Skip to content

พลิกปฐพี 535

ตอนที่ 535

สุสานในสุสาน

“ผู้อาวุโสมีวิธีทำลายค่ายกลหรือไม่” มู่ชิงเกอเงยหน้า ใช้ดวงตาที่สดใสมองไปที่ผู้เฒ่าเหนือมังกร

แต่ผู้เฒ่าเหนือมังกรกลับไม่ตอบ เพียงแค่เงยหน้ามองท้องฟ้า

บนท้องฟ้า นอกจากเมฆสีขาวแล้วก็ไม่มีอะไรอื่น ไม่รู้เลยว่าเขากำลังมองดูอะไร

มู่ชิงเกอไม่ได้ส่งเสียงรบกวนเขา นางมักจะรู้สึกว่าผู้เฒ่าเหนือมังกรจะไม่ทำเรื่องที่ไร้ประโยชน์

แต่จีเหยาฮั่วกลับรอนานขนาดนั้นไม่ได้ เขาเงยหน้าขึ้นและเลียนแบบผู้เฒ่าเหนือมังกร มองขึ้นไปบนฟ้า ถามว่า “ผู้อาวุโสมองอะไรอยู่”

ผู้เฒ่าเหนือมังกรถอนสายตากลับ ถลึงตามองจีเหยาฮั่วแวบหนึ่ง แล้วถึงมองมู่ชิงเกอแล้วเอ่ยว่า “น่าจะได้เวลาแล้ว ไปเถอะ”

ไปหรือ

ไปไหน

ไปสุสานบรรพเทพหรือ!

ภายในหัวของมู่ชิงเกอเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา ในที่สุดนางก็พยักหน้า แต่นางก็ยังบอกพวกจีเหยาฮั่วว่า “ข้าจะไปที่ๆ หนึ่งเกรงว่าจะมีอันตรายมาก พวกเจ้าหาสิทธิ์แห่งเทพเจอหรือยัง หากยังหาไม่เจอก็ออกไปหาก่อน หากหาเจอแล้วก็ไม่จำเป็นต้องไปเสี่ยงกับข้า”

“ข้าจะไปกับเจ้า” ซีเซียนเสวี่ยพูดออกมาตรงๆ

เหยาชิงไห่ก็แสดงท่าที “ครั้งนี้ที่เข้ามาในสุสานเทพ ตอนผ่านภูเขาค่ายกล หากไม่มีเจ้าเกรงว่าคงจะติดอยู่ในนั้น ไม่สามารถจากไปได้ สิทธิ์แห่งเทพนั้นพวกเราหาพบแล้วแต่ก็ไม่สามารถข้ามนํ้าตัดสะพานได้ข้ าก็จะไปกับเจ้าด้วย”

“ชิงเกอ พวกเราร่วมสาบานกันแล้ว จะให้ทิ้งเจ้าไปได้อย่างไร” จีเหยาฮั่วพูดอย่างจริงจัง

อิ๋งเจ๋อพยักหน้า เห็นด้วยกับคำพูดจีเหยาฮั่ว

เว่ยมั่วลี่ก็ยิ่งใช้การกระทำในการแสดงออกโดยการไปยืนข้างกายมู่ชิงเกอ

“พวกเจ้า…” มู่ชิงเกอมองพวกเขา จิตใจสับสนวุ่นวาย

การเดินทางมาที่สุสานเทพในครั้งนี้ พวกเขาเป็นกลุ่มเดียวกันทำให้ลดปัญหาลงไปได้มากนี้เป็นความจริง แต่ตัวนางเองกลับรู้สึกว่าไม่ได้ออกแรงมากสักเท่าไหร่ ตอนนี้จะทำให้ทุกคนเสี่ยงอันตรายเพราะเรื่องของตนเอง ทำให้นางไม่ค่อยสบายใจนัก

นางมองไปทางหวงฝู่ฮ่วนและเฉินปี้เฉิงสองคน

หวงฝู่ฮ่วนเข้าใจความหมายของนาง เอ่ยขึ้นตรงๆ ว่า “พวกเรามาตามคำสั่ง ไม่จำเป็นต้องสนใจ”

