Skip to content

พลิกปฐพี 531

ตอนที่ 531

ให้ตายเถอะ! รากวิญญาณของพระชายา

“พระชายา!”

คนนับร้อยคนคุกเข่าอย่างเป็นระเบียบบนพื้น พูดขึ้นด้วยความเคารพ

มู่ชิงเกอยืนชะงักอยู่ที่เดิม รู้สึกมึนงง นี่มันเรื่องอะไรกัน เวลานี้เองก็มีเสียงฝีเท้าดังเข้ามา มู่ชิงเกอขยับคออันแข็งทื่อมองไปข้างหน้า ในที่สุดนางก็มองเห็นคนสองคนที่นางคุ้นเคย

“หวงฝู่ฮ่วน! เฉินปี้เฉิง!” นัยน์ตาของมู่ชิงเกอหดตัวลง เรียกชื่อทั้งสองคนออกมาอย่างตกตะลึง ไม่ใช่ว่านางอยู่ที่สุสานเทพหรือ เหตุใดถึงได้มองเห็นพวกเขาได้ หรือว่า…คงไม่ใช่ว่า…

ทันใดนั้นมู่ชิงเกอก็คิดถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่งขึ้นมา ซีเซียนเสวี่ยเคยพูดว่า ครั้งนี้สุสานเทพและสุสานมารเปิดขึ้นพร้อมกัน ช่องว่างทั้งสองอาจจะเกิดพื้นที่ทับซ้อนขึ้น

‘เช่นนั้นที่ฟ้าดินพลิกกลับเมื่อครู่…’ มู่ชิงเกอคิดถึงสิ่งที่ผ่านมาเมื่อครู่ สองตาค่อยๆ หรี่เล็กลง

หวงฝู่ฮ่วนกับเฉินปี้เฉิงที่รีบนำคนกลุ่มหนึ่งเข้ามา หลังจากมองเห็นมู่ชิงเกอแล้ว นัยน์ตาก็ฉายแววแปลกใจ แต่กลับไม่ได้แปลกใจเท่านาง

ทั้งสองคนสบตากัน ชันเข่าลงกับพื้นทำความเคารพนาง “คำนับอาจารย์แม่!”

ส่วนคนที่ตามพวกเขามาก็พากันคุกเข่าลงกับพื้น ประสานเสียงว่า

“คำนับพระชายา! ขอองค์ราชาและพระชายาอายุยืนเสมอฟ้า ปกครองแดนมมารให้สงบสุขชั่วนิรันดร์!”

“คำนับพระชายา! ขอองค์ราชาและพระชายาอายุยืนเสมอฟ้า ปกครองแดนมมารให้สงบสุขชั่วนิรันดร์!”

“คำนับพระชายา! ขอองค์ราชาและพระชายาอายุยืนเสมอฟ้า ปกครองแดนมมารให้สงบสุขชั่วนิรันดร์!”

“คำนับพระชายา! ขอองค์ราชาและพระชายาอายุยืนเสมอฟ้า ปกครองแดนมมารให้สงบสุขชั่วนิรันดร์!”

คนนับร้อยประสานเสียงขึ้นพร้อมกัน ทำให้วิหคอสูรในป่าแตกตื่น

มู่ชิงเกอได้สติกลับมา ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่า คนที่อยู่ตรงหน้าของตนเองล้วนแต่เป็นคนเผ่ามาร…ไม่ใช่สิ หากพูดให้ชัดหน่อยพวกเขาก็ยังไม่ใช่คนของเผ่ามาร เป็นเพียงแค่คนฝึกวิถีมาร พวกเขาเป็นเหมือนกับหวงฝู่ฮ่วน และเฉินปี้เฉิงที่เข้ามาในสุสานมารเพื่อหาจิตมาร จิตมารเป็นเหมือนสิทธิ์แห่งเทพ เป็นคุณสมบัติของคนฝึกวิถีมารที่จะเข้าสู่แดนมารและก็เป็นรากฐานของการฝึกฝนในแดนมารรกร้างในอนาคต ส่วนนางในตอนนี้ได้เผลอตัวบุกทะลวงเข้ามาในสุสานมารเสียแล้ว

