทุกคนมองกันไปมา ข้ามองเจ้า เจ้ามองข้า ล้วนแต่ไม่มีใครคิดจากไป
นักบวชเทวะรออยู่ครู่หนึ่งก็เผยรอยยิ้มที่ดูศักดิ์สิทธิ์ออกมา เอ่ยว่า “ดีมาก ดูแล้วพวกเจ้าเตรียมตัวมาดีแล้ว เช่นนั้นข้าก็หวังว่าพวกเจ้าจะหาสิ่งที่พวกเจ้าต้องการพบ และกลับมาอย่างปลอดภัย”
ท่าทางของเขาเต็มไปด้วยความเมตตา
แต่เมื่ออยู่ในสายตาของมู่ชิงเกอกลับเป็นแค่การแสดง
“เข้าไปเถอะ!” นักบวชเทวะตะโกนออกมาคำหนึ่ง ยกมือขึ้นสะบัดแขนเสื้อกว้าง ชั่วขณะนั้นกลางอากาศก็ปรากฎผงสีทองชั้นหนึ่งตกลงมาเหมือนกับฝนสีทอง
เมื่อฝนสีทองตกลงมา ทุกคนก็เงยหน้าขึ้นมองด้วยความรู้สึกประหลาดใจ
เมื่อผงสีทองเหล่านี้ตกลงบนตัวของพวกเขา บนร่างของทุกคนก็เกิดชั้นแสงสีทองโอบคลุมตัวพวกเขาเอาไว้
“อา!”
ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องอย่างตกใจตังเข้ามาดึงดูดความสนใจของคนอื่นๆ
ทุกคนมองคนที่ส่งเสียงร้องก็พบว่าเขาถูกแสงสีทองโอบล้อมพาออกไปนอกกลุ่มคน ร่างกายสูญเสียการควบคุม ลอยเข้าไปในนํ้าวนสีม่วงดำขนาดใหญ่อันนั้น
เขาเพิ่งจะไปถึงกลางอากาศ บนพื้นก็มีคนลอยขึ้นไปเรื่อยๆ พุ่งเข้าไปยังนํ้าวนเช่นเดียวกันกับเขา
ทันใดนั้นมู่ชิงเกอก็รู้สึกว่าร่างกายเบาขึ้น ทั้งตัวเหมือนถูกพลังอะไรบางอย่างดึงขึ้นลอยเข้าไปกลางอากาศ เมื่อมองไปยังคนข้างกายก็พบว่าเป็นเช่นเดียวกัน
คนที่ยืนอยู่บนพื้นพากันลอยตัวขึ้นมาเข้าไปยังปากทางเข้าสุสานเทพ
มู่ชิงเกอมองลงไปบนพื้นก็สบเข้ากับดวงตาของนักบวชเทวะ
พริบตานั้นดูเหมือนนางจะมองเห็นรอยยิ้มเยาะในดวงตาของนักบวชเทวะ ภายในความยิ้มเยาะนั้นยังแฝงไปด้วยการคุกคาม
คนนับพันที่มาสุสานเทพค่อยๆ ถูกโยนเข้าไปในนํ้าวนกลางอากาศ
นํ้าวนนี้ดูเหมือนปากขนาดใหญ่ที่ดูดกลืนทุกอย่างที่เข้าใกล้
เมื่อคนนอกตำหนักเทพลดน้อยลง นํ้าวนก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นภาพลวงตา ดูเหมือนจะหายไปได้ตลอดเวลา
ทันใดนั้นกลางอากาศก็เกิดเสียงดังขึ้น เสียงนั้นดังสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งห้าภาคในโลกแห่งยุคกลาง หลังจากเสียงดังขึ้นแล้วนํ้าวนก็หายไป ทุกอย่างกลับคืนสู่ความสงบ
นักบวชเทวะยังคงเงยหน้ายืนอยู่ที่เดิม มองไปยังตำแหน่งที่นํ้าวนหายไป
เวลานี้เองก็มีผู้คุ้มกันเทพเดินมาที่ด้านหลังเขา เอ่ยเสียงเบาว่า “นักบวชเทวะ พวกเขาเข้าไปหมดแล้ว หลังจากพวกเขาเข้าไปแล้วก็จะทำตามแผนการของท่าน”
นักบวชเทวะยิ้มออกมา พยักหน้าเล็กน้อย เอ่ยด้วยท่าทางที่ดูสูงส่งว่า “อืม สั่งสอนนางสักครั้ง ให้นางได้รู้ว่าแค่ประสบผลสำเร็จเพียงเล็กน้อยก็อย่าได้คิดมาต่อต้านตำหนักเทพ”
“เว่ยมั่วลี่ผู้นั้นก็ไปกับนางด้วย” ผู้คุ้มกันเทพเอ่ยหยั่งเชิง
เมื่อพูดถึงเว่ยมั่วลี่ นักบวชเทวะก็เผยท่าทีรังเกียจออกมาทันที “เป็นแค่เพียงพวกชั้นตํ่าก็คิดหวังในตัวธิดาเทพของตำหนักเทพ ฆ่าเขาซะ อย่าให้เขามีชีวิตออกมาจากสุสานเทพได้”
“ขอรับ นักบวชเทวะ!” ผู้คุ้มกันเทพโค้งกายถอยออกไป