ในบรรดาผู้ฝึกวิถีมาร มีปีศาจเฒ่าระดับข้ามผ่านคนหนึ่งยิ้มเอ่ยว่า “พวกเราก็อยากเห็นสุสานบรรพเทพสักครั้ง”

มู่ชิงเกอหัวเราะอย่างขบขันในใจ มองผู้เฒ่าเหนือมังกร

ผู้เฒ่าเหนือมังกรพยักหน้าเอ่ยว่า “ไปด้วยกันเถอะ อันตรายของการมาสุสานเทพในครั้งนี้ ยังไม่ได้เริ่มต้นอย่างเป็นทางการเลย”

หลังจากพวกมู่ชิงเกอได้ยินคำพูดนี้ของเขาแล้ว นัยน์ต ก็หดตัวลง เหมือนจะเอ่ยถามพร้อมกันว่า ‘หมายความว่าอย่างไร’

ผู้เฒ่าเหนือมังกรเอ่ยว่า “ดูแลสิทธิ์แห่งเทพของพวกเจ้าให้ดีๆ ตอนนี้มันยังไม่ใช่ของพวกเจ้า ก่อนที่สุสานเทพจะปิดสามวัน จะมีสิทธิ์แห่งเทพบางอันที่ไม่ยอมจากไปจะหายไปเอง เวลานั้นถึงจะเป็นช่วงเวลาแห่งการแย่งชิงที่แท้จริง”

สิทธิ์แห่งเทพหายไป!

มีเรื่องเช่นนี้อยู่ด้วยหรือ ทุกคนตกตะลึง ซีเซียนเสวี่ยขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ข้าเคยได้ยินมาจริงๆ ว่า ก่อนสุสานเทพจะปิดสามวันนั้นเป็นช่วงสำคัญ ต้องระวังเป็นพิเศษ”

“ผู้อาวุโส สามารถอธิบายให้ชัดเจนขึ้นหน่อยได้หรือไม่”

จีเหยาฮั่วอดไม่ได้จึงถามผู้เฒ่าเหนือมังกร

ผู้เฒ่าเหนือมังกรโยกหัวเอ่ยว่า “พูดง่ายๆ ก็คือสิทธิ์แห่งเทพล้วนแต่มีจิตวิญญาณ เจ้าเลือกมัน มันก็จะพิจารณาเจ้าไปสักระยะหนึ่ง หากรู้สึกว่าเจ้าเหมาะที่จะเป็นเจ้าของมันก็จะตามเจ้าจากไป แต่หากรู้สึกว่าไม่เหมาะก็จะหายไปเอง ส่วนในสามวันสุดท้าย สิทธิ์แห่งเทพในสุสานเทพจะหลับใหลไม่อาจถูกเลือกได้อีก สิทธิ์แห่งเทพของใครหายไปแล้ว ก็จะไม่สามารถเลือกได้อีก เจ้าคิดว่าคน เหล่านั้นจะทำอย่างไรเล่า”

“จะแย่งสิทธิ์แห่งเทพของบรรดาคนที่ยังไม่จากไป!” จีเหยาฮั่วพูดออกมา

ผู้เฒ่าเหนือมังกรพยักหน้า “ไม่ผิด! สิทธิ์แห่งเทพในเวลานั้นมีจำกัดและก็เป็นเวลาที่มืดมนและนองเลือดที่สุด นิสัยของทุกคนจะถูกเปิดเผยออกมา”

พูดแล้วเขาก็ถอนหายใจพูดว่า “ธรรมชาติของมนุษย์นั้น มีความโลภ ความชั่ว ความอิจฉา”

‘ธรรมชาติของมนุษย์นั้นมีความโลภ ความชั่ว ความ อิจฉา…เป็นคำนิยามถึงนิสัยของคนที่ดีประโยคหนึ่งเลย’ มู่ชิงเกอลอบเอ่ยในใจ

เหยาชิงไห่ขมวดคิ้ว เอ่ยปากว่า “พูดเช่นนี้ทางที่ดีพวกเราควรเกาะกลุ่มกันเอาไว้ สามวันสุดท้าย เกรงว่าสุสานเทพจะสับสนวุ่นวาย”

“ก่อนสามวันสุดท้าย สุสานเทพและสุสานมารจะแยกกันอีกครั้ง” ผู้เฒ่าเหนือมังกรเอ่ยขึ้นอีกหนึ่งประโยค นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแวววาววาบ เอ่ยเสียงเข้มว่า “ก็หมายถึงว่า ก่อนสามวันสุดท้ายสุสานบรรพเทพจะหายไป”

