Skip to content

พลิกปฐพี 526

ตอนที่ 526

เจ้าเมืองมู่ เชิญ!

ราชาเส้า…?

ระวังราชาเส้า…

เดินออกจากสุสานแห่งนั้นแล้ว ในใจของมู่ชิงเกอก็ยังคงสับสน

สิทธิ์แห่งเทพของเทพบรรพบุรุษตระกูลซางนั้นนางเก็บไว้ในจิตวิญญาณเรียบร้อยแล้ว แต่จนถึงตอนสุดท้าย เสียงนั้นก็ไม่ได้ตอบนางว่าราชาเส้านั้นคือใคร เกี่ยวอะไรกับตระกูลซาง เทพบรรพบุรุษถึงได้สั่งเสียไว้ให้รุ่นหลังระมัด ระวัง

หลังจากเดินออกมาจากโลกแห่งเพลิงสีแดงนั้นแล้ว มู่ชิงเกอก็ได้กลับมายังดินแดนที่มีกลิ่นอายเทพปกคลุมอีก

นํ้าใสภูเขาเขียว เมฆหมอกลอยวน ดอกไม้ใบหญ้าแย่งกันเบ่งบาน หญ้าเขียวขจี

โลงศพของที่นี่ล้วนแต่วางอยู่บนพื้น บนโลงศพถูกเถาวัลย์โอบคลุม ซ่อนอักษรบนโลงศพเอาไว้

มู่ชิงเกอรวมรวมสติ มองสถานที่ที่ตนเองอยู่อย่างละเอียด

ทันใดนั้น ดวงตาของนางก็หดตัวลง ‘เป็นบ่อเลือดมังกรอีกแล้ว!’

ในจุดที่ไกลออกไปจนสุดสายตา โครงกระดูกมังกรขนาดใหญ่ดุจดั่งภูเขาร่างหนึ่งนอนอยู่บนพื้น บริเวณส่วนหัวของมังกรมีแอ่งเลือด เลือดที่อยู่ด้านในเต็มไปด้วยความแค้น

เดิมทีที่นี่เป็นพื้นหญ้าแต่บริเวณที่มีโครงกระดูกมังกรอยู่กลับเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตาย เป็นพื้นดินว่างเปล่าผืนหนึ่ง ทำให้คนรู้สึกอยากก้าวถอยหลังทันทีที่ได้เห็น

‘เหตุใดถึงมีบ่อเลือดมังกรถึงสองแห่ง’ มู่ชิงเกอรู้สึกตกตะลึงในใจ

ค่ายกลขนาดใหญ่เช่นบ่อเลือดมังกรนั้นหากสามารถสร้างขึ้นหนึ่งแห่งก็ถือว่าเก่งกาจมากแล้ว แต่นางกลับพบถึงสองแห่งในสุสานเทพ หากไม่ได้มีเพียงแค่แห่งเดียว เช่นนั้นก็อาจจะยังมีแห่งที่สาม แห่งที่สี่หรือ มากกว่านั้น…

เป็นใครกันแน่ที่มีความสามารถถึงขนาดนี้ สามารถจับเอาเผ่ามังกรมาขังไว้อยู่ที่นี่ทรมานจนตายเพื่อนำมาทำค่ายกลได้

ที่สำคัญที่สุดก็คือ บ่อเลือดมังกรที่เขาวางเอาไว้ที่นี่นั้น ทำไปเพื่ออะไรกันแน่ มีจุดมุ่งหมายอะไร ใจของมู่ชิงเกอรู้สึกหนักอึ้ง ก่อนหน้านี้ตอนที่นางพบบ่อเลือดมังกรบ่อแรก ก็เดาว่าน่าจะใช้เพื่อปกป้องสุสานใกล้ๆ แต่ตอนนี้มาเจออีกอันทำให้นางไม่กล้ามั่นใจอีกแล้ว

เมื่อคิดแล้ว มู่ชิงเกอก็กระโดดลอยตัวขึ้นกลางอากาศ นางจ้องมองไปยังภูเขาแม่น้ำและร่างภาพภูมิประเทศของสุสานเทพออกมาในหัว

