ตอนที่ 542
ฆ่าเจ้า ออกจากสุสาน!
“ในเมื่อขวางการตัดสินใจของเจ้าไม่ได้ ข้าก็ทำได้เพียงแค่ร่วมเผชิญไปกับเจ้าเท่านั้น”
คำพูดของซือมั่วโจมตีเข้าจุดอ่อนในใจของมู่ชิงเกอ ความรู้สึกซาบซึ้งใจถูกเขาฉีกทำลายจนทะลักออกมา
“เหตุใดเจ้าถึงได้โง่เช่นนี้” คำพูดร้อยพันอัดแน่นอยู่ในใจของมู่ชิงเกอ แต่สุดท้ายนางก็พูดได้เพียงประโยคนี้
ซือมั่วเผยรอยยิ้มอันงดงามออกมา ยกมือแตะที่ปลายจมูกของมู่ชิงเกอเบาๆ “ข้าโง่งั้นหรือ นี้เป็นการตัดสินใจที่ฉลาดที่สุดของข้าต่างหากเล่า”
“แต่ว่าพันปี…” นัยน์ตาของมู่ชิงเกอปรากฎความร้อนใจขึ้นมา
ซือมั่วโอบนางเข้ามาในอ้อมอกให้แก้มของนางแนบที่ตำแหน่งหัวใจของเขาแล้วใช้คางถูเบาๆ บนผมนาง ใช้นํ้าเสียงน่าลุ่มหลงค่อยๆ เอ่ยขึ้นว่า “เช่นนี้ไม่ดีงั้นหรือ เจ้าและข้าไม่อาจเกิดพร้อมกัน แต่สามารถตายพร้อมกันได้ เจ้าก็จะได้ไม่ต้องทิ้งข้าให้โดดเดี่ยวแบกรับความทุกข์ทรมานอยู่คนเดียว และเจ้าก็ไม่ต้องหวาดกลัวกับความน่ากลัวหลังจากพันปีผ่านไปเพราะมีข้าที่จะอยู่เป็นเพื่อนเจ้าจนถึงวินาที่สุดท้าย”
มู่ชิงเกอรู้สึกเหมือนว่ามีก้อนสะอื้นจุกอยู่ที่ลำคอ ดวงตานางร้อนผ่าว
นางมักจะรู้สึกว่าตนเองเป็นคนไร้หัวใจ ไม่ซาบซึ้งกับอะไรง่ายๆ และก็ไม่ค่อยมีอารมณ์อ่อนไหว แต่ในตอนนี้นางพ่ายแพ้แล้ว
นางวางความภาคภูมิใจของนักรบคนหนึ่งลง เป็นเหมือนกับสาวน้อยคนหนึ่งที่พักพิงอย่างสงบในอ้อมอกของเขารับรู้ถึงการคุ้มครองและอบอุ่นจากผู้ชายของตน
คำพูดของซือมั่วทำให้นางไม่มีคำจะตอบโต้
ราวกับว่านางถูกคำพูดของเขาหลอกล่อจนคิดว่าบทสรุปเช่นนี้เท่านั้นถึงจะดีที่สุด แสงสีฟ้าโอบคลุมร่างกายของทั้งสองคน นับตั้งแต่ที่ซือมั่วปรากฎตัว บรรพเทพไท่อีก็ไม่ได้พูดกับมู่ชิงเกออีก เหมือนเขาจะเงียบลงไปกะทันหัน ทั้งยังดูเหมือนว่าหาย ไปอย่างกะทันหันด้วย
แสงสีฟ้าส่งผลต่อจิตวิญญาณของทั้งสองคน
ความเจ็บปวดที่หนักหนาสาหัสยิ่งกว่าอาการบาดเจ็บภายนอกที่รุนแรงที่สุดนับพันนับร้อยเท่าทำให้มู่ชิงเกออดส่งเสียงเจ็บปวดออกมาไม่ได้
เมื่อนางส่งเสียงเช่นนี้ออกมา ซือมั่วก็โอบกอดนางแน่นขึ้น กระซิบข้างหูของนางว่า “ไม่เจ็บนะ ไม่เจ็บ”
การปลอบโยนเบาๆ จากผู้ชายของตนเหมือนกับการปลอบโยนเด็กเล็กไม่รู้ความ ความเอ็นดูในนํ้าเสียงทำให้มู่ชิงเกอรู้สึกขบขัน เขาเองก็กำลังรับความเจ็บปวด เช่นเดียวกัน แต่กลับยังสามารถปลอบโยนนางราวกับไม่เจ็บปวดเช่นนี้ได้อีก
ทันใดนั้นแสงสีฟ้าก็ลุกโชนขึ้นเหมือนกับเปลวไฟ
ความเจ็บปวดที่จิตวิญญาณถูกฉีกพุ่งขึ้นมาอย่างกะทันหันทำให้มู่ชิงเกอและซือมั่วอดอุทานออกมาคำหนึ่งไม่ได้ แต่เขากลับยังคงกอดนางแน่นไม่ยอมปล่อย มือ
ความแปลกประหลาดของทั้งสองคนท่ามกลางแสงสีฟ้า
ทำให้ทุกคนในห้องสุสานรู้สึกถึงความผิดปกติ ชั่วขณะนั้นบรรยากาศก็กลายเป็นตึงเครียดขึ้นมา ในขณะที่มู่ชิงเกอกับซือมั่วล้วนแต่รู้สึกว่าจิตวิญญาณของตนเองกำลังถูกเผาไหม้เพื่อเซ่นสังเวยนั้น เสียงสดใสก็ดังขึ้นรอบกายของพวกเขาอย่างฉับพลัน แสงสีฟ้าที่โอบคลุมตัวพวกเขาแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ราวกับกระจกแล้วก็จางหายไป ส่วนบริเวณที่ทั้งสองคนยืนอยู่ก็เปล่งแสงสว่างแสบตาออกมาจากภายในขอบเขต โอบคลุมไปทั่วทั้งห้องสุสาน
พริบตาเดียวแสงสว่างก็หายไป
ไม่ว่าจะเป็นสองคนในขอบเขต หรือว่าคนนับร้อยในห้องสุสานล้วนแต่หายไปอย่างไร้ร่องรอย
มู่ชิงเกอเซเล็กน้อย ซบเข้าไปในอ้อมกอดที่คุ้นเคยและอบอุ่น
“ระวัง” เสียงของซือมั่วดังขึ้นที่ข้างหูของนาง
หลังจากมู่ชิงเกอยืนอย่างมั่นคงแล้วก็เงยหน้าขึ้น ถึงพบว่าตนเองได้กลับมาที่ใจกลางสุสานอีกครั้ง บริเวณที่วางโลงศพของบรรพเทพไท่อี เงาร่างมายายังคงนั่งอยู่บนบัลลังก์หน้าโลงศพเหมือนเดิม ส่วนในมือเขานั้นก็มีสิทธิ์แห่งเทพฮุ่นตุ้นอยู่
“ยินดีกับเจ้าด้วย เจ้าผ่านด่านแล้ว” บรรพเทพไท่อีเอ่ยปาก
ผ่านด่านแล้ว
มู่ชิงเกอรู้สึกแปลกใจ นางสำรวจตัวเองทันทีแล้วก็พบว่าในจิตวิญญาณของตนเองไม่ได้มีตราประทับของการสังเวย ส่วนจิตวิญญาณที่สูญเสียไปก็ฟื้นคืนดังเดิม ทั้งยังถูกเคี่ยวกรำให้ดