Skip to content

พลิกปฐพี 518

ตอนที่ 518

ภูเขาค่ายกลในสุสาน

ความตกตะลึงของเหยาชิงไห่ ทำให้จีเหยาฮั่วอดหัวเราะไม่ได้ เขาเดินเข้าไปหาคนบางคนที่มีท่าทางมึนงงแล้วตบหนักๆ บนไหล่ของเขา “เหล่าเหยา ต้องขอโทษจริงๆ นะ ที่ปิดบังเจ้ามาเสียตั้งนาน”

เหยาชิงไห่ตะลึง

เขาอ้าปากค้างมองดูมู่ชิงเกอที่กำลังยิ้มอย่างขบขันและยังมีซีเซียนเสวี่ยที่มองมาที่เขาอย่างพิจารณาด้วยท่าทีทำอะไรไม่ถูก

อย่าว่าแต่เขาเลย คนอื่นๆ ที่คาดหวังจะให้มู่ชิงเกอและซีเซียนเสวี่ยต่อสู้กันก็มีสีหน้ามึนงง ไม่ใช่ว่ากันว่าผู้หญิงจะอิจฉาผู้หญิงที่โดดเด่นกว่าอย่างนั้นหรือ ไม่สามารถเป็นเพื่อนกันได้อย่างแน่นอนไม่ใช่หรือ

แต่ตอนนี้สิ่งที่เห็นนี่มันเรื่องอะไรกัน

ให้ตายเถอะ!

“เฮือก! หากว่าหกคนนี้รวมกลุ่มกัน ก็จะแสดงถึงกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดของผู้กล้ารุ่นเยาว์ในโลกแห่งยุคกลาง!”

ในที่สุดก็มีคนได้สติและตอบสนองกลับมา

ชั่วขณะนั้นก็มีสายตาอิจฉา ริษยา ร้อนใจลอยมาทางพวกมู่ชิงเกอไม่หยุด

สักพักเหยาชิงไห่ถึงได้สติกลับมา สายตาแข็งทื่อขยับไปที่ตัวของเว่ยมั่วลี่ เอ่ยถามด้วยนํ้าเสียงแหบแห้งว่า “เจ้าก็รู้หรือ”

เว่ยมั่วลี่มองตอบด้วยสายตาที่เรียบเฉยประมาณว่าเขาก็รู้

ในความเป็นจริง เว่ยมั่วลี่เองก็ไม่รู้น่าจะพูดว่าเขาไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้มากกว่า แต่เขากลับรู้ว่าในสนามรบโบราณแห่งเทพมารซีเซียนเสวี่ยกับพวกมู่ชิงเกอนั้นอยู่ด้วยกัน ตอนนี้มาเป็นกลุ่มเดียวกันอีกครั้งก็ไม่มีอะไรน่าแปลกใจ ดังนั้นถึงได้ดูเรียบเฉยเช่นนี้ทำให้เหยาชิงไห่เข้าใจผิดว่าเขารู้มานานแล้ว

เมื่อคิดว่าทุกคนล้วนแต่รู้มีเพียงเขาคนเดียวที่อยู่ในกะลา ในใจของเหยาชิงไห่ก็เกิดความรู้สึกขมขื่นขึ้นมา

ดีที่จีเหยาฮั่วเอ่ยได้ทันท่วงทีว่า “เหล่าเหยา ธิดาเทพรวมกลุ่มกับพวกเราก่อนเจ้าอีก ในตอนนั้นเจ้าไม่ได้ถาม พวกเราจึงไม่ได้พูด ถือเป็นการมอบความประหลาดใจให้แก่เจ้าก็แล้วกัน”

เหยาชิงไห่หันมองเขา แล้วก็มองพวกมู่ชิงเกอและอิ๋งเจ๋อ เห็นนัยน์ตาของพวกเขาล้วนแต่สดใส ก็ถอนหายใจแล้วก็ล้มเลิกความคิด

“พวกเราไปเถอะ” เมื่อความเข้าใจผิดถูกแก้ไขไปแล้ว ซีเซียนเสวี่ยจึงมองมู่ชิงเกอแล้วเอ่ยออกมา