แต่มองอยู่นาน นางกลับส่ายหน้าอย่างผิดหวังและ ค่อยๆ พลิ้วกายลงมา

สุสานเทพนั้นใหญ่เกินไป ไม่สามารถแยกทิศทางได้นาง ไม่สามารถตัดสินได้ว่าบ่อเลือดมังกรที่เคยเห็นกับบ่อ เลือดมังกรเมื่อครู่นั้นจัดวางไว้ที่ตำแหน่งอะไร

เมื่อไม่สามารถระบุตำแหน่งได้ก็ยากที่จะคาดเดาจุดมุ่งหมายของคนวางค่ายกลได้

“น่าเสียดายไม่มีแผนที่ของสุสานเทพ…ดูแล้ว ทำได้เพียงเดินไปข้างหน้าดูทีละก้าว” มู่ชิงเกอพึมพำประโยคหนึ่ง

นางทำตามข้อตกลงที่ว่าหากพลัดหลงกันก็ให้เดินไปยังใจกลาง ไปรวมตัวกันที่ใจกลางสุสานเทพ มู่ชิงเกอระบุทิศทางโดยดูจากทิศที่มีพลังวิญญาณแข็งแกร่งที่สุดแล้ว ก็มุ่งหน้าไปยังใจกลาง

หลังจากนั้นเจ็ดวัน มู่ชิงเกอไม่รู้ว่าตนเองเดินไปไกลแค่ไหน

ภายในเจ็ดวันนี้นางพบเจอรุ่นเยาว์จำนวนไม่น้อยที่เข้ามาในสุสานเทพเพื่อหาสิทธิ์แห่งเทพพร้อมกัน แต่กลับไม่เห็นพวกจีเหยาฮั่วและซีเซียนเสวี่ยเลย คนเหล่านี้เองเมื่อมองเห็นมู่ชิงเกอแล้วก็แสดงความเกรงอกเกรงใจอย่างผิดปกติออกมา

“มู่…เจ้าเมืองมู่ เชิญท่านก่อนเลย” ไม่รู้ว่าเป็นศิษย์ของตระกูลไหน เดิมทีเขากำลังจะหยิบสิทธิ์แห่งเทพ แต่พอมองเห็นมู่ชิงเกอเดินทอดน่องเข้ามาก็รีบถอนมือกลับ หลบไปยืนอยู่ด้านข้าง โค้งกายเอ่ย

ในใจของมู่ชิงเกอรู้สึกหมดคำจะพูด ค่อยๆ พยักหน้าเดิน ไปข้างหน้าต่อ

หลังจากนางจากไปแล้ว คนคนนั้นถึงได้ลอบถอนหายใจ รีบหยิบเอาสิทธิ์แห่งเทพที่ตนเองหมายตามาอย่างระมัดระวังและใส่เข้าไปในจิตวิญญาณของตนเอง

มู่ชิงเกอเดินไปไม่ไกลก็ได้ยินเสียงการต่อสู้นางหยุดแล้วมองไป คนสองคนที่เดิมทีมีสีหน้าดุร้ายบ้าคลั่งกำลังต่อสู้ก้นหน้าดำหน้าแดงนั้นกลับหยุดลงทันทีที่นางมองมา ทั้งยังเผยรอยยิ้มมองมาที่นาง

มู่ชิงเกอขมวดคิ้วและก้าวไปข้างหน้าต่อเงียบๆ

เห็นนางไม่คิดจะสอดมือเข้ายุ่ง คนสองคนที่หยุดชะงักไปก็เริ่มต่อสู้กันอย่างดุเดือดอีกครั้ง

“มู่…เจ้าเมืองมู่…หากว่าท่านถูกใจสิทธิ์แห่งเทพอันนี้ พวกเราก็ไม่กล้าแย่งชิงกับท่าน หากว่าท่านไม่ถูกใจก็ทิ้งให้พวกเราเป็นอย่างไร”

“เจ้าเมืองมู่ เชิญ”

“เจ้าเมืองมู่ ท่านดูสิทธิ์แห่งเทพอันนี้…”

ตลอดเส้นทาง มู่ชิงเกอได้ยินคำพูดทำนองนี้มาไม่รู้กี่รอบ ทำเอานางรู้สึกสงสัยในตนเอง ‘หรือว่าใบหน้านางดู ดุร้ายน่ากลัว หรือท่าทางของนางเหมือนจะไปชิงของหรือ’

เมื่ออยู่ต่อหน้าเหล่าปีศาจเฒ่า นางก็คือเด็กน้อยคนหนึ่ง แต่เมื่ออยู่ต่อหน้ารุ่นเยาว์เหล่านี้นางกลับเปลี่ยนเป็น ราชาปีศาจ

ความแตกต่างนี้..

