ตอนที่ 517
นี่ก็คือสุสานเทพงั้นหรือ?
หลังจากแสงสีทองจางหายไปก็ปรากฏเงาร่างมากมายขึ้น
ตอนนี้พวกเขายืนอยู่ในที่รกร้าง รอบด้านดูสับสนวุ่นวาย บนแผ่นดินรกร้างสีเลือดขนาดใหญ่ มีสิ่งเดียวที่แตกต่างก็คือซุ้มประตูอันศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ไม่ไกล ซุ้มประตูอันนั้นสูงมาก คะเนจากสายตาแล้วน่าจะสูงประมาณร้อยจั้ง
เสาหินที่คํ้าซุ้มประตูก็ต้องใช้คนถึงสิบคนถึงจะโอบได้รอบ
บนยอดของซุ้มประตูมีป้ายแขวนอยู่ บนนั้นแกะสลักลวดลายสวยงามดูศักดิ์สิทธิ์
แต่คำว่า ‘สุสาน’ นั้นกลับแฝงไว้ด้วยกลิ่นอายแห่งความตาย ทำให้คนรู้สึกเยียบเย็น
‘นี่คือสุสานเทพงั้นหรือ?’ มู่ชิงเกอมองไปยังป้ายอันนั้น และมองบรรยากาศว่างเปล่ารอบด้านแล้วก็อุทานในใจ
“พวกเรามาถึงสุสานเทพแล้ว!”
“พวกเราเข้ามาแล้ว!”
“ไปสิ! ยังจะรออะไร!” ทันใดนั้นในบรรดากลุ่มคนที่กำลังตกตะลึงกับภาพตรงหน้าก็มีเสียงตะโกนดังขึ้นมา เสียงนี้ทำให้ทุกคนได้สติ พวกเขารีบพุ่งไปยังซุ้มประตูอันนั้นทันที
“พวกเราก็รีบไปเถอะ นี่เป็นประตูสุสานบานแรกของสุสานเทพ มีเวลาเปิดจำกัด หากพวกเราชักช้าเกรงว่า อาจจะถูกขวางไว้ที่นอกสุสานเทพ” เหยาชิงไห่เอ่ยเตือน
มู่ชิงเกอพยักหน้า มองคนอื่นๆ แล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “พวกเราไป”
เมื่อนางสั่งออกมา ทั้งห้าคนก็พุ่งไปยังประตูสุสานพร้อมกันกับกลุ่มคน ความเร็วของพวกเขาทั้งห้านั้นว่องไวมาก แซงหน้าคนด้านหน้าเข้าไปใกล้ประตูสุสานอย่างต่อเนื่อง
พริบตาเดียวมู่ชิงเกอก็ไปถึงด้านใต้ประตูสุสานแล้ว
นางไม่ได้ลดความเร็วลง แต่กลับพุ่งเข้าไปเลย ในตอนที่นางเข้าไปในประตูสุสานนั้นเอง นางก็รู้สึกในทันใดว่าร่างกายตนโดนพลังกดดันระลอกหนึ่งกระแทกเข้า
เหมือนนางได้พุ่งผ่านเกราะป้องกันโปร่งแสงชั้นหนึ่งเข้ามาด้านใน
หลังจากพุ่งออกมาจากเกราะป้องกันนั้นแล้ว นางก็สะดุดไปเล็กน้อย ยืนอยู่ด้านในมองไปยังด้านหลังอย่างสงสัย บริเวณด้านหลังของนาง จีเหยาฮั่ว อิ๋งเจ๋อ เหยาชิงไห่และเว่ยมั่วลี่สี่คนพุ่งออกมาตามลำดับแล้วมายืนอยู่ที่ด้านซ้ายและขวาของนาง
คนอื่นๆ ก็พุ่งเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
แต่แล้วนัยน์ตาของมู่ชิงเกอก็หดตัวลงเมื่อมองเห็นว่าด้านนอกประตูสุสานมีคนสิบกว่าคนถูกขวางเอาไว้และดีดกลับไป นางเม้มริมฝีปากแน่นขึ้นมา
“ให้พวกเราเข้าไป!”
