Skip to content

พลิกปฐพี 523

ตอนที่ 523

ชายชรากับเด็กสาว

ทางหนึ่งให้ทำลายสิทธิ์แห่งเทพ อีกทางห้ามแตะต้อง จะฟังใครดี?

หรือจะไม่ฟังใครเลย?

ราวกับเวลาหยุดชะงัก การต่อสู้ระหว่างเทียนหลัวจวินและหลินเสวียนเฟิ่งก็ยิ่งรุนแรงขึ้น

คนทั้งหกที่ชะงักอยู่กับที่ตอนนี้ดูค่อนข้างกระวนกระวาย

“ยังจะนิ่งอยู่ทำไมกัน มีข้าอยู่ พวกเจ้ายังจะกลัวนกยูงเฒ่าตัวเดียวอีกหรือ” เทียนหลัวจวินอดไม่อยู่ หันมาตะโกนใส่ทั้งหกคน

หลินเสวียนเฟิ่งรีบเอ่ยว่า “พวกเจ้าทั้งหกลองดูสิ หากกล้าก้าวเข้ามาเพียงก้าวเดียว ข้าจะฆ่าพวกเจ้าซะ สุนัขเฒ่าตัวนี้ก็คุ้มครองพวกเจ้าไม่ได้!”

ขยับก็ตาย ไม่ขยับก็ตาย

มุมปากของมู่ชิงเกอโค้งขึ้นเล็กน้อย ประสานมือเอ่ยกับเทียนหลัวจวินและหลินเสวียนเฟิ่งว่า “ผู้อาวุโสสองท่าน พวกเราเพียงแค่ผ่านทางมาเท่านั้น พวกเราจะไปแล้วไม่ขอรบกวนพวกท่านทั้งสอง”

พูดแล้วนางก็ส่งสายตาให้อีกห้าคนเพื่อเตรียมตัวจากไป เจตนาเดิมของนางก็คือไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ สิทธิ์แห่งเทพอันนี้นางก็จะไม่เข้าไปแย่งชิง

แต่เมื่อทั้งหกคนหันกายคิดจะจากไป เสียงสองสายก็ดังขึ้นพร้อมกันจากทางด้านหลัง

“หยุดนะ!”

“หยุด!”

เทียนหลัวจวนและหลินเสวียนเฟิ่งตะโกนออกไปพร้อมกัน สองคนที่ต่อสู้พัวพันกันอยู่เมื่อครู่แยกออกไปยืนคนละด้าน แต่จิตวิญญาณยังคงเชื่อมโยงกับสิทธิ์แห่งเทพที่ลอยอยู่กลางอากาศ

ทั้งหกคนที่เพิ่งหันไปถูกตวาดสั่งให้หยุด

จีเหยาฮั่วกับเหยาชิงไห่มองมู่ชิงเกอ ดวงตาฉายแววร้อนใจ ราวกับกำลังพูดว่า ‘คิดจะไปคงไม่ง่ายแล้ว’

นัยน์ตาของซีเซียนเสวี่ยเองก็ฉายแววร้อนใจและเป็นกังวล

อิ๋งเจ๋อและเว่ยมั่วลี่ก็เตรียมพร้อมต่อสู้

มู่ชิงเกอส่งสายตาให้พวกเขานิ่งเอาไว้ แล้วหันไปยิ้มเอ่ยถามว่า “ผู้อาวุโสสองท่านมีสิ่งใดจะกำชับหรือ”

เทียนหลัวจวินยิ้มเยาะ “นังเด็กคนนี้ยังพอมีสมองอยู่บ้าง ต้องการจะหนีงั้นหรือ”

มู่ชิงเกอยิ้มบางๆ ไม่ได้ต่อคำ

“หากข้าบอกว่าให้พวกเจ้าช่วยข้าฆ่าเจ้านกยูงเฒ่าตัวนี้ แล้วข้าสามารถช่วยพวกเจ้าแย่งสิทธิ์แห่งเทพที่ต้องการได้พวกเจ้าจะว่าอย่างไร” เทียนหลัวจวินส่งสายตายั่วยุ ออกมา

หลินเสวียนเฟิ่งหรี่ตาเล็กลง เอ่ยอย่างโมโหว่า “สุนัขเฒ่า! เจ้าอย่าได้รังแกคนจนเกินไป!”