มู่ชิงเกอส่ายหน้าพลางจุปาก รู้สึกว่าตนเองนั้นบริสุทธิ์มาก เห็นได้ชัดว่าบริสุทธิ์ไม่เป็นอันตรายต่อสังคม เช่น…

แค่ก!

มู่ชิงเกอแกล้งไอออกมา พึมพำประโยคหนึ่งขึ้นว่า “ไม่รู้ว่าพวกเขาจะคิดหาวิธีดึงตัวผู้เฒ่าเหนือมังกรไว้ได้หรือไม่ ข้าทั้งกระโดดลงหลุม ทั้งตกลงในทะเลเพลิง ช่วยหลานสาวของเขา เขาอย่าได้หายตัวไปเป็นอันขาดเชียว!”

ผู้เฒ่าเหนือมังกรในใจของมู่ชิงเกอนั้นเป็นกุญแจสำคัญในการหาสิทธิ์แห่งเทพฮุ่นตุ้น

ทันใดนั้นปลายจมูกของมู่ชิงเกอก็ขยับเล็กน้อย

กลิ่นหอมของสมุนไพรบางๆ ลอยเข้ามาในจมูกของนาง “ภายในสุสานเทพมีกลิ่นสมุนไพรได้อย่างไร หรือว่าบางแห่งมีสมุนไพรงอกอยู่” มู่ชิงเกอพึมพำออกมา

มู่ชิงเกอตามกลิ่นหอมของสมุนไพรไปอย่างไม่คิดมาก นางครุ่นคิดมาดีแล้วว่าที่นี่ถูกปิดผนึกมาตั้งนาน หากว่ามีสมุนไพรลํ้าค่าหรือสมบัติปรากฎออกมาก็จะต้องมีค่ามากแน่ หากนางตามไปเก็บก็ถือเป็นการเก็บเกี่ยวผลประโยชน์อย่างหนึ่ง

กลิ่นหอมของสมุนไพรลอยมาไม่ขาดสาย

แต่หากเป็นคนที่ประสาทสัมผัสทั้งห้าไม่ดีหรือไม่รู้จักสมุนไพรแล้วก็จะแยกกลิ่นหอมสมุนไพรจากอากาศไม่ออก

การตามกลิ่นสมุนไพรนี้ใช้เวลาถึงห้าวันห้าคืน

มู่ชิงเกอใช้การดมจำแนกทิศทาง ค่อยๆ ห่างออกจากพื้นที่สุสานหลักและก็ไม่พบใครอีก

วันนี้มู่ชิงเกอเดินทะลุพื้นที่รกทึบเข้าไปในสุสานแห่งหนึ่ง

เพียงเข้ามานางก็ต้องตกตะลึง

นี่เป็นความตกตะลึงที่อาจารย์ปรุงยาเท่านั้นจึงจะมี เพราะว่าตรงหน้าของนางเป็นสวนสมุนไพรขนาดใหญ่ผืนหนึ่ง อีกทั้งยังเต็มไปด้วยสมุนไพรจิตวิญญาณชนิด ต่างๆ ทั้งยังมีตัวยาลํ้าค่ามากมาย

“ผลชาด! เทียนหนานชิง! เสี้ยวชี้จันทร์! หานหยินจู! หญ้าเซียนเถิง…” มู่ชิงเกอกวาดตามองไปแล้วก็ท่องชื่อของสมุนไพรออกมา

สมุนไพรใช้อายุมากำหนดคุณค่า สมุนไพรเหล่านี้เกรงว่าคงเกิดมานับพันปีแล้ว มีค่าหาใดเปรียบ

สวนสมุนไพรแห่งนี้ก็เหมือนกับผู้ชายที่หล่อเหลาที่สุดของโลกมายืนอยู่ตรงหน้าของมู่ชิงเกอ ปลุกเปลวไฟของนางให้ลุกโชน มู่ชิงเกอกลืนนํ้าลายลงคออย่างไม่รู้ตัว ยกมือขึ้นสะบัด