เพียงแต่ที่นางไม่เข้าใจก็คือเหตุใดคนเหล่านี้ถึงได้รู้จักนาง

หวงฝู่ฮ่วนกับเฉินปี้เฉิงรู้จักนางนั้นเป็นเรื่องปกติ แต่คนอื่นๆ เล่า นางเคยไปแดนมารรกร้างก็จริงแต่คนเหล่านี้ก็ยังไม่ได้เข้าสู่แดนมารรกร้างเสียหน่อย

มู่ชิงเกอสงสัยไม่คลาย นางเอ่ยกับทุกคนว่า “พวกเจ้าลุก ขึ้นก่อนเถอะ”

คนนับร้อยทยอยพากันลุกขึ้น

แต่พวกเขาล้วนแต่รักษาความสงบ ยืนอย่างเรียบร้อยอยู่ด้านข้าง มีเพียงสายตาเท่านั้นที่ดูตื่นเต้น

มู่ชิงเกอมองไปทางหวงฝู่ฮ่วนกับเฉินปี้เฉิงแล้วเอ่ยว่า “พวกเจ้าสองคนตามข้ามา”

แน่นอนว่าทั้งสองคนรู้ว่ามู่ชิงเกอกำลังสงสัยอะไรอยู่ในใจ พวกเขายืนขึ้นมาแล้วเดินตามมู่ชิงเกอไปอีกทาง

มู่ชิงเกอเอ่ยเสียงเบาว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น เหตุใดพวกเขาทุกคนถึงได้รู้จักข้า”

หวงฝู่ฮ่วนยิ้มแล้วเอ่ยว่า “เพราะก่อนที่พวกเราจะเข้ามาในสุสานมาร ทุกคนล้วนแต่เห็นภาพเหมือนของเจ้า”

“ภาพเหมือนของข้า!” มู่ชิงเกอตกตะลึง

เฉินปี้เฉิงมองนางแล้วพูดว่า “ท่านอาจารย์วาดเอง”

ซือมั่ววาดภาพเหมือนของนางหรือ เหตุใดนางถึงไม่รู้

มู่ชิงเกอชะงักค้างอยู่ที่เดิมด้วยสีหน้ามึนงง

หวงฝู่ฮ่วนยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ครั้งนี้สุสานเทพและสุสานมารจะเกิดพื้นที่ทับซ้อน ท่านอาจารย์อาจจะคาดการณ์ได้ว่าพวกเราอาจจะพบเจอเจ้า และก็เป็นกังวลว่าเจ้าจะพบเจอกับความลำบากในสุสานเทพ ดังนั้นจึงให้คนนำรูปเหมือนของเจ้าและประกาศสถานะของเจ้าให้แก่ทุกคนที่เข้ามาในสุสานมารได้รู้ ท่านอาจารย์หวังว่าหากพวกเราพบเจอเจ้าที่นี่แล้วจะสามารถช่วยเจ้าได้ อีกทั้งก่อนที่พวกเราเข้ามาก็ยังได้รับคำสั่งว่าหากพบเจอเจ้าก็ให้ฟังคำสั่งเจ้า”

มู่ชิงเกอประหลาดใจ ซือมั่วไม่เคยบอกนางเรื่องนี้ แต่กลับจัดการทุกอย่างให้นางอย่างเงียบเชียบ

หากพูดว่าไม่ซาบซึ้งก็คงโกหก มู่ชิงเกอรู้สึกอบอุ่นในใจ รู้สึกถึงความหวานชื่นวินาทีนี้นางแทบอยากจะไปปรากฎตัวต่อหน้าซือมั่วและตกรางวัลให้เขาเสียเดี๋ยวนี้เลย

มู่ชิงเกอกดความซาบซึ้งในใจลงไป มองเหล่าคนที่ฝึกวิถีมารแล้วเอ่ยถามว่า “พวกเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกันจริงๆ ไม่เหมือนคนในสุสานเทพที่แย่งชิงกันเอง”

หวงฝู่ฮ่วนอธิบายว่า “จิตมารจะเลือกเจ้าของเอง ตามปกติแล้วจะไม่เกิดสถานการณ์การเลือกเจ้าของสองคน ดังนั้นพวกเราจึงเดินทางร่วมกันได้โดยไม่ขัดแย้งและพวกเราก็ยังสามารถบ่มเพาะมิตรภาพและความเข้าใจซึ่งกันและกัน วันต่อไปเมื่อเข้าไปในแดนมารแล้ว พวกเราทุกคนก็ถือว่าเป็นพี่น้องกัน”