มู่ชิงเกอพยักหน้าเดินไปข้างหน้ากับนาง ส่วนผู้ชายสี่คนก็เดินตามมาด้านหลังพวกนาง

บริเวณที่ทั้งหกคนเดินผ่าน คนรุ่นเยาว์ต่างพากันเปิดทางให้ ส่วนบรรดาปีศาจเฒ่าที่เก็บตัวมานานก็ยืนหรือนั่งอยู่กับที่และมองมายังพวกเขาทั้งหกคน

ภายใต้สายตาที่จ้องมองมาอย่างเปิดเผย มีบางสายตาแฝงความรู้สึกบางอย่างที่ทำให้คนรู้สึกไม่สบายใจ แสดงเจตนาชั่วร้าย มู่ชิงเกอขมวดคิ้วขึ้นและหันมองไป นัยน์ตาเต็มไปด้วยความเย็นยะเยือก

“ประตูนี้เถอะ” ซีเซียนเสวี่ยพาทุกคนมาที่ด้านหน้าประตูใหญ่บานหนึ่ง สัตว์อสูรเทวะตรงหน้าประตูดูแปลกประหลาดมาก ดูเหมือนเอาสัตว์อสูรเทวะหลายชนิดมา รวมเข้าด้วยกัน ไม่ใช่มังกรไม่ใช่เฟิ่ง ไม่ใช่เสือไม่ใช่เสือดาว ทั้งยังมีสามหาง

“สัตว์อสูรเทวะมีหัวเป็นมังกร มีตัวเป็นเสือดาว มีกรงเล็บเฟิงและมีหางเสือนี้ ถูกเรียกว่าหมิงโซ่ว ในบันทึกของเผ่าเทพระบุว่าใช้เฝ้าสุสาน” ซีเซียนเสวี่ยอธิบาย เสียงเบาข้างหูมู่ชิงเกอ

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอเปล่งประกาย เข้าใจว่าเหตุใดซีเซียนเสวี่ยถึงได้เลือกประตูบานนี้

ไม่ว่านักบวชเทวะจะคิดอย่างไรกับซีเซียนเสวี่ย แต่นางก็เป็นลูกศิษย์ของเขาและก็เป็นธิดาเทพของตำหนักเทพ หากมีข้อมูลที่มีประโยชน์บางอย่างก็จะต้องบอกมาแน่ เพื่อให้นางประหยัดเวลาไม่ต้องเดินอ้อม

“พวกเราเข้าไปก่อนเถอะ” ซีเซียนเสวี่ยเอ่ยเสียงเข้ม

แต่นางเพิ่งจะขยับ ข้อมือก็ถูกมู่ชิงเกอดึงเอาไว้ นางหันมามองนัยน์ตาฉายแววไม่เข้าใจ

มู่ชิงเกอเอ่ยว่า “ข้าเข้าไปก่อน”

พูดแล้วก็ไม่สนว่าซีเซียนเสวี่ยและคนอื่นๆ จะยินยอมหรือไม่ยกเท้าก้าวเข้าไปในประตูหิน

ประตูหินบานนั้นปรากฎนํ้าวนขึ้นทันที ดูดมู่ชิงเกอเข้าไปด้านใน

นางถูกดูดไปแล้ว ซีเซียนเสวี่ยก็รีบก้าวเท้าตามเข้าไปทันที ผู้หญิงสองคนล้วนแต่หายไปในประตู

จีเหยาฮั่วหัวเราะเอ่ยว่า “ดูสิ พวกเราเหล่าชายฉกรรจ์อยู่ที่นี่กลับให้ผู้หญิงสองคนไปสำรวจเส้นทาง ช่างน่าขายหน้ายิ่งนัก!”