เก็บสวนสมุนไพรแห่งนี้เข้าไปในช่องว่าง

แต่หลังจากนางเก็บไปสองครั้งแล้วก็ชะงัก

“สุสาน!” มู่ชิงเกอพึมพำเอ่ยออกมา

หลังจากสมุนไพรต่างๆ ถูกนางเก็บไปแล้ว ก็เผยให้เห็นแนวหลุมศพขึ้น

ทันใดนั้น ดวงตาของนางก็เปล่งประกายออกมา เอ่ยอย่างตื่นเต้นว่า “ที่นี่เป็นสุสานของอาจารย์ปรุงยา!” นางหาเจอแล้ว

นางต้องการหาสิทธิ์แห่งเทพที่เหมาะสมให้เหมยจื่อจ้ง จ้าวหนานซิง ซางจื่อซู จูหลิงทั้งสี่คน ที่นี่เป็นสถานที่ที่ดีที่สุด ทันใดนั้นนางก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดที่นี่ถึงได้มีสมุนไพรมากมายอยู่ อีกทั้งยังเติบโตได้ดีมาก จะต้องเป็นบรรดาอาจารย์ปรุงยาเผ่าเทพที่ตายแล้วกลายเป็นภูติคอยเพาะเลี้ยงสมุนไพรเหล่านี้ ส่วนเมล็ดของสมุนไพรก็น่าจะนำเข้ามาตอนฝังศพ

บนเนินเขาสีเขียว เปล่งแสงระยิบระยับเหล่านี้ล้วนแต่เป็นสิทธิ์แห่งเทพของอาจารย์ปรุงยาที่มีนับพันอัน!

มู่ชิงเกอรู้สึกดีใจมากพุ่งไปยังสิทธิ์แห่งเทพเหล่านั้นทันที

อีกด้านหนึ่งของสุสาน พวกจีเหยาฮั่วห้าคนร่วมเดินทางไปกับผู้เฒ่าเหนือมังกรและหลานสาว ตลอดเส้นทางพบเจอคนอื่นๆ จำนวนไม่น้อย พวกรุ่นเยาว์นั้นไม่จำเป็นต้องกลัว ส่วนบรรดาปีศาจเฒ่าเมื่อมองเห็นผู้เฒ่าเหนือมังกรก็พากันเงียบเดินอ้อมไป ไม่ได้เข้ามาปะทะ

ตอนนี้ยังไม่ถึงจุดที่ต้องแย่งชิงสิทธิ์แห่งเทพอันเดียว ทุกคนจึงไม่จำเป็นต้องฉีกหน้ากัน

เหยาชิงไห่ล้วงเอาหยกพกชิ้นหนึ่งออกมาพลางครุ่นคิดบางอย่าง

เขาเดินไปที่ข้างกายของพู่เฒ่าเหนือมังกร ตอนที่ผู้เฒ่าเหนือมังกรมองมาที่เขานั้น เขาจึงเอ่ยขึ้นว่า “ผู้อาวุโส ท่านเคยพูดว่า หากร่างของคนในเผ่าเทพไม่มีใครไป เก็บมาฝังไว้ที่นี่ เช่นนั้นสิทธิ์แห่งเทพของเขาก็จะนำพาจิตเทพสายหนึ่งกลับมาที่นี่ใช่ไหม”

ผู้เฒ่าเหนือมังกรพยักหน้า

“เช่นนั้นจะรู้ได้อย่างไรว่าสิทธิ์แห่งเทพนั้นอยู่หรือไม่” เหยาชิงไห่เอ่ยถามอีก

นัยน์ตาของผู้เฒ่าเหนือมังกรหดตัวแล้วเอ่ยว่า “ดูแล้ว จุดมุ่งหมายที่เจ้าเข้ามาไม่ได้มีเพียงแค่หาสิทธิ์แห่งเทพที่เหมาะสมกับตัวเองเท่านั้น หากว่าเจ้ามีของที่เป็นสื่อนำ เมื่อเข้าใกล้แล้วมันก็จะแสดงปฏิกิริยาให้เจ้าเห็นเอง”