การทับซ้อนกันระหว่างสุสานเทพและสุสานมารก็มีเพื่อเปิดเผยสุสานบรรพเทพ เพียงแต่แยกออกจากกันแล้ว คนที่สมควรกลับไปยังสุสานมารก็ต้องกลับสุสาน มาร คนที่ควรอยู่ในสุสานเทพต่อก็จะอยู่ในสุสานเทพ

ผู้เฒ่าเหนือมังกรพูดกับนางว่า “ออกเดินทางจากที่นี่ไปถึงสุสานบรรพเทพ ข้าจะช่วยเจ้าเต็มที่ แต่หลังจากเข้าสู่สุสานบรรพเทพแล้ว ข้าจะพาสวี่สวี่จากไป”

“ท่านปู่ เหตุใดพวกเราต้องไปด้วย” สวี่สวี่พูดอย่างไม่ยินยอม นางรู้สึกว่าเดินทางไปกับพวกมู่ชิงเกอนั้นดีแล้ว ไม่อยากจากไปเช่นนี้

ผู้เฒ่าเหนือมังกรกลับยกมือตัดบทพูดของนาง ยังคงมองไปที่มู่ชิงเกอแล้วเอ่ยว่า “เวลามีไม่มากแล้ว ข้าไม่อาจเสียเวลาอยู่ในสุสานบรรพเทพกับเจ้าได้ ก่อนที่สิทธิ์ แห่งเทพจะหลับใหล ข้าจะต้องหาสิทธิ์แห่งเทพเจ็ดสีให้เจอ”

มู่ชิงเกอพยักหน้า “ดี เอาตามนั้น!”

ที่ผู้เฒ่าเหนือมังกรพูดนั้นเป็นความจริง นางไม่มีเหตุผลจะไปบังคับเขาให้อยู่

เมื่อเข้ามาในสุสานเทพ เวลาของทุกคนล้วนแต่มีค่า

“พวกเรารีบไป สุสานเทพและสุสานมารทับซ้อนกันเช่นนี้จะต้องดึงดูดให้มีคนมากมายมาที่นี่ ตอนนี้เป็นเวลาที่พลังของบ่อเลือดมังกรอ่อนแอที่สุด เกรงว่าคงขวางคนมากขนาดนั้นไม่ไหว” ผู้เฒ่าเหนือมังกรพาสวี่สวี่นำไปยังบ่อเลือดมังกร

มู่ชิงเกอรีบตามไปในทันที พวกจีเหยาฮั่วก็ไม่ได้แสดงท่าทางขลาดกลัวทยอยตามไปทันที หวงฝู่ฮ่วนกับเฉินปี้เฉิง ก็พาผู้ฝึกวิถีมารนับรอยตามไป

มู่ชิงเกอเดินไปข้างกายผู้เฒ่าเหนือมังกร เอ่ยปากถามว่า “ผู้อาวุโส ข้ามีเรื่องหนึ่งไม่เข้าใจ”

ผู้เฒ่าเหนือมังกรหันมองนาง

มู่ชิงเกอเอ่ยถามว่า “ในเมื่อยุคของบรรพเทพไม่มีแยกเทพมาร เหตุใดสิทธิ์แห่งเทพของเขา…ถึงถูกเรียกว่าสิทธิ์แห่งเทพเล่า”

ผู้เฒ่าเหนือมังกรหัวเราะ “ที่จริงสิทธิ์แห่งเทพกับจิตมารนั้นเป็นของอย่างเดียวกัน เพียงแต่ชื่อเรียกต่างกันเท่านั้น”

“เช่นนั้นก็หมายถึงว่า สิทธิ์แห่งเทพของบรรพเทพก็ดึงดูดเผ่ามารเช่นเดียวกันน่ะสิ” มู่ชิงเกอขมวดคิ้วเอ่ย

ผู้เฒ่าเหนือมังกรกลับเอ่ยว่า “สิทธิ์แห่งเทพของบรรพเทพนั้นเป็นของดี แต่ก็ไม่ใช่ว่าใครก็มีได้ นอกจากคนเช่นเจ้า คนอื่นได้ไปก็ไม่มีประโยชน์หากว่าฝืนหลอมรวมก็จะเกิดการสะท้อนกลับ เดินบนเส้นทางทำลายตนเอง”

