ตอนที่ 520
ทำลายค่ายกลภูเขา เข้าสุสานเทพ
“สิทธิ์แห่งเทพอันนี้เป็นของจริงหรือของปลอมกัน?” จีเหยาฮั่วรู้สึกตื่นเต้นอยากหาเรื่องขึ้นมา
“แน่นอนว่าเป็นของปลอม” ไม่ต้องให้มู่ชิงเกอตอบ ซีเซียนเสวี่ยก็พูดออกมาอย่างมั่นใจ
“ของปลอม?” จีเหยาฮั่วรู้สึกแปลกใจ
ซีเซียนเสวี่ยพยักหน้า “หากพูดอย่างเข้มงวดแล้ว นี่ยังไม่ใช่สุสานเทพ แล้วจะไปมีสิทธิ์แห่งเทพได้อย่างไร? ใน บันทึกในตำหนักเทพ หลังจากสิทธิ์แห่งเทพหลุดออกแล้วก็จะถูกเก็บเอาไว้ในซ้ายและขวาของสุสานไม่สามารถมาอยู่ไกลถึงขนาดนี้ได้”
“ดังนั้นก็หมายถึงว่านี่เป็นเพียงแต่สิทธิ์แห่งเทพมายา จุดมุ่งหมายก็เพื่อทำให้คนที่เข้ามาในสุสานฆ่ากันเอง” เหยาชิงไห่พยักหน้าวิเคราะห์ออกมา
“เช่นนั้นพวกเราจะทำอย่างไรดี?” จีเหยาฮั่วเอ่ยถาม
“ทำลายค่ายกล” มู่ชิงเกอเอ่ยตอบอย่างเรียบง่าย
นางไม่สนใจการตัดสินใจของคนอื่นๆ คนที่เข้ามาในสุสานเทพก็ล้วนแต่มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน พูดจากมุมนั้น แล้วทุกคนก็ล้วนแต่ต้องแข่งขันกัน นางไม่มีความเมตตา ถึงขนาดไปช่วยคู่แข่งของตนเองแก้ไขปัญหา
มู่ชิงเกอเริ่มมองรอบด้านอย่างละเอียด ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการยื้อแย่งสิทธิ์แห่งเทพ
ค่ายกลนี้ไม่มีภาพลวงตาและไม่ได้ทำให้คนสูญเสียสติ เพียงแต่ใช้วิธีง่ายๆ สร้างสิทธิ์แห่งเทพมายาขึ้นมาดึงดูด ให้ผู้คนแก่งแย่งกัน มู่ชิงเกอกำลังมองหาที่อยู่ของตาค่ายกล คนอื่นๆ อีกห้า คนก็นิ่งเงียบโอบนางเอาไว้ตรงกลาง ระวังความเคลื่อน ไหวรอบด้าน
เรื่องหาตาค่ายกลนั้นพวกเขาช่วยอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงแต่เรื่องออกแรงที่พอทำได้ทำให้มู่ชิงเกอสามารถวางใจ คิดหาวิธีคลายอาคม
เวลานี้เอง สิทธิ์แห่งเทพมายาก็ลอยมาที่พวกเขา
สิทธิ์แห่งเทพมีขนาดเล็กเท่าฝ่ามือ เป็นรูปเพชรส่งแสงเปล่งประกาย ทุกที่ที่ผ่านก็เกิดเป็นหางยาวเหมือนกับดาวตก
ที่แตกต่างก็คือ ดาวตกนั้นเป็นแสงไฟ ส่วนมันเป็นแสงสีเงิน
นัยน์ตาของจีเหยาฮั่วหดตัวลง ด่าว่า “สิทธิ์แห่งเทพเห็นว่าพวกเราไม่ติดกับ จึงล่อคนมาที่นี่ ช่างเจ้าเล่ห่ยิ่งนัก!”