เมื่อมู่ชิงเกอฟังจบก็ถอนหายใจในใจ

คนบนโลกล้วนคิดว่ามารนั้นฆ่าคนเป็นผักปลา เลือดเย็น ไร้จิตใจ แต่ในความเป็นจริงการฝึกฝนวิถีมารคือการทำตามใจชอบ ให้ความสำคัญกับนํ้าใจ มองดูเหมือนไร้ความรู้สึกแต่แท้จริงกลับเมตตา แบ่งแยกบุญคุณความแค้นอย่างชัดเจน แต่เทพนั้นกลับกัน ฟังดูสูงส่งและศักดิ์สิทธิ์แต่กลับวางแผนทำร้ายกันเองอย่างโหดเหี้ยมอำมหิตเพื่อผลประโยชน์ของตน ดูเหมือนมีความเมตตา และความยุติธรรม แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับเห็นแก่ตัวและโหดเหี้ยมเป็นที่สุด

มู่ชิงเกอไม่รู้ว่าการตัดสินของตนเองนั้นลำเอียงหรือไม่ แต่นับตั้งแต่ได้สัมผัสมาถึงตอนนี้นางก็รู้สึกเช่นนี้ ถ้าหากไม่ใช่ว่านางต้องไปแผ่นดินเทพเพื่อจัดการเรื่องบางเรื่องแล้ว นางรู้สึกว่านิสัยของมารต่างหากถึงเหมาะกับนาง

“อาจารย์แม่…”

“พวกเจ้าเรียกข้าว่าคุณชายมู่หรือมู่ชิงเกอเหมือนเดิมเถอะ” มู่ชิงเกอตัดบทพูดของหวงฝู่ฮ่วน เมื่อคำว่าอาจารย์แม่ออกมาจากปากของสองคนนี้แล้ว นางมักจะรู้สึกแปลกๆ

หวงฝู่ฮ่วนกับเฉินปี้เฉิงมองหน้ากันแวบหนึ่งแล้วก็พยักหน้า

“เช่นนั้นก็เรียกเจ้าว่าคุณชายแล้วกัน เรียกชื่อตรงๆ ดูไม่เคารพเท่าไหร่” หวงฝู่ฮ่วนเอ่ย

มู่ชิงเกอหัวเราะอย่างขี้เล่นขึ้นมา “เป็นอย่างไรฝึกมารแล้วยังจะเคร่งครัดกับขนบธรรมเนียมอีกหรือ มารไม่ใช่ว่าทำตามใจชอบ ไม่สนใจกฎระเบียบมิใช่หรือ”

หวงฝ่ฮ่วนยิ้มเอ่ยว่า “ถึงจะพูดเช่นนั้น แต่การทำตามใจชอบก็ต้องมีขอบเขต ลำดับอาวุโสไม่อาจทำเป็นเล่นได้”

“คุณชาย ฟ้าดินพลิกกลับเมื่อครู่ทำให้บางจุดของสุสานเทพและสุสานมารทับซ้อนกัน ตอนนี้เจ้ามีแผนการอย่างไร” หวงฝู่ฮ่วนเอ่ยถาม

มีแผนการอย่างไรงั้นหเรือ

มุมปากของมู่ชิงเกอกระตุก นางถูกไล่ฆ่าจนหนีมาถึงมาที่นี่ ตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าบรรดานักฆ่าจากตำหนักเทพและอีกาทองสามเท้าอยู่ที่ไหน

นางขมวดคิ้ว เอ่ยถามว่า “สุสานเทพและสุสานมารทับซ้อนกันที่ไหน”

เมื่อได้ยินคำพูดของนางแล้วหวงฝู่ฮ่วนก็เอาของบางอย่างออกมา

ของสิ่งนี้ดูเหมือนจะเป็นแผนที่สามมิติ มีสองพื้นที่ที่แตกต่างกันตอนนี้กลายเป็นแนวตั้งและแนวนอนพัวพันกันอยู่

“เจ้าดู ด้านนี้คือสุสานมาร” หวงฝู่ฮ่วนชี้ไปที่แนวนอน แล้วก็ค่อยๆ ชี้ไปยังพื้นที่ที่เอียงเล็กน้อย เอ่ยแนะนำกับมู่ชิงเกอว่า “ที่ตั้งขึ้นมานี้ก็คือสุสานเทพแล้ว”