“ให้พวกเราเข้าไป!”
“ให้พวกเราเข้าไปสิ!”
คนสิบกว่าคนที่ถูกกั้นเอาไว้ด้านนอกนั้นราวกับถูกพลังไร้รูปขวางเอาไว้ไม่สามารถเข้ามาในซุ้มประตูได้ทำได้เพียงพยายามทุบตีอยู่ด้านนอก
เพราะการทุบตีของพวก เขามู่ชิงเกอจึงสามารถมองเห็นว่าในบริเวณที่ว่างเปล่านั้นมีชั้นคลื่นกระเพื่อมออกไปรอบทิศทาง
“พวกเขาช้าเกินไป” อิ๋งเจ๋อพูดเบาๆ อยู่ด้านข้าง
ช้าเกินไปดังนั้นจึงไม่สามารถเข้ามาได้
ยังไม่ทันได้เริ่มต้นก็สูญเสียสิทธิ์ในการแย่งชิงสิทธิ์แห่งเทพแล้ว
“พวกเขาจะเป็นอย่างไร” มู่ชิงเกอไพล่สองมือไว้ด้านหลัง เอ่ยถาม
จีเหยาฮั่วหยักไหล่ “ก็ไม่เป็นอะไร แค่ไม่สามารถเข้ามา ได้ทำได้เพียงรออยู่ด้านนอกจนครบสามเดือนก็จะถูกสุสานเทพส่งออกไปเอง”
“นี่ก็ถือว่าไม่เลว อย่างน้อยก็ไม่ต้องเผชิญหน้ากับอันตรายต่างๆ ในสุสานเทพ รักษาชีวิตเอาไว้ได้” เหยาชิงไห่เอ่ย
อิ๋งเจ๋อกลับต่อคำพูดเสียงเข้มว่า “แต่พวกเขาก็สูญเสียสิทธิ์ในการได้สิทธิ์แห่งเทพไป’’
ทุกอย่างล้วนแต่มีสองด้าน จะดูอย่างไร จะเลือกอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคน มีบางทีเมื่อเผชิญหน้ากับความสิ้นหวัง แต่ใครจะรู้ว่านั่นอาจเป็นโอกาสรอดอย่างหนึ่งก็ได้
“พวกเราไปเถอะ” มู่ชิงเกอถอนสายตากลับ หันไปแล้วเอ่ยออกมา
คนที่ผ่านประตูสุสานบานแรกมาได้มุ่งหน้าไปส่วนลึกแล้ว ตอนนี้พวกเขาก็ต้องทำเช่นกัน
หลังจากเข้าไปในประตูสุสานบานแรกแล้ว สภาพแวดล้อมรอบด้านก็เปลี่ยนไป
ที่นี่กลายเป็นที่ว่างเปล่าขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยบรรยากาศที่อึมครึม นี่เป็นช่องว่างที่ถูกปิดผนึก เหนือศีรษะมีเมฆสีดำปกคลุมอย่างหนาแน่น บางครั้งก็มีแสงสว่างลอดออกมาบ้าง ไม่รู้ว่าเป็นแสงดาวหรืออะไรอื่น
รอบด้านมีผนัง มีเสาหิน พื้นก็ปูด้วยแผ่นหินที่เรียบและกว้างใหญ่
ด้านในสุดของห้องสุสานมีประตูขนาดใหญ่สิบสองบาน ประตูสิบสองบานนี้สูงมากจนส่วนยอดหายลับเข้าไปในชั้นเมฆ