และด้านหลังของสิทธิ์แห่งเทพมายา ก็มีคนที่เดิมทีกำลังฆ่าล้างกันพุ่งมายังพวกเขา
คนที่ก่อนหน้านี้ยังเคยหวาดกลัวพวกเขาเหล่าคนที่แข็งแกร่งที่สุดในทำเนียบชิงอิงอยู่ มาตอนนี้กลับสองตาแดงฉาน ไม่สนใจอะไรคิดจะฆ่าพวกเขา
คนอื่นๆ เข้ามาอย่างดุร้าย ทั้งหกคนเตรียมตัวในทันที อาวุธในมือสามารถลงมือได้ทุกเวลา
และในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อนี้เอง มู่ชิงเกอก็ยืนขึ้นมายกมือขวาขึ้น ระหว่างสองนิ้วมีแสงสีทองสายหนึ่งยิงออกมาใส่สิทธิ์แห่งเทพที่ลอยไปลอยมากลางอากาศ
แครก!
เสียงแตกดังขึ้นมากลางอากาศ
สิทธิ์แห่งเทพที่ถูกมู่ชิงเกอโจมตีโดนนั้นแตกกลายเป็นแสงดาว
ทันใดนั้นทั้งช่องว่างก็เริ่มสั่นขึ้นมา ท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคนบรรยากาศก็เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง
เมื่อพวกจีเหยาฮั่วมองเห็นฉากตรงหน้าได้ชัดเจนอีกครั้ง รอบด้านก็ไม่มีเงาร่างของคนอื่นอีกต่อไป ส่วนภูเขาสายนํ้าเขียวขจีก่อนหน้าก็กลายเป็นหิมะขาวโพลน
“สิทธิ์แห่งเทพอันนั้นกลับเป็นของจริง!” เหยาชิงไห่ตอบสนองกลับมา มองไปยังมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอยักไหล่ “ข้าก็คิดไม่ถึงว่ามีคนยอมใช้สิทธิ์แห่งเทพของจริงมาเป็นตาค่ายกล”
“ซับซ้อนเกินไปแล้ว! ใครจะสามารถเดาออกว่าสิทธิ์แห่งเทพที่ดึงดูดให้คนฆ่ากันจะเป็นตาค่ายกล?” ซีเซียนเสวี่ยก็ตะลึงเช่นเดียวกัน
ก่อนหน้านี้พวกเขายังคาดเดาว่าสิทธิ์แห่งเทพอันนั้นเป็นแค่อาคมสร้างภาพมายาออกมาดึงดูดให้คนฆ่ากันเอง ใครจะคาดคิดถึงว่าสิทธิ์แห่งเทพอันนั้นจะเป็นของจริง อีกทั้งยังเป็นตาค่ายกล!
“ชิงเกอ เจ้ามองออกได้อย่างไร?” เหยาชิงไห่อดถามไม่ได้
เขานับถือจริงๆ นับถือความเข้าใจต่ออาคมของมู่ชิงเกอ นับถือนางที่ดูเหมือนจะรู้ทุกอย่าง
“กลิ่นอาย” คำตอบของมู่ชิงเกอนั้นเรียบง่ายเช่นเคย
ไม่ใช่ว่านางจงใจแสดง แต่เพราะการคลายอาคมก็เป็นความเข้าใจวิถีอย่างหนึ่ง เข้าใจแล้วก็คือเข้าใจ ไม่เข้าใจก็คือไม่เข้าใจ ยากที่จะพูดอย่างชัดเจนได้
เหมือนกับจีเหยาฮั่ว เขาไม่เข้าใจอาคมเลย ถึงมู่ชิงเกอจะอธิบายอย่างไรก็ยังไม่เข้าใจ ดังนั้นความสนใจของเขาจึงอยู่ที่ความเงียบเหงารอบด้าน “คนอื่นๆ ละ?”