พูดแล้วเขาก็กระโดดตามเข้าไปในประตูหิน

จากนั้นคนที่เหลืออีกสามคน อิ๋งเจ๋อ เหยาชิงไห่และเว่ยมั่วลี่ก็ตามการเข้าไปในประตูหิน หายไปจากที่เดิม

เมื่อพวกเขาเข้าไปแล้วคนอื่นๆ ที่เหลือก็รู้สึกมึนงง เวลานี้เองก็มีเงาร่างหลายสายตามพวกเขาเข้าไปในประตู

“เป็นเหล่าปีศาจเฒ่า!” มีคนจดจำสถานะของพวกเขาได้

ภายในกลุ่มคน มีคนพูดขึ้นในทันทีว่า “พวกปีศาจเฒ่าเหล่านั้นคงแน่ใจแล้วว่าหากตามธิดาเทพซีไปจะต้องได้ประโยชน์อย่างแน่นอนถึงได้เข้าไปในประตูบานนั้น”

คำเอ่ยนี้ทำให้คนจำนวนไม่น้อยเข้าใจขึ้นมา

มีบางคนที่ใจกล้ากัดฟันกระโดดตามพวกซีเซียนเสวี่ยเข้าไปในประตูหิน และก็มีบางพวกที่ไม่อยากจะไปเสี่ยง แย่งกับพวกเขา จึงเลือกประตูแตกต่างออกไป

คนด้านนอกประตูสุสานบานที่สองลดน้อยลงเรื่อยๆ ทุกคนล้วนเข้าไปในประตูสุสานที่แตกต่างกัน ไปถึงพื้นที่แตกต่างกันภายในสุสานเทพ

พวกเขาจะพบเจอกับอะไร และจะได้พบเจอกันอีกไหมนั้นก็ไม่มีใครรู้

ตรงหน้าของมู่ชิงเกอนั้นเป็นภูเขาแห่งหนึ่ง

ภูเขาแห่งนี้ขวางเส้นทางไป หากคิดจะเดินไปข้างหน้าต่อก็ทำได้แค่ต้องปีนข้ามภูเขาที่สูงจนยอดภูเขาถูกเมฆหมอกปกคลุมลูกนี้ไป

ข้างกายของนางมีซีเซียนเสวี่ย จีเหยาฮั่ว เหยาชิงไห่ อิ๋งเจ๋อและเว่ยมั่วลี่ พวกเขาผ่านประตูสุสานบานที่สองออกมาก็มองเห็นกับภาพบรรยากาศตรงหน้า

ด้านหลังของพวกเขามีคนออกมาอย่างต่อเนื่อง เมื่อมองเห็นภูเขาที่ขวางทางอยู่ก็ล้วนแต่ชะงักไป

“ฮ่าๆๆๆๆๆ! ข้าก็ว่าแล้วว่าสุสานเทพจะเข้ามาง่ายๆ ได้อย่างไร! ถึงกับใช้ภูเขาค่ายกลขวางทาง คิดว่าทำเช่นนี้แล้วจะขวางข้าได้อย่างนั้นหรือ” เสียงที่บ้าคลั่งสายหนึ่งดังมาจากด้านหลัง

“ภูเขาค่ายกล?” มู่ชิงเกอได้ยินประโยคนี้แล้วนัยน์ตาก็ฉายแวววาววาบ

จากนั้นนางก็รู้สึกว่ามีลมพัดขึ้นที่ข้างกาย เมื่อนางหันมองไปก็เห็นเงาร่างคนสายหนึ่ง พุ่งเข้าไปในภูเขาตรงหน้า เงาร่างหายไปอย่างไร้ร่องรอย

เมื่อมีผู้นำแล้วคนที่ตามเข้ามาก็กระตือรือร้นขึ้น มีคนที่มีความสามารถและใจกล้าจำนวนไม่น้อยทยอยเข้าไปในภูเขาค่ายกล

“ชิงเกอ พวกเรายังไม่ไปอีกหรือ” คนที่เข้าไปในภูเขามากขึ้นเรื่อยๆ จีเหยาฮั่วอดถามออกไปอย่างร้อนใจไม่ได้

มู่ชิงเกอค่อยๆ ส่ายหน้า ดวงตาสดใสคู่นั้นมองดูรูปลักษณ์ที่ดูคล้ายกับภูเขาด้านนอกแล้วครุ่นคิด

“ชิงเกอ เจ้ากำลังคิดอะไร” ซีเซียนเสวี่ยเอ่ยถาม

“เมื่อครู่คนคนนั้นพูดว่าภูเขาค่ายกล” เหยาชิงไห่ก็สนใจประโยคนี้

“ภูเขาค่ายกล…” ซีเซียนเสวี่ยพึมพำออกมาแล้วเอ่ยว่า “อาจารย์ของข้าเคยพูดถึงว่าที่นี่มีภูเขาค่ายกลขวางทาง หากคิดที่จะผ่านไปก็ต้องอาศัยโชคและโอกาส”