จากนั้นเขาก็มองไปทางพวกมู่ชิงเกอ กัดฟันเอ่ยว่า “หากพวกเจ้าช่วยข้า ฆ่าสุนัขเฒ่าตัวนี้ ข้าก็จะช่วยพวกเจ้าแย่งสิทธิ์แห่งเทพเช่นกัน! อีกทั้งยังจะรับปากเงื่อนไขของพวกเจ้าอีกหนึ่งข้อด้วย”

ทั้งสองคนทะเลาะกันแต่กลับทำให้พวกมู่ชิงเกอทั้งหกคนต้องมาติดอยู่ตรงกลาง

จีเหยาฮั่วที่อยู่ด้านหลังมู่ชิงเกอเอ่ยว่า “ว่ากันว่าเทียนหลัวจวินและหลินเสวียนเฟิ่งนั้นแข่งขันกันมาตลอดชีวิต กินกันไม่ลงมาตลอด ไม่มีใครยอมใครหรือวันนี้จะวัดแพ้ชนะกันในสุสานเทพจริงๆ”

“ในเมื่อพวกเขาไม่สามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้ เช่นนั้นวันนี้การลากพวกเราเข้าร่วมก็คือกุญแจแห่งชัยชนะ” ซีเซียนเสวี่ยเองก็เอ่ยเสียงเบาออกมา

มู่ชิงเกอฟังคำพูดของพวกเขาทั้งสองคนแล้วกลับยิ้มเยาะเอ่ยว่า “หากคิดแบบนั้น อิงตามความหยิ่งทะนงของพวกเขาทั้งสองคน จะมาขอให้พวกเราช่วยเหลือเช่น นี้ได้อย่างไร”

“หืม?”

หืม?

หมายความว่าอย่างไร!

คำพูดของมู่ชิงเกอทำให้ทั้งห้าคนสงสัยขึ้นมา

แต่นางยังไม่มีเวลามาอธิบาย เพียงแต่ก้าวออกไปเอ่ยกับเทียนหลัวจวินและหลินเสวียนเฟิ่งว่า “ผู้อาวุโสทั้งสอง ข้าบอกแล้วว่าเรื่องของพวกท่าน พวกเราจะไม่เข้า ไปยุ่งด้วย”

นางปฏิเสธอย่างเด็ดขาด ไร้ซึ่งความลังเล ดังนั้นเมื่อคำพูดของนางจบลง ท่าทางของเทียนหลัวจวินและหลินเสวียนเฟิ่งก็ดูดุร้ายขึ้นมา หว่างคิ้วเต็มไปด้วยความอำมหิต ท่าทางที่ดูดุร้ายเช่นนั้นราวกับถูกโขกออกมาจากพิมพ์เดียวกันไม่มีผิด

ไม่เพียงแค่อารมณ์ที่เหมือนกันเท่านั้น แม้แต่การเคลื่อนไหวก็เหมือนกันด้วย

เทียนหลัวจวินและหลินเสวียนเฟิ่งเอ่ยขึ้นพร้อมกันว่า “เช่นนั้นพวกเจ้าก็ไปตายเสียเถอะ!”

จากนั้นทั้งสองก็ออกกระบวนท่าแบบเดียวกันพุ่งเข้าใส่พวกมู่ชิงเกอหกคน

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแววหนักอึ้ง มือขวาคว้าอากาศทวนหลิงหลงปรากฎขึ้นในมือ “เตรียมรับศึก!”

“พวกเขาเป็นอะไรไปน่ะ”

หลังจากเตรียมรับศึกเรียบร้อยแล้ว จีเหยาฮั่วก็สังเกตเห็นความผิดปกติของทั้งสองคน

เทียนหลัวจวินและหลินเสวียนเฟิ่งดูจากภายนอกแล้วเหมือนเป็นคนละคนกัน แต่กลับให้ความรู้สึกเหมือนเป็นคนคนเดียวกัน ความแปลกประหลาดนี้ทำให้ทั้งหกคนระมัดระวังมากขึ้น

พริบตาเดียวเทียนหลัวจวินและหลินเสวียนเฟิ่งก็พุ่งมาถึงตรงหน้าของคนทั้งหก

มู่ชิงเกอกวาดทวนหลิงหลงออกไป พลังจิตสีทองเหมือนกับทหารม้านับพันนับหมื่นพุ่งเข้าใส่ทั้งสองคน