“ยังมีอีกเรื่อง” ทันใดนั้นผู้เฒ่าเหนือมังกรก็เอ่ยเตือน “วิธีคลายบ่อเลือดมังกรชั่วคราวนั้นข้ามีอยู่ แต่เพียงแค่ข้าคลาย ในช่วงเวลานั้นใครก็สามารถเข้าไปในจุดที่ถูกคลายได้”

“ผู้อาวุโสคิดจะพูดอะไร” นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแวว วาววาบ

ผู้เฒ่าเหนือมังกรมองนางอย่างมีความหมาย “ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีความเข้าใจสิทธิ์แห่งเทพดีเช่นเจ้า ในสายตาของคนส่วนมาก ของของบรรพเทพนั้นมักจะดีที่สุด”

จากนั้น เขาก็ปรายตามองผู้ฝึกวิถีมารนับร้อยด้านหลังมู่ชิงเกอเอ่ยว่า “อย่าหาว่าข้าใจแคบเลย หากไม่คุ้นเคยก็ระวังตัวหน่อย”

มู่ชิงเกอเลิกคิ้ว พยักหน้ายิ้มบางๆ

ความหวังดีของผู้เฒ่าเหนือมังกรนางรับไว้ด้วยใจแล้ว

บ่อเลือดมังกรเป็นค่ายกลขนาดใหญ่ และผสานเป็นหนึ่งเดียวกับสุสานเทพและมารมานานแล้ว ผู้เฒ่าเหนือมังกรจะร้ายกาจแค่ไหนก็ทำได้แค่ฉีกทางเข้าได้แค่นิด

เดียวให้ทุกคนเข้าไปข้างใน

“ในระหว่างที่ทำลายค่ายกล ไม่รู้ว่าจะมีคนมากมายแค่ไหนบุกเข้าไปตายอยู่ในนั้น ถือว่าพวกเขาโชคร้ายก็แล้วกัน” ผู้เฒ่าเหนือมังกรยิ้มเยาะ หยุดเท้าลง

เขาใช้สองมือจับไม้เท้าหัวมังกร ขยับข้อมือหมุนไม้เท้าหัวมังกรอย่างรวดเร็ว

แสงแสบตาพุ่งออกมาจากไม้เท้าหัวมังกรพุ่งไปโอบคลุมโครงกระดูกมังกร

มู่ชิงเกอเบิกตากว้างมองผู้เฒ่าเหนือมังกร รู้สึกแปลกใจ

เดิมทีนางคิดว่าเขาจะเข้าใจค่ายกลอาคมและมีวิธีทำลายอะไร แต่นางกลับพบว่า วิธีทำลายค่ายกลของผู้ เฒ่าเหนือมังกรนั้นไม่ต้องเตรียมอะไรเลย อาศัยแต่ไม้เท้าหัวมังกรบนมือเขาอย่างเดียว

“ไม้เท้าหัวมังกรของท่านปู่ข้านั้นไม่ได้ได้มาง่ายๆ มีความสามารถในการทำลายค่ายกล” สวี่สวี่อยู่ข้างกายนาง อธิบายประโยคหนึ่ง นํ้าเสียงแฝงไว้ด้วยความ ภาคภูมิใจ

มุมปากของมู่ชิงเกอกระตุกไม่ได้เอ่ยตอบ ยุทธภัณฑ์ที่สามารถทำลายค่ายกลอาคมได้ ทำให้คิดถึงปีนั้นที่นางอยู่ในหลินชวน ของสิ่งนี้คล้ายกันกับมีดที่นาง ได้มาจากฟ่งอวี๋เฟย

เพียงแต่อาวุธกึ่งเทวะเล่มนั้นสามารถทำลายขอบเขตได้ ส่วนไม้เท้าหัวมังกรของผู้เฒ่าเหนือมังกรนั้นสามารถทำลายอาคมได้

แสงที่แสบตากลายเป็นเกราะ สุดท้ายก็รวมตัวอยู่บนมุกมังกร ปิดบังแสงอันสะท้อนตาของมัน

มุกมังกรถูกคลุมเอาไว้ทำให้ทั้งโครงกระดูกมังกรมืดลงมา แม้แต่บ่อเลือดก็เริ่มแห้งเหือด

“รีบไป! ข้ายันไว้ไม่ได้นาน พลังของบ่อเลือดมังกรแข็งแกร่งมาก ข้าไม่มีวิธีทำลายให้สิ้นซาก ทำได้เพียงหยุดไว้ชั่วคราว” ผู้เฒ่าเหนือมังกรเก็บไม้เท้าหัวมังกร หันมองมู่ชิงเกอแล้วพูดหนึ่งประโยค จากนั้นก็ลากสวี่สวี่พุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

มู่ชิงเกอโบกมือ คนด้านหลังล้วนแต่ตามนางพุ่งเข้าไปในบ่อเลือดมังกรอย่างรวดเร็ว

เพิ่งเข้าไปก็รู้สึกถึงกลิ่นอายของความตายอันเย็นยะเยือกก็พุ่งเข้าหาตนเอง ราวกับมีวิญญาณแค้นนับไม่ถ้วนพัวพันร่างกาย คิดจะลากนางลงนรก

“อย่าไปสนใจ บุกเข้าไปเต็มกำลัง!” ผู้เฒ่าเหนือมังกรตะคอกเสียงดัง

เสียงของเขาเหมือนกับเสียงระฆังยามเช้าดังเข้าหูของทุกคน

มู่ชิงเกอกัดฟันตามไปติดๆ

เพิ่งจะเข้าไปใกล้ นางก็ได้ยินผู้เฒ่าเหนือมังกรพูดอย่างมั่นใจว่า “เดิมที ที่นี่ก็คือสถานที่ฝังบรรพเทพ มีสุสานบรรพเทพก่อนแล้วค่อยมีบ่อเลือดมังกร สุดท้ายแล้วถึงกลายเป็นสุสานของเผ่าเทพและเผ่ามาร ที่นี่ก็คือสุสานในสุสาน!”

‘สุสานในสุสาน?’ นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแวววาววาบ หลังจากหนึ่งก้านธูป ผู้เฒ่าเหนือมังกรก็พาพวกมู่ชิงเกอพุ่งเข้าไปในขอบเขตของบ่อเลือดมังกรได้สำเร็จ

เวลานี้เองพวกเขาถึงได้ผ่อนคลายลงชั่วขณะ

“ตอนนี้พวกเราเข้ามายืนอยู่ในดาวมฤตยูแล้ว” มู่ชิงเกอพิจารณาบรรยากาศรอบด้าน เอ่ยกับผู้เฒ่าเหนือมังกร

ผู้เฒ่าเหนือมังกรพยักหน้าเอ่ยว่า “คิดจะเข้าไปในใจกลางของสุสานบรรพเทพยังมีค่ายกลอีกมากมายต้องทะลวงเข้าไป”

เขามองมู่ชิงเกอแล้วเอ่ยว่า “ข้าสามารถส่งเจ้าได้มากที่สุดเพียงถึงประตูสุสานเท่านั้น”

“ขอบคุณผู้อาวุโส” มู่ชิงเกอพยักหน้า

ผู้เฒ่าเหนือมังกรพูดต่อว่า “มีคนมากมายคุ้มครองเจ้า คิดว่าปัญหาคงไม่มาก จะได้สิทธิ์แห่งเทพของบรรพเทพหรือไม่ก็ อาศัยโชคของเจ้าแล้ว สหายน้อย วันหน้าเมื่อถึงแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมาร หากมีโอกาสพวกเราค่อยพบกันใหม่”

ในระหว่างที่ทั้งสองคนคุยกันจีเหยาฮั่วก็เดินไปข้างกายหวงฝู่ฮ่วน เอ่ยเสียงเข้มว่า “นี่ พวกเจ้าเป็นผู้ฝึกวิถีมารใช่ไหม รู้จักกับชิงเกอมานานแล้วหรือ”

ความสงสัยของเขาทำให้หวงฝู่ฮ่วนหันไปมอง แต่จากนิสัยของเขา แน่นอนว่าจะไม่พูดมาก เพียงแค่พยักหน้า ยิ้มอย่างลึกลับเท่านั้น…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!