“ค่ายกลถูกทำลาย น่าจะถูกส่งไปในค่ายกลอาคมอื่นๆ แล้ว” อิ๋งเจ๋อเอ่ยตอบ
“ที่นี่มีอาคมมากมายแค่ไหนกัน? พวกเราต้องใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะเดินไปถึงจุดสิ้นสุด?” เว่ยมั่วลี่ขมวดคิ้วขึ้น พูดคำพูดที่ยาวที่สุดนับตั้งแต่ที่เขาเข้าสุสานเทพมา คำพูดนี้ของเขายากสำหรับทุกๆ คนรวมทั้งมู่ชิงเกอ
อาคมบนภูเขาค่ายกลดูเหมือนเขาวงกต ทั้งยังดูเหมือนวงแหวน เมื่อเข้าไปแล้ว คลายออกถึงจะสามารถเดินก้าวต่อไปได้อีกทั้งก้าวต่อไปนี้ก็หมายถึงเส้นทางที่ต่างออกไป
เมื่อไหร่จะเดินถึงจุดจบกันนั้นไม่มีใครรู้?
สิ่งเดียวที่สามารถทำได้คือทำลายค่ายกล
“ตอนนี้ทำได้เพียงเดินต่อไป” จีเหยาฮั่วเอ่ย
แต่เว่ยมั่วลี่กลับมองซีเซียนเสวี่ย
ซีเซียนเสวี่ยส่ายหน้าเอ่ยว่า “ข้าก็ไม่รู้สำหรับอาคมในภูเขาค่ายกลนั้น ในตำหนักเทพไม่ได้มีบันทึกอย่างละเอียด สิ่งเดียวที่ระบุเอาไว้ก็คือนอกจากภูเขาค่ายกล จะเป็นเส้นทางเข้าสู่สุสานที่ใกล้ที่สุดแล้วก็คืออาคมในภูเขาค่ายกลนั้นแปรเปลี่ยนได้อย่างหลากหลาย”
“เช่นนั้นตอนนี้ละ? รอบด้านของพวกเราไม่มีความรู้สึก เหมือนถูกขัง และก็ไม่ได้มีสิ่งของดึงดูดจิตใจ ค่ายกลนี้หมายความว่าอะไร?” จีเหยาฮั่วเอ่ยถามด้วยสีหน้าที่ดูมึนงง
คำพูดของเขาทำให้สายตาของทุกคนมองไปยังมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอไพล่มือเอาไว้ด้านหลัง มองไปยังเนินหิมะแล้ว เอ่ยว่า “เดินต่อ”
ทั้งหกคนเดินไปบนสันของเนินหิมะ ปีนขึ้นไปด้านบนเรื่อยๆ เกล็ดหิมะแผ่นใหญ่พลิ้วลอยลงมาจากกลางอากาศ
เหยาชิงไห่ยกมือขึ้นคว้าเกล็ดหิมะแผ่นหนึ่ง นัยน์ตาฉายแววสงสัย
ทันใดนั้น นัยน์ตาของเขาก็หดตัวลง ตะโกนเตือนว่า “ไม่ดีแล้ว! เกล็ดหิมะเหล่านี้กลืนกินพลังจิตของพวกเราเป็นอาหาร!”
หลังจากเกล็ดหิมะกลืนกินพลังจิตแล้วก็จะสลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย
พลังจิตถูกกลืนกินไปทีละนิด ทำให้คนยากที่จะค้นพบ รอจนค้นพบแล้วเกรงว่าคงพบตอนพลังจิตในร่างกายของตนเองถูกดูดกินไปจนว่างเปล่าแล้ว
หากไม่ใช่เพราะเหยาชิงไห่ค้นพบได้ทัน พวกเขาคงจะติดกับโดยไม่รู้ตัว