“โชคและโอกาส?” จีเหยาฮั่วเอ่ย “อะไรคือโชคและโอกาส? พวกเรามาแย่งสิทธิ์แห่งเทพ คงไม่ถูกขังอยู่ที่นี่อย่างไร้เหตุผลกระมัง”

มู่ชิงเกอโค้งริมฝีปากยิ้มขึ้นมา “หากไม่คิดที่จะอาศัยโชคและโอกาสผ่านไปก็เหลือแค่เพียงทางเดียว”

“ทางอะไรหรือ”

“ทางอะไร!”

ไม่กี่คนนี้เอ่ยถามพร้อมกัน

“ทำลายค่ายกล” มู่ชิงเกอเผยรอยยิ้มมั่นใจออกมา

“ทำลายค่ายกล!”

ทั้งห้าคนพูดพร้อมกัน

จากนั้นภายในคนทั้งห้าคน นอกจากเว่ยมั่วลี่ที่รักษาใบหน้าที่สงบนิ่งเอาไว้ได้แล้ว คนอื่นๆ ที่เหลือก็เผยท่าทางที่ดูแปลกประหลาดออกมา

มู่ชิงเกอพยักหน้า

จีเหยาฮั่วไอเบาๆ ออกมาคำหนึ่ง “ชิงเกอ พวกเรารู้ว่าเจ้ารู้จักวิชาอาคม แต่ค่ายกลเหล่านี้เป็นของสุสานเทพ ลงอาคมไว้เพื่อหยุดยั้งทุกคนให้อยู่ที่นี่ เกรงว่าอาจจะทำลายได้ยาก!”

“ทำลายได้ยากจริงๆ” มู่ชิงเกอเห็นด้วยกับคำพูดของเขา

“เช่นนั้นเจ้าก็ยัง…” จีเหยาฮั่วตกใจ

มู่ชิงเกอมองไปยังภูเขาค่ายกล เผยความมั่นใจออกมา หากเป็นก่อนที่นางจะเข้าใจวิถีบางทีนางอาจจะไม่มีความมั่นใจขนาดนี้ แต่หลังจากนางเข้าใจวิถีแล้วนางก็เข้าใจหลักการหนึ่ง นั้นก็คือหมื่นวิถีไม่หนีวิถีเดิม เมื่อมองแก่นแท้ได้ชัดเจนไม่ว่าจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรก็

ไร้ประโยชน์

นี่เป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การฝึกฝนปฏิบัติมากที่สุด หากสามารถคลายอาคมในภูเขาค่ายกลนี้ได้ เช่นนั้นวิชาค่ายกลของนางก็จะพัฒนามากยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน

คนที่ไม่รู้จักอาคม หากต้องการผ่านที่นี่ก็คือต้องเข้าใจวิถี

“อ๊าก!” ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องโหยหวนดังออกมาจากภูเขาค่ายกล

เสียงร้องนี้ตัดบทพูดของพวกมู่ชิงเกอและหยุดไม่ให้คนอื่นๆ พุ่งเข้าไปในภูเขาค่ายกลต่อ

เพราะเสียงโหยหวนนี้ทำให้คนที่ยังไม่เข้าไปในภูเขาค่ายกลหยุดเท้าลง มองไปที่ภูเขาค่ายกลด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว ดูเหมือนพริบตานั้นทุกๆ คนจะมองเห็นหมอกเลือดระเบิดอยู่บนภูเขาค่ายกลแล้วก็กระจายหายไป

“ตาย…ตายแล้ว…” มีคนเอ่ยขึ้นด้วยนํ้าเสียงสั่นสะท้าน มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว พูดเสียงเข้มว่า “ดูแล้วคงมีคนหลงเข้าไปในอาคม จึงถูกอาคมสังหาร”

คำพูดของนางทำให้สีหน้าของคนเหล่านั้นเปลี่ยนไป

คนที่เพิ่งเข้ามาในสุสานเทพ ยังไม่ทันได้สัมผัสสุสานของเผ่าเทพก็มีคนตายเสียแล้ว สิ่งนี้ทำให้หัวใจของคนจำนวนไม่น้อยหนักอึ้ง ไม่ได้ตื่นเต้นดังแต่ก่อน