เขาไม่ได้ซักไซ้อะไรต่อนั้นทำให้เหยาชิงไห่เผยความซาบซึ้งใจออกมา

เหยาชิงไห่เดินผละออกมาจากข้างกายผู้เฒ่าเหนือมังกร แล้วเอ่ยกับอีกสี่คนว่า “ข้ามีธุระส่วนตัวต้องไปจัดการหน่อยเสร็จแล้วจะกลับมา พวกเจ้าเดินทางไปข้างหน้า ต่อเถอะ เดี๋ยวข้าจะตามพวกเจ้าไปทีหลัง”

เดิมทีพวกเขาก็รวมกลุ่มกันชั่วคราว ทั้งไม่มีกฎที่เข้มงวดมาจำกัด

อีกอย่างตอนนี้มู่ชิงเกอไม่อยู่ กลุ่มขาดหัวใจสำคัญ คำพูดของเหยาชิงไห่จึงไม่มีใครโต้แย้ง เพียงแค่พยักหน้าเล็กน้อย

เหยาชิงไห่จากไปเพียงลำพัง ความอุ่นจากหยกในมือของเขายิ่งร้อนขึ้นเรื่อยๆ

นี่เป็นของที่อาจารย์มอบให้เขาก่อนที่จะออกจากภาคตะวันออกมาที่ภาคกลาง พูดกันว่าเป็นของติดตัวของอาจารย์บรรพบุรุษ เขาสามารถหาอาจารย์บรรพบุรุษ ผ่านทางมันได้ หากว่าหยกไม่มีปฏิกิริยาในสุสานเทพก็หมายความว่าอาจารย์บรรพบุรุษของเขายังมีชีวิตอยู่ แต่หากมีปฏิกิริยาก็หมายถึงอาจารย์บรรพบุรุษได้ดับสิ้นลงแล้ว

จุดมุ่งหมายข้อหนึ่งที่เขาเข้ามาในสุสานเทพก็เพื่อให้แน่ใจว่าอาจารย์บรรพบุรุษของเขานั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่

ภายใต้การนำทางของหยก เหยาชิงไห่ก็ค่อยๆ เดินไปไกลขึ้น

หลังจากผ่านไปไม่กี่วัน เขาก็ได้กลิ่นหอมของสมุนไพรลอยมา ทำให้เขาอดเร่งความเร็วฝีเท้าไม่ได้

ภายในสุสานของอาจารย์ปรุงยา มู่ชิงเกอรวบรวมสิทธิ์แห่งเทพสี่อันครบแล้ว สิทธิ์แห่งเทพทั้งสี่นี้นางเลือกตามความเหมาะสมของพวกเหมยจื่อจ้งทั้งสี่คน เชื่อว่าจะเข้ากับพวกเขาได้อย่างแน่นอน

หลังจากเก็บครบแล้ว เดิมทีนางก็คิดจะจากไป

แต่เหมือนมีอะไรบางอย่างดึงดูดนางให้เดินเข้าไปในส่วนลึกของสุสาน

เมื่อนางเดินไปถึงส่วนที่ลึกที่สุด สมุนไพรที่งอกอยู่ที่นี่ ล้วนแต่เป็นสมุนไพรหายากทั้งหมด ทุกชนิดล้วนแต่มีค่าประเมินไม่ได้ในโลกภายนอก

“ผลศักดิ์สิทธิ์!” มู่ชิงเกอเบิกตากว้าง มองผลไม้เป็นพวงที่แขวนอยู่ทางด้านขวามือของตนแล้วก็เอ่ยขึ้นอย่างตกตะลึง

ต้านซ้ายมือของนางยังมีเครือเจ็ดดาว ไป๋อวี้หลาน จูซาจื้อและสมุนไพรอื่นๆ อีก มูลค่าของสมุนไพรเหล่านี้สูงยิ่งกว่าที่นางเคยพบเจอเมื่อก่อนมากนัก

ครั้งนี้มู่ชิงเกอไม่ได้รีบเก็บสมุนไพร แต่ละสายตาจากบรรดาสมุนไพรไปยังใจกลางของหมู่สมุนไพร ตรงนั้นมีสิทธิ์แห่งเทพอันหนึ่งลอยอยู่กลางอากาศ เปล่ง แสงระยิบระยับ สว่างสดใสสวยงามมาก

ที่สำคัญก็คือ ใต้สิทธิ์แห่งเทพนั้นไม่มีหลุมฝังศพ และไม่มีป้ายหลุมศพใดๆ…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!