“ดูแล้ว ตาค่ายกลนี้ก็คือพวกเราแล้ว” มู่ชิงเกอหยุดฝีเท้า หันไปมองทุกคนแล้วเอ่ยออกมา
“พวกเราเป็นตาค่ายกล?” อิ๋งเจ๋อถามกลับอย่างแปลกใจ
คนอื่นๆ ก็ส่งสายตาสงสัยมองมา มู่ชิงเกอไม่ได้เอ่ยตอบในทันที แต่กลับนั่งสมาธิบนพื้นหิมะ นัยน์ตาอันสดใสเริ่มการคำนวณอันซับซ้อน
ค่ายกลอาคม ก็คือการใช้การคำนวณอันซับซ้อนของกฎเกณฑ์ฟ้าดินชนิดหนึ่ง
เหมือนกับสมการที่แตกต่างกันก็ให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน ส่วนวิธีในการแก้ก็ไม่ได้มีเพียงทางเดียว
เพียงแค่รู้ความจริง หากต้องการแก้ไขก็มีปัญหาแค่เรื่อง เวลาเท่านั้น
มู่ชิงเกอได้สัมผัสกับอาคมก็เป็นแค่เพียงบังเอิญเท่านั้น หากไม่ใช่เพราะซือมั่ว นางก็คงจะไม่สนใจค่ายกลอาคม หากไม่ใช่เพราะสายเลือดวิชาหลอมศาสตราของนางไม่สามารถตื่นขึ้นมาได้เองในครั้งแรก นางก็จะไม่แสวงหาวิธีการอื่นๆ เช่นศึกษาค่ายกลอาคมเพื่อสนับสนุนการหลอมอาวุธของตนเอง
ฝึกฝนอย่างต่อเนื่องบวกกับความเข้าใจในวิถีทำให้มู่ชิงเกอพัฒนาในด้านอาคมมาก ในภูเขาค่ายกลนี้สำหรับคนอื่นแล้วอาจจะยากลำบากแสนเข็ญ แต่สำหรับนาง แล้วกลับเป็นโอกาสดีในการเรียนรู้ครั้งหนึ่ง ทุกครั้งที่นางคลายอาคมชนิดหนึ่งก็ทำให้วิชาด้านอาคมของนางพัฒนาขึ้น และก็เหมือนว่านางได้เรียนรู้อาคมเพิ่มอีกชนิดหนึ่ง
ถ้าหากไม่ใช่เพราะเวลามีจำกัด นางก็อยากจะใช้เวลาหลายปีอยู่ในภูเขาค่ายกลแห่งนี้เพื่อเรียนรู้ค่ายกลอาคมเหล่านี้
“ข้าเข้าใจแล้ว!” ภาพการคำนวณในนัยน์ตาของมู่ชิงเกอถอยกลับไป นางเผยรอยยิ้มมั่นใจออกมา นางยืนขึ้นมาแล้วอธิบายกับไม่กี่คนนี้ว่า “ค่ายกลนี้อาศัยเกล็ดหิมะดูดกินพลังของพวกเราไปขับเคลื่อน เพียงแค่ไม่มีพลังจิตให้ก็จะหยุดและทำลายไปเอง”
“เช่นนั้นพวกเราก็ต้องรอจนเกล็ดหิมะเหล่านี้ดูดกินพลังจิตของพวกเราจนหมดถึงสามารถออกไปได้งั้นหรือ?” ซีเซียนเสวี่ยเอ่ยถาม
เหยาชิงไห่ส่ายหน้า “ไม่จำเป็น พวกเราสามารถผนึกประสาททั้งหก ผนึงพลังจิตเอาไว้ชั่วคราว สร้างภาพว่าพลังจิตหมด”
วิธีนี้ไม่เลว ทั้งหกคนทำตามที่เหยาชิงไห่เสนอพร้อมกัน ไม่นาน ไม่กี่คนนี้ก็รู้สึกว่าภาพตรงหน้าพร่าเลือน บรรยากาศเปลี่ยนไปอีกครั้ง!
ตรงหน้าไม่ใช่ภาพภูเขาหิมะอีกต่อไปแต่เป็นแสงเงาดาบ!