“ดูแล้วภูเขาค่ายกลไม่เพียงแต่กักขังคนเอาไว้เท่านั้น” เหยาชิงไห่เอ่ย

กลับเป็นซีเซียนเสวี่ยที่เข้าใจทุกอย่างชัดเจน “ในเมื่อภูเขาค่ายกลวางไว้ด้านหน้าสุสาน เช่นนั้นก็หมายความว่าเอาไว้ใช้ขัดขวางคนนอกไม่ให้เข้าไป แน่นอนว่าต้องสามารถฆ่าคนได้”

“หากมองเช่นนี้แล้วพวกเราทำลายค่ายกล ถึงแม้จะช้าไปหน่อยแต่ก็ปลอดภัยกว่า หากว่าอาศัยโชคและโอกาสผ่านไปก็จะยิ่งอันตรายมากขึ้น” จีเหยาฮั่ววิเคราะห์ พวกเขามีเวลาเพียงแค่สามเดือน แน่นอนว่าไม่สามารถเสียเวลาอยู่ที่ภูเขาค่ายกลนานเกินไปได้

มู่ชิงเกอเสนอทำลายค่ายกล ส่วนจำเป็นต้องใช้เวลาเท่าไหร่ถึงจะสามารถทำลายค่ายกลนี้ได้นั้น จุดนี้เกรงว่าแม้แต่ตัวมู่ชิงเกอเองก็ไม่มีคำตอบ

แต่ตอนนี้ดูแล้ว การบุกเข้าไปและการทำลาย การทำลายค่ายกลนั้นมีความปลอดภัยมากกว่า

หากถูกระเบิดกลายเป็นหมอกเลือดเหมือนอย่างคนก่อนหน้านี้แล้วยังจะพูดถึงการแย่งสิทธิ์แห่งเทพอะไรอีก

“ตำหนักเทพเคยพูดไหมว่าหลังจากภูเขาค่ายกลแล้วยังมีอีกกี่ด่านถึงจะไปถึงสุสาน” ทันใดนั้นอิ๋งเจ๋อก็มองไปยังซีเซียนเสวี่ยแล้วเอ่ยถาม

ปัญหานี้สำคัญมาก

เพราะเกี่ยวพันถึงเวลาที่เหลืออยู่

แม้แต่มู่ชิงเกอก็มองมาที่ซีเซียนเสวี่ย ฝ่ายหลังส่ายหน้า เอ่ยตอบว่า “หลังประตูบานนี้ก็คือภูเขาค่ายกล เมื่อผ่านภูเขาค่ายกลไปก็จะถึงสุสาน เป็นเส้นทางที่ใกล้สุสานมากที่สุดในบรรดาประตูทั้งสิบสองบาน”

แต่นั้นก็หมายความว่ามีแค่เพียงอุปสรรคตรงหน้าเพียงอย่างเดียวที่ขวางทางของพวกเขาอยู่

“เช่นนั้นก็เข้าไปกันเถอะ” มู่ชิงเกอเอ่ยอย่างเรียบสงบ

จีเหยาฮั่วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ยิ้มให้กับมู่ชิงเกอแล้วเอ่ยว่า “ชิงเกอ ข้าขอฝากตัวข้าไว้กับเจ้าแล้ว พี่ชายไม่เข้าใจค่ายกลหรืออาคมเลยสักนิด!”

“ข้าก็เช่นกัน” เว่ยมั่วลี่ก็แสดงความเห็น

“ข้าก็เหมือนกัน” อิ๋งเจ๋อก็พูดตาม

ซีเซียนเสวี่ยมองมู่ชิงเกอ สายตาที่บริสุทธ์ไร้เดียงสาได้อธิบายทุกอย่างแล้ว

เหยาชิงไห่ยิ้มอย่างขมขื่นเอ่ยว่า “ข้ารู้แค่เพียงผิวเผินเท่านั้น แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าภูเขาค่ายกลแล้วก็มีความสามารถไม่เพียงพอ ดังนั้นข้าก็ได้แต่อาศัยเจ้าแล้ว ชิงเกอ”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!