สองพื้นที่พันเกี่ยวกันกลายเป็นมุมฉาก บริเวณที่พันเกี่ยวกันก็คือตำแหน่งมุมฉากนั้น

“ตอนนี้พวกเราอยู่ที่นี่ ในพื้นที่วงกลมโดยรอบนับร้อยลี้ ล้วนแต่เป็นพื้นที่ทับซ้อน ก็หมายถึงว่าพวกเราก้าวอีกก้าวเดียวก็จะเข้าไปในสุสานเทพ หากถอยหลังอีกก้าวก็ จะกลับมาถึงสุสานมาร คนของฝั่งทางสุสานเทพก็เช่นเดียวกัน” หวงฝู่ฮ่วนชี้จุดทับกันให้มู่ชิงเกอฟัง

เมื่อดูแผนที่นี้แล้ว ในใจของมู่ชิงเกอก็เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างสุสานเทพและสุสานมารในตอนนี้เอง พูดง่ายๆ ก็คือ ก่อนหน้านี้สุสานเทพและสุสานมารล้วน แต่เป็นสองพื้นที่ที่ไม่เกี่ยวข้องกัน แต่ครั้งนี้สุสานเทพและสุสานมารเปิดขึ้นพร้อมกัน และก็เป็นเพราะพลังบางอย่างหรือโชคชะตาทำให้เกิดการสับสนจนทับซ้อนกัน

บริเวณที่ทับซ้อนเกิดเป็นความสับสนวุ่นวาย คนของคนในสุสานเทพและสุสานมารสามารถเข้าไปในช่องว่างที่แตกต่างกันได้

‘ทับซ้อนเพื่ออะไรกัน’ มู่ชิงเกอคิดในใจ

นางรู้สึกว่าการทับซ้อนครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ มู่ชิงเกอส่ายหน้าขมวดคิ้วครุ่นคิด เรื่องสำคัญที่สุดของนางในตอนนี้ไม่ใช่การทำความเข้าใจถึงสาเหตุและผลลัพธ์ของการทับซ้อนนี้แต่เป็นการเร่งหาสิทธิ์แห่งเทพฮุ่นตุ้น

สิทธิ์แห่งเทพฮุ้นตุ้นเป็นสิทธิ์แห่งเทพของบรรพเทพ เขาเป็นเจ้าแห่งเทพและมาร สุสานลึกลับมาก สิทธิ์แห่งเทพของเขาก็ต้องอยู่ในสุสานของเขา หากจะหาสิทธิ์แห่งเทพฮุ้นตุ้นก็ต้องหาสุสานของบรรพเทพให้เจอก่อน

ส่วนการจะหาสุสานของบรรพเทพให้เจอ เบาะแสที่มีในตอนนี้ก็คือผู้เฒ่าเหนือมังกร

มู่ชิงเกอมั่นใจมากว่าผู้เฒ่าเหนือมังกรจะต้องรู้ข้อมูลลับบางอย่าง และก็รู้ว่าสุสานบรรพเทพอยู่ที่ไหน มิเช่นนั้นก็ไม่สามารถเอามันมาเป็นเงื่อนไขคุยกับนางได้

ดังนั้นดูแล้วตอนนี้สิ่งที่นางต้องรีบทำคือการหาผู้เฒ่าเหนือมังกรให้พบ

“มู่ชิงเกอ เจ้าอยู่ที่นี่เอง!” ทันใดนั้นก็มีเสียงดุดันดังเข้ามา

พวกมู่ชิงเกอสามคนหันมองไปก็มองเห็นบรรดานักฆ่า ของตำหนักเทพพุ่งมาที่นาง แต่พวกเขาเพิ่งก้าวออกมาก้าวเดียวก็หายตัวไปจากตรงหน้านาง

“คนเหล่านั้นเป็นใคร” เฉินปี้เฉิงเอ่ยถาม

มู่ชิงเกอยิ้มเยาะ เอ่ยเยาะเย้ย “คนที่มาฆ่าข้า”

คำพูดของนางทำให้นัยน์ตาของหวงฝู่ฮ่วนกับเฉินปี้เฉิงฉายแวววาววาบ เผยความเคร่งขรึม

หวงฝู่ฮ่วนเอ่ยว่า “ตอนนี้ช่องว่างเพิ่งจะทับซ้อนกันยังไม่เสถียร ดังนั้นถึงเกิดสถานการณ์อย่างนี้ขึ้น แต่เมื่อเสถียรแล้ว พวกเขาก็จะสามารถเข้ามาได้ ถึงตอนนั้นพวกเราก็ฆ่าพวกเขาได้”

“ข้าต้องกลับไปสุสานเทพ” มู่ชิงเกอนิ่งคิด แต่ก็ยังตัดสินใจจะไปหาผู้เฒ่าเหนือมังกร

“พวกเราจะไปกับเจ้า” เฉินปี้เฉิงเอ่ย เมื่อรู้ว่ามีคนต้องการฆ่ามู่ชิงเกอแล้ว พวกเขาไม่อาจดูอยู่ข้างๆ เฉยๆ ได้ นี่ไม่ใช่เพราะเป็นคำสั่งจากองค์ราชาเท่านั้น แต่เพราะมู่ชิงเกอเป็นเพื่อนของพวกเขา

“พวกเราล้วนแต่ฟังคำสั่งเจ้า ข้าจะเรียกพวกปีศาจเฒ่าที่ฝึกวิถีมารออกมา อาศัยสถานะของเจ้า พวกเขาจะกล้าไม่ฟังหรือ” หวงฝู่ฮ่วนหยิบสัญญาณไฟออกมา ปล่อยขึ้นกลางอากาศ มู่ชิงเกอไม่ได้ห้ามปรามเขา ในใจของนางเข้าใจดีว่าแดน มารกับแผ่นดินเทพนั้นไม่เหมือนกัน เจ้าแห่งมารมีเพียงซือมั่วคนเดียว ไม่ว่าจะเป็นใครหากเข้าไปในแดนมารก็ต้องฟังคำสั่งของซือมั่ว นางเป็นภรรยาของซือมั่วซึ่งก็คือนายหญิงของพวกเขา ก็เหมือนกับที่หวงฝู่ฮ่วนพูด พวกเขาไม่กล้าไม่เชื่อฟังคำสั่งของนาง

คนเหล่านี้เป็นพลังสนับสนุนที่ซือมั่วมอบให้นาง และนางก็กำลังต้องการพอดีจึงไม่จำเป็นต้องปฏิเสธตามมารยาท

“พวกเขาต้องใช้เวลาครึ่งวันถึงจะมาถึง ครึ่งวันนี้ ช่องว่างที่ทับซ้อนจะเสถียรขึ้น ถึงตอนนั้นค่อยกลับไปสุสานเทพก็ไม่สาย” หวงฝู่ฮ่วนเสนอ

มู่ชิงเกอพยักหน้า นางก็สามารถฉวยโอกาสนี้พักผ่อนสักหน่อย

หลังจากจัดการทุกอย่างแล้ว มู่ชิงเกอก็หาหินใหญ่ก้อนหนึ่งแล้วนั่งสมาธิอยู่บนนั้น เริ่มปรับลมปราณ ใต้ก้อนหินใหญ่ มีดอกไม้ใบหญ้าที่แปลกตาแย่งกันเบ่งบานดูสวยงามมาก

ผู้ฝึกวิถีมารนับร้อยพากันนั่งโอบล้อมหินก้อนใหญ่เพื่อคุ้มครองนางเงียบๆ ฝึกปรือของใครของมันไป

จิตวิญญาณในสุสานเทพไหลเข้ามาตามรอยแยกของพื้นที่ทับซ้อนดุจดั่งแสงดาวระยิบระยับค่อยๆ พัวพันรอบตัวมู่ชิงเกอ ทำให้นางดูศักดิ์สิทธิ์งดงามเป็นพิเศษ

ผู้เฒ่าเหนือมังกรและเหยาชิงไห่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ฟ้าดินพลิกกลับก่อนหน้านี้ทำให้เขานิ่งเงียบไป

เขาเงยหน้าขึ้นแล้วถอนหายใจเอ่ยว่า “ช่างเป็นคนที่มีวาสนาจริงๆ โอกาสหายากเช่นนี้ก็ล้วนแต่ถูกนางพบเจอ แล้วดูแล้วสิทธิ์แห่งเทพฮุ้นตุ้นที่เงียบมานานก็คงอดไม่ไหวคิดอยากจะหาเจ้าของคนใหม่แล้ว”