เหนือประตูหินสลักรูปสัตว์อสูรเทวะแตกต่างกันไป สัตว์อสูรเทวะพวกนั้นล้วนมีท่าทางดุร้ายน่ากลัว
สัตว์อสูรเทวะทั้งสิบสองนั้นมีเผ่ามังกร เผ่าเฟิ่ง…มู่ชิงเกอยังเห็นว่าบนหนึ่งในประตูเหล่านั้นมีเงาร่างของโห่ว สัตว์อสูรเทวะทั้งสิบสองนี้มีบางตัวที่มู่ชิงเกอรู้จัก เช่น จิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง มีบางตัวนางก็ไม่รู้จัก
ทุกคนที่เข้ามาที่นี่ล้วนแต่หยุดลังเลอยู่ที่หน้าประตูขนาดใหญ่ทั้งสิบสอง
“นี่คือประตูเข้าสุสานบานที่สอง แสดงสิบสองพื้นที่ที่แตกต่างกันของสุสานเทพ ภายในทุกพื้นที่จะมีอะไรอยู่นั้นก็ต้องอาศัยโชคของตนเอง และภายในพื้นที่ทั้งสิบสองนี้ล้วนแต่มีสิทธิ์แห่งเทพอยู่ และบางทีเมื่อผ่านพื้นที่ไปก็จะเป็นดินแดนแห่งความตายในสุสานเทพ” เหยาชิงไห่แนะนำเบาๆ อยู่ข้างกายมู่ชิงเกอ
‘มิน่าซีเซียนเสวี่ยถึงพูดว่าจะมารวมตัวในประตูทางเข้าที่สอง!’ ตอนนี้มู่ชิงเกอถึงได้เข้าใจคำพูดในตอนนั้นของซีเซียนเสวี่ย
หากพวกเขาเข้าประตูที่แตกต่างกันก็อาจจะหากันพบได้ยาก
เมื่อเทียบความเข้าใจที่มีต่อสุสานเทพแล้ว มู่ชิงเกอไม่อาจสู้เหล่าศิษย์ตระกูลบรรพกาลได้ แม้เบื้องหลังของนางจะมีตระกูลซาง แต่ข้อมูลที่ตระกูลซางมีก็ไม่ละเอียดถึงขนาดนี้
เพราะตระกูลซางพลาดโอกาสที่สุสานเปิดไปถึงสามครั้งแล้ว
คนมาถึงที่นี่ล้วนแต่ลังเลว่าจะเลือกประตูไหนเข้าไปในสุสานเทพดี
พวกเขาไม่รีบร้อน พวกมู่ชิงเกอก็ไม่รีบร้อน
ดูเหมือนทุกๆ คนจะล้อมประตูสุสานทั้งสิบสองเอาไว้ ครุ่นคิดว่าจะเลือกทางไหนดี
เวลานี้เองก็มีคนเดินมาทางพวกมู่ชิงเกออย่างระมัดระวัง ในตอนที่นางหันกลับมา คนคนนั้นก็หยุดฝีเท้าในทันที ยืนอยู่ที่เดิมอย่างหวาดกลัว เขากุมมือโค้งกายแล้วพูดอย่างระมัดระวังว่า “ไม่…ไม่ทราบว่าพวกเจ้าเมืองมู่ คิดจะเข้าประตูไหนหรือ?”
มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้น รู้สึกขบขันขึ้นมา
นางหันมองไปกลับพบว่ามีคนจำนวนไม่น้อยกำลังตั้งใจฟังคำพูดของพวกเขาอยู่เงียบๆ จนทำให้สถานที่นี่เงียบลงมาก
มู่ชิงเกอรู้สึกขบขันในใจ ถามกลับว่า “เจ้าอยากจะเข้าประตูเดียวกับพวกเราหรือแตกต่างจากพวกเราเล่า”
ท่าทางของคนผู้นั้นฉายแววกระดากอายเล็กน้อย ยิ้มเอ่ยว่า “แน่…แน่นอนว่าอยากจะเข้าประตูที่แตกต่าง พวกเราด้อยความสามารถ ไหนเลยจะกล้าแย่งกับพวกท่าน” เมื่อพูดประโยคหลัง เสียงของเขาก็เบาลงมาก
คำพูดของเขานั้นตรงไปตรงมา
คนอื่นๆ โดยเฉพาะคนรุ่นเยาว์ส่วนมากก็มีความคิดเช่นเดียวกันกับเขา พวกเขากำลังรอคำตอบของมู่ชิงเกอ
แต่มู่ชิงเกอกลับหัวเราะขึ้นมาแล้วตอบว่า “ตอนนี้ยังไม่ ได้ตัดสินใจ”
เอ่อ…
คำตอบนี้ของนางทำให้คนอื่นๆ ชะงัก เผยท่าทีมึนงงออกมา คนที่เข้ามาถามคนนั้นก็ชะงักค้างอยู่กับที่ ไม่รู้จะทำอย่างไรดี
พวกเขาเหล่านี้ยังไม่ตัดสินใจ เช่นนั้นพวกเขาจะทำอย่างไรเล่า
ขณะที่คนจำนวนไม่น้อยกำลังลำบากใจอยู่นั้น ก็มีเสียงสบถอย่างเย็นชาและดูแคลนดังออกมา “ชิ กลุ่มคนขี้ขลาดก็คู่ควรที่จะเข้าสุสานเทพหรือ”
เสียงของเขาไม่ดังและไม่เบา เพียงพอที่จะให้ทุกคนได้ยิน
มู่ชิงเกอเงยหน้ามองออกไป กลับเห็นเพียงเงาหลังที่ไร้ความลังเลพุ่งเข้าไปในประตูบานที่สาม
เมื่อเขาเข้าไปแล้ว สัตว์อสูรเทวะที่สลักเหนือประตูก็เหมือนจะหลอมละลาย เกิดเป็นคลื่นกระเพื่อม เผยให้เห็นทางสำหรับหนึ่งคนเดินขึ้น
เขาพุ่งเข้าไปโดยไม่หันหน้ากลับมามองแล้วประตูหินบานนั้นกลับคืนสู่สภาพเดิม
เมื่อเขาเคลื่อนไหว ปีศาจเฒ่าคนอื่นๆ ก็ทนไม่ไหวเลือกประตูบานหนึ่งแล้วพุ่งเข้าไปทันที
แต่ก็ยังคงมีคนจำนวนไม่น้อยที่รอดู
มู่ชิงเกอสังเกตเห็นว่าอีกาทองสามเท้า เทียนหลัวจวินและหลินเสวียนเฟิ่งที่อิ๋งเจ๋อเคยพูดถึงล้วนแต่ยังอยู่ด้านนอก ท่าทางนั่งสมาธิฝึกปรือนั้นดูเหมือนจะกำลังรออยู่เช่นเดียวกัน
แต่ที่พวกเขารอไม่ใช่การเลือกของมู่ชิงเกอ แต่เป็นการเลือกของพวกเขาเองต่างหาก
คนที่เข้ามาถามคนนนั้นเก็บท่าทางกระดากอายกลับไป ยิ้มแล้วขอตัวลาจากไป เมื่อไม่สามารถสอบถามการเลือกของมู่ชิงเกอออกมาได้ก็ทำให้คนอื่นๆ รู้สึกผิดหวัง
มีบางคนที่ใจกล้าหน่อย กัดฟันเลือกประตูที่แตกต่างกัน แล้วกระโดดเข้าไป
มีบางคนที่กังวลใจถึงกำลังของพวกมู่ชิงเกอ จึงลังเลไปไม่ก้าวไปข้างหน้า ลอบมองมาทางพวกเขาห้าคนเป็นระยะๆ
เวลานี้เองก็มีคนเดินมาตรงที่พวกมู่ชิงเกออยู่อีกครั้ง
การเคลื่อนไหวของคนคนนี้กลับทำให้คนรุ่นเยาว์จำนวนไม่น้อยตกใจ
“ธิดาเทพซีก็เดินไปหาพวกเขาด้วย”
“หรือนางก็อยากจะไปถามเช่นกัน”
“เรื่องนี้..”
“นี่มันอะไรกัน ก่อนที่เจ้าเมืองม่จะปรากฎตัว ธิดาเทพซีนั้นอยู่ในตำแหน่งห้าอันดับแรกบนทำเนียบชิงอิง มาตอนนี้กลับถูกเบียดตกออกจากห้าอันดับแรก กลายเป็นอันดับหก บวกกับเมื่อมีข่าวว่าเจ้าเมืองมู่เป็นผู้หญิงถูกเล่าลือออกมา ก็มีคนจำนวนไม่น้อยเอาผู้หญิงสองคนนี้ มาเทียบกัน…”
“ผลลัพธ์เป็นอย่างไรหรือ”
“เจ้าว่าอย่างไรเล่า แน่นอนว่าเป็นธิดาเทพซีเทียบเจ้าเมืองมู่ไม่ได้น่ะสิ ข้าคิดว่าชื่อเสียงของธิดาเทพถูกแย่งไป ตอนนี้มาเผชิญหน้ากันอยู่ในสุสานเทพ เกรงว่าคงจะเกิดนองเลือดกันแล้ว!”
“นี่ไม่ใช่ว่ามีเรื่องสนุกให้ดูหรือธิดาเทพซีเป็นศิษย์รักของนักบวชเทวะ ในมือจะต้องมีไม้ตายอยู่ไม่น้อย มีนางถ่วงห้าคนนั้นเอาไว้ล้วนเป็นประโยชน์ต่อพวกเรา!”
ชั่วขณะนั้นสายตาสนใจและคาดหวังนับไม่ล้วนก็ตกลงมาบนร่างของซีเซียนเสวี่ย
ส่วนซีเซียนเสวี่ยก็ราวกับไม่ได้เห็นและไม่ได้ยินอะไร นางมองตรงและเดินมาทางพวกมู่ชิงเกอ ท่ามกลางความแปลกใจของเหยาชิงไห่ นางก็พยักหน้ากับคนอื่นๆ แล้วมองไปยังมู่ชิงเกอ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “พวกเราไปเถอะ”
อะไรนะ!
ในขณะที่ทุกคนกำลังตื่นเต้น ดิดว่าเรื่องสนุกๆ กำลังจะเริ่มต้นขึ้น คำพูดประโยคเดียวของซีเซียนเสวี่ยก็ทำให้ทุกคนตะลึงไป
ไม่ใช่ว่านางจะไปหาเรื่องงั้นหรือ
ไม่! นี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ! ที่สำคัญก็คือเหตุใดธิดาเทพถึงพูดประโยคนั้นออกมาได้
ท่ามกลางอาการตกตะลึงของผู้คน มู่ชิงเกอก็ยิ้มออกมา พยักหน้าเอ่ยกับซีเซียนสวี่ยว่า “ดี เจ้ามีข้อเสนออะไรดีๆ หรือไม่”
นางเชื่อว่าซีเซียนเสวี่ยที่อยู่ในตำหนักเทพมาหลายปีว่าจะต้องรู้ดีกว่าใครว่าประตูไหนดีที่สุด และซีเซียนเสวี่ยก็ไม่ทำให้พวกเขาผิดหวังนางยิ้มแล้วพยักหน้า เอ่ยกับพวกเขาว่า “ตามข้ามา”
นี่…นี่เป็นสถานการณ์อย่างไรกัน
บอกว่าไม่อาจอยู่ร่วม อิจฉาเคียดแค้นกันมิใช่หรือ?
ความเป็นมิตรเช่นนี้มีเพื่ออะไรกัน?
เจ้าเมืองมู่และธิดาเทพไม่ต้องสะกดกลั้นอารมณ์ของตัวเอง พยายามทำดีต่อกันต่อหน้าพวกข้าหรอก! พวกเจ้าต่อสู้กันสิพวกเราถึงจะดีใจ!
คนจำนวนนับไม่ถ้วนล้วนคาดหวังในใจ!
“รอเดี๋ยว พวกเจ้าอย่าบอกข้านะว่ากลุ่มของพวกเรายังมีธิดาเทพซีด้วย” ในที่สุดเหยาชิงไห่ก็เอ่ยคำถามแทนใจคนอื่นๆ ออกมา