“ให้ตายเถอะ! ลอบโจมตี!” จีเหยาฮั่วหลบหลีกดาบที่พุ่งเข้ามาหาพวกเขาอย่างเฉียดฉิวแล้วร้องขึ้นมาอย่างตกใจ
ตรงหน้าของพวกเขากลับเป็นมีดดาบหลายชนิดลอยไปลอยมาอย่างสับสนวุ่นวาย ดูเหมือนพวกเขาจะเข้ามาในภูเขาดาบ เหยียบอยู่ใต้ใบมีดนับหมื่น
“ชิงเกอพวกเราช่วยเจ้าขวางเอง เจ้าวางใจหาตาค่ายกลเถอะ!” จีเหยาฮั่วพูดขึ้นมา ทั้งห้าคนล้อมตัวมู่ชิงเกอเอาไว้ตรงกลางเงียบๆ
ค่ายกลหนึ่งถูกทำลายก็มีอีกค่ายกลหนึ่งต่อกันมาเรื่อยๆ
ในตอนที่ทั้งหกคนหนีออกมาจากภูเขาดาบอย่างทุลักทุเลได้นั้นก็ตกเข้าไปในทะเลเพลิง
เพียงเข้าไปในภูเขาค่ายกลสองชั่วยามสั้นๆ พวกเขาก็ผ่านอาคมนับสิบแล้ว บ้างใหญ่บ้างเล็ก มีบ้างมีซ่อนเครื่องมือสังหาร มีบ้างที่หวาดเสียวน่ากลัว
หนึ่งเดือนผ่านไปแล้ว
ไม่รู้ว่ามีคนมากแค่ไหนถูกขังอยู่ในค่ายกลภูเขา และไม่รู้ว่ามีคนมากมายแค่ไหนที่ตายอยู่ภายใต้อาคมของภูเขาค่ายกลไปแล้ว
ในเวลาหนึ่งเดือนนี้พวกมู่ชิงเกอหกคนผ่านอาคมนับหมื่นชนิดในภูเขาค่ายกล แม้จะมีพลังการฟื้นฟูที่น่าตกใจแต่ตอนนี้ก็มีท่าทีเหนื่อยล้า
โดยเฉพาะมู่ชิงเกอที่ต้องคลายอาคม เป็นกิจกรรมที่สิ้นเปลืองจิตวิญญาณมาก
หากไม่ใช่ว่าจิตวิญญาณของนางถูกเคี่ยวกรำด้วยเคล็ดวิชาเทวะส่วนกลางมาจนแข็งแกร่ง เกรงว่าคงจะตายในกระบวนการนี้ไปนานแล้ว
พวกเขาเดินบนสันเขามานานแต่ก็ยังไม่ถึงยอดเขาเช่นเคย
“ชิงเกอ ตอนนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้น? พวกเราเดินออกมาได้แล้วหรือยังออกมาไม่ได้?” จีเหยาฮั่วอดไม่ไหวเอ่ยถามเป็นครั้งที่สาม
ไม่มีอันตราย ไม่มีกับดัก ไม่มีภาพลวงตา
แต่พวกเขากลับเดินมาหลายวันแล้วก็ยังไม่ถึงยอดเขาซักที
“ข้ารู้สึกเหมือนว่าพวกเราเดินอยู่ที่เดิม เดินไปไม่ถึงยอดไปตลอด” จีเหยาฮั่วอุทานออกมาหนึ่งประโยค
ถึงคนอื่นๆ จะไม่ได้เอ่ยปาก แต่ในใจก็รู้สึกคล้ายๆ กันกับเขา
“เดินอยู่ที่เดิม?” มู่ชิงเกอพึมพำประโยคหนึ่ง มองไปหน้าผาสูงชันเหนือสันเขา
ทันใดนั้น นัยน์ตาของนางก็หดตัวลง คิ้วที่ขมวดมาหลายวันคลายออก
นางหันไปมองคนทั้งห้า โค้งยิ้มบางๆ “นี่เป็นด่านสุดท้ายแล้ว พวกเจ้ารีบตามข้ามา!” พูดแล้วนางก็กระโดดลงไปในส่วนที่คล้ายหน้าผา
“ชิงเกอ!” ซีเซียนเสวี่ยตะโกนอย่างร้อนใจ แล้วกระโดดตามลงไป
คนที่เหลืออีกสี่คนมองหน้ากันแวบหนึ่งแล้วก็กระโดดหน้าผาตามลงไป
แต่ในตอนที่พวกเขากระโดดลงไปนั้นก็ไม่ได้รู้สึกเหมือนกำลังตกลงแต่เป็นความรู้สึกเหมือนถูกดูดขึ้นข้างบน…