“ผู้อาวุโส เมื่อครู่นี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ” เหยาชิงไห่อดถามไม่ได้

ผู้เฒ่าเหนือมังกรปรับอารมณ์มองเขาแล้วเอ่ยว่า “พูดกันว่า ทุกๆ หมื่นปีสุสานเทพและสุสานมารจะเกิดการทับซ้อนในบางจุดขึ้น การเคลื่อนไหวเมื่อครู่ก็น่าจะเป็นทั้งสองที่เกิดการทับซ้อนขึ้นแล้ว”

นัยน์ตาของเหยาชิงไห่หดตัวลงเอ่ยถามว่า “เช่นนั้นพวกเราก็อาจจะมีโอกาสได้พบเจอคนที่ฝึกวิถีมารน่ะสิ”

ผู้เฒ่าเหนือมังกรหัวเราะ “มารแล้วจะเป็นอย่างไร เจ้าคิดว่าเป็นเทพแล้วจะเป็นคนดีงั้นหรือ”

เหยาชิงไห่นิ่งเงียบ แน่นอนว่าเขาไม่ได้คิดเช่นนี้ แค่เรื่องของอาจารย์บรรพบุรุษ เขาก็รู้แล้วว่าเผ่าเทพบนแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารนั้นเป็นคนอย่างไร

เหตุการณ์ฟ้าดินพลิกกลับทำให้ทุกคนในสุสานเทพและสุสานมารแตกตื่น

ทุกคนเข้าไปใกล้กับบริเวณพื้นที่ทับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ

ตอนนี้มู่ชิงเกออยู่ในสุสานมารดำดิ่งเข้าไปในการฝึกฝน ทันใดนั้นพลังจิตที่เข้ามาในร่างกายของนางก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้นางดูศักดิ์สิทธิ์มากยิ่งขึ้น

แสงชนิดนั้นทำให้ผู้ฝึกวิถีมารนับร้อยรู้สึกไม่สบายตัว พวกเขาลืมตาขึ้นมองพระชายาของพวกเขา ทันใดนั้น เหนือหัวของนางก็เกิดเมฆเคราะห์รวมตัวขึ้น

“เกิดอะไรขึ้น?” ผู้ฝึกวิถีมารนับร้อยลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วแล้วถอยออกไปด้านหลัง

“พระชายาจะเผชิญเคราะห์หรือ” มีคนเอ่ยข้อเท็จจริงออกมา

ในตอนนี้เอง เคราะห์อัสนีสายหนึ่งก็ตกลงมาจากเมฆเคราะห์พุ่งไปยังวิญญาณเทวะของมู่ชิงเกอ แต่ท่าทีของนางกลับสงบนิ่งมากเหมือนรูปแกะสลัก ไม่รู้สึกอะไรเลยสักนิด

เปรี้ยง!

เคราะห์อัสนีฟาดผ่าลงบนร่างกายของมู่ชิงเกอ

จากนั้นบนร่างของนางกลับปรากฎแสงห้าชนิดขึ้นมาและพุ่งขึ้นไปบนฟ้า

ที่หว่างคิ้วของนางมีรอยสลักห้าสีปรากฎขึ้นวับๆ แวมๆ เมฆเคราะห์เหนือหัวเริ่มเคลื่อนพลังที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าพร้อมที่จะปลดปล่อย

“รอยสลักห้าชนิด! พระชายามีรากวิญญาณถึงห้าชนิดเชียวรึ!”

“สวรรค์! พระชายาร้ายกาจเกินไปแล้ว!”

“รากวิญญาณห้าชนิดตั้งแต่บรรพกาลมาก็ไม่เคยปรากฎมาก่อน!”

คนฝึกวิถีมารนับร้อยแตกตื่นขึ้นมา

ส่วนอีกด้านหนึ่ง ผู้เฒ่าเหนือมังกรเงยหน้าขึ้นมองแสงห้าชนิดที่พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าแล้วก็เอ่ยขึ้นอย่างตกตะลึงว่า “ห้าชนิด…ถึงกับมีคนมีรากวิญญาณถึงห้าชนิดเชียวรึ!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!