ส่วนเว่ยมั่วลี่ก็ตามติดมาด้านหลัง ฟาดดาบหนักไปที่กระหม่อมของเทียนหลัวจวิน

อาวุธยาวของอิ๋งเจ๋อก็แทงไปที่หลินเสวียนเฟิ่ง

พัดของจีเหยาฮั่วก็ตามรุกไล่ไปตรงหน้าของพวกเขาทั้งสอง

เหยาชิงไห่และซีเซียนเสวี่ยก็ลงมือพร้อมกัน

หกคนที่มีพลังและพรสวรรค์แข็งแกร่งที่สุดในยุคนี้ของโลกแห่งยุคกลางร่วมมือกันโจมตีปีศาจเฒ่าระดับข้ามผ่านที่มีชื่อเสียงมานานสองคน

หลังจากออกกระบวนท่าแล้ว พวกจีเหยาฮั่วก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ

“เกิดอะไรขึ้นน่ะ เหตุใดพวกเขาถึงได้ดูอ่อนแอเช่นนี้” จีเหยาฮั่วชะงัก การต่อสู้ระหว่างเทียนหลัวจวินและหลินเสวียนเฟิ่งนั้นดูแล้วรุนแรงมาก ทำให้คนไม่กล้าเข้าใกล้ แต่เมื่อลองสัมผัสดูจริงๆ แล้วกลับพบว่ากำลังของพวกเขาดูอ่อนแอ

“เพราะว่าพวกเขาเป็นตัวปลอม!” มู่ชิงเกอแทงทวนหลิงหลงออกไปกลางอากาศแล้วพูดขึ้นประโยคหนึ่ง

ตัวปลอม!

คำพูดของมู่ชิงเกอทำให้นัยน์ตาของทั้งห้าคนหดตัวลง

ชั่วขณะนั้นบรรยากาศพลังของคนทั้งห้าก็เพิ่มสูงขึ้น

ในเมื่อเป็นตัวปลอมแล้วพวกเขายังจะกลัวอะไรอีกเล่า ในการต่อสู้ทั้งหกคนร่วมมือประสานกันได้ลื่นไหลมาก ขึ้นเรื่อยๆ โอบ ‘เทียนหลัวจวิน’ และ ‘หลินเสวิยนเฟิ่ง’ เอาไว้ตรงกลาง

“ทวนดูดวิญญาณ!”

“เบิกฟ้าผ่าดิน!”

“ตัดสายนํ้าไหล!”

“บุปผาปลิวเมฆาสะบั้น!”

“หนึ่งสัญญาพันชั่ง!”

“หมื่นเถาวัลย์พันเกี่ยว!”

กระบวนท่าที่ร้ายกาจที่สุดหกสายถูกส่งออกไปโจมตีโดน ‘เทียนหลัวจวิน’ และ ‘หลินเสวียนเฟิ่ง’ อย่างรุนแรงพร้อมกัน ชั่วขณะนั้นเงาร่างของสองคนนี้ก็ชะงักไป ร่างกายถูกการโจมตีที่แข็งแกร่งแทงทะลุจนผิวหนังเริ่มแตกออก ในที่สุดก็สลายหายไป

ทั้งหกคนยืนอยู่ที่เดิมตรงกลางไม่มีเงาร่างของ ‘เทียนหลัวจวิน’ และ ‘หลินเสวียนเฟิ่ง’ อีกแล้ว

มู่ชิงเกอเงยหน้า มองสิทธิ์แห่งเทพที่ถูกยื้อแย่งอันนั้น สิทธิ์แห่งเทพอันนั้นก็ราวกับมีจิตวิญญาณ มันหันกายส่งแสงเปล่งประกายกลางอากาศแล้วหายไปจากตรงหน้าของทั้งหกคน

“สิทธิ์แห่งเทพนี้มีจิตวิญญาณด้วยหรือ!” จีเหยาฮั่วเอ่ยอย่างตกตะลึง

แต่น่าเสียดายที่ไม่มีใครตอบคำถามของเขา

บนมือขวาของมู่ชิงเกอเกิดแสงสว่างวาบขึ้น ทวนหลิงหลงกลับกลายเป็นปลอกนิ้วอีกครั้งสวมอยู่บนนิ้วมือข้างขวาของนาง พลังจิตสีทองสายหนึ่งพัวพันอยู่ด้านบน เพื่อเพาะเลี้ยงอย่างต่อเนื่อง

คนอื่นๆ ก็เก็บอาวุธของตนเองลงไป ตอนนี้ในใจของพวกเขามีแต่ความสงสัย รอคอยคำอธิบายจากมู่ชิงเกอ เพราะนางเป็นคนพูดว่าเทียนหลัวจวิ

นและหลินเสวียนเฟิ่งเป็นตัวปลอม

และเรื่องราวก็พิสูจน์ได้ว่าพวกเขานั้นเป็นตัวปลอมจริงๆ

ทันใดนั้นเสียงตบมือก็ดังออกมาจากพื้นที่ด้านหลังพวกเขาไปไม่ไกล ชั่วขณะนั้นก็ดึงดูดความสนใจของพวกเขาเอาไว้

ทั้งหกคนหันกลับไปก็เห็นชายชราคนหนึ่งกับสาวน้อยคนหนึ่งค่อยๆ เดินมาหาพวกเขา สาวน้อยรูปโฉมงดงาม ประณีต ดูท่าทางฉลาดเฉลียวและสดใสร่าเริง ส่วนชายชรานั้นมีร่างกายที่งองุ้มเล็กน้อย ในมือถือไม้เท้า ใบหน้าแก่ชรา แต่ดวงตาทั้งคู่กลับดูมีชีวิตชีวาทำให้คนไม่กล้าดูแคลน คนที่ตบมือน่าจะเป็นชายชรา ในตอนที่พวกเขาหันกลับไป เขาก็ลดมือลงพอดี สายตาของมู่ชิงเกอเลื่อนไปอยู่ที่ไม้เท้าในมือของเขา ตรงนั้นมีหัวมังกรที่เปล่งรัศมีอำนาจสลักอยู่

“ผู้เฒ่าเหนือมังกร!” นัยน์ตาของนางหดตัวลง เรียกชื่อชายชราคนนั้นออกมา

“ผู้เฒ่าเหนือมังกรหรือ เป็นปีศาจเฒ่าระดับข้ามผ่านอีกคนแล้ว ครั้งนี้เป็นตัวจริงหรือตัวปลอมกัน” จีเหยาฮั่ว พึมพำขึ้นหนึ่งประโยค

ทั้งห้าคนล้อมมู่ชิงเกอเอาไว้เตรียมป้องกัน

“เด็กน้อย เจ้ารู้จักข้าหรือ” ผู้เฒ่าเหนือมังกรยิ้มตาหยี มองมู่ชิงเกอ สองมือคํ้าอยู่บนไม้เท้าหัวมังกร

มู่ชิงเกอส่ายหน้า เอ่ยอย่างนิ่งสงบว่า “จำไม้เท้าในมือท่านได้ก็เท่านั้น”

หากไม่ใช่เพราะรายละเอียดของผู้เฒ่าเหนือมังกรบนข้อมูลของหานฉายไฉ่ระบุถึงไม้เท้าอันหนึ่ง นางก็คงไม่สามารถมองออกได้ในชั่วพริบตา

เพราะชายชราตรงหน้านั้น นอกจากดวงตาของเขาแล้ว ทุกอย่างก็ดูธรรมดาเกินไป

ผู้เฒ่าเหนือมังกรพยักหน้ายิ้มและเอ่ยว่า “บรรดารุ่นเยาว์ในตอนนี้นั้น คนที่สามารถจดจำไม้เท้าของข้าได้มีน้อยมากแล้ว”

“นั้นสิ พวกเราอยู่ในเมืองเทียนคงก็ไม่มีใครจดจำสถานะของท่านปู่ได้เลย” สาวน้อยข้างกายเขาพูดแทรกขึ้นด้วยสีหน้าเย่อหยิ่ง

มู่ชิงเกอหันมองนาง คาดเดาในใจว่า ‘นี่คือหลานสาวของผู้เฒ่าเหนือมังกรหรือ การเข้ามาในสุสานเทพนั้นอันตรายมาก เขากลับพาหลานสาวมาด้วยหรือ?’

มู่ชิงเกอรู้สึกสงสัย นางมองออกว่าสาวน้อยคนนี้มีระดับฝึกปรืออยู่เพียงสีเงินชั้นห้าเท่านั้น

กำลังเช่นนี้หากไม่มีผู้เฒ่าเหนือมังกรอยู่ด้วย นางก็คือเบี้ยล่างในสุสานเทพดีๆ นี่เอง

“พวกเขาเป็นตัวจริงหรือตัวปลอมน่ะ” ซีเซียนเสวี่ยเดินมาข้างกายมู่ชิงเกอแล้วเอ่ยถามเสียงเบา

เสียงของนางเบามาก แม้แต่เหยาชิงไห่และจีเหยาฮั่วที่อยู่ข้างกายนางก็ยังไม่ได้ยิน

แต่ผู้เฒ่าเหนือมังกรกลับยิ้มและเอ่ยกับนางหลังจากที่นางเอ่ยจบว่า “แน่นอนว่าข้าเป็นตัวจริง”

เมื่อสิ้นเสียงของเขา ชั่วขณะนั้นสีหน้าของซีเซียนเสวี่ยก็เปลี่ยนไป

“ร่วมทางกันไหม?” ผู้เฒ่าเหนือมังกรยื่นข้อเสนอที่น่าสนใจออกมา

เขาที่เป็นผู้อาวุโสเสนอจะร่วมทางกับรุ่นเยาว์ไม่กี่คน แน่นอนว่าปฏิเสธได้ยาก

มู่ชิงเกอคิดแล้วก็พยักหน้าตกลง

“นี่เป็นหลานสาวของข้า ชื่อว่าสวี่สวี่” ผู้เฒ่าเหนือมังกรชี้ไปที่สาวน้อยข้างกายพร้อมกับแนะนำออกมา

พวกมู่ชิงเกอหกคนพยักหน้าเล็กน้อยให้กับสวี่สวี่ ไม่มีท่าทีอยากจะพูดคุยหรือเอาอกเอาใจเกินหน้าเกินตา แต่สวี่สวี่กลับเอ่ยด้วยสีหน้าตื่นเต้นว่า “ข้ารู้ว่าพวกเจ้าเป็นใคร ในเมืองเทียนคง ใครๆ ก็พูดถึงพวกเจ้าโดยเฉพาะ เจ้า”

‘เจ้า’ ที่นางหมายถึงก็คือมู่ชิงเกอนั่นเอง ข่าวลือเกี่ยวกับมู่ชิงเกอ ทำให้นางเกิดรู้สึกนับถือมู่ชิงเกอ แน่นอนว่าเป็นความนับถือที่แฝงด้วยความสงสัยใคร่รู้

ทั้งหกคนรวมทั้งผู้เฒ่าเหนือมังกรและสวี่สวี่ ทั้งหมดแปดคนเดินต่อไปข้างหน้า

ระหว่างทางผู้เฒ่าเหนือมังกรก็เอ่ยขึ้นว่า “ในสุสานเทพ เป็นสถานที่ฝังศพของเผ่าเทพมีเผ่าเทพบางส่วนตายแล้วก็ถูกคนในเผ่าฝั่ง มีบางส่วนที่ตายอยู่ด้านนอก ร่าง กายไม่มีคนเก็บมาจึงมีเพียงวิญญาณเทพและสิทธิ์แห่งเทพเท่านั้นที่เข้ามาในสุสานเทพ สิทธิ์แห่งเทพเมื่อครู่นี้ยังมีวิญญาณเทพอยู่”

เมื่อพูดมาถึงตรงนี้จู่ๆ เขาก็หันไปมองมู่ชิงเกอ ยิ้มและเอ่ยว่า “เจ้าดูออกได้อย่างไรว่ามันเป็นของปลอม”

มู่ชิงเกอยิ้มแล้วตอบว่า “ข้าเพียงรู้สึกว่าเป้าหมายของพวกเขาเหมือนไม่ได้ทำเพื่อแข่งขันกัน แต่อยากจะดึงพวกเราให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย”

เทียนหลัวจวินและหลินเสวียนเพี่งที่แท้จริงไม่มีเหตุผลที่จะทำเช่นนี้

“เจ้าสังเกตได้ละเอียดมาก” ผู้เฒ่าเหนือมังกรพยักหน้า เอ่ยชม เขาเอ่ยว่า “สิทธิ์แห่งเทพอันนั้นเคยถูกพวกเขาแย่งกันจริงๆ จึงจดจำกลิ่นอายและกระบวนท่าของพวกเขาได้สุดท้ายก็ใช้พลังของวิญญาณเทพ แสดงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ออกมา บวกกับการปรับเปลี่ยนเล็กน้อยเพื่อวางกับดักล่อให้พวกเจ้าเข้าไป”

พูดแล้ว เขาก็เสริมอีกหนึ่งประโยคว่า “แน่นอนว่าไม่ได้คิดจะจัดการกับพวกเจ้า แต่พวกเจ้าบังเอิญไปเจอเข้าก็เท่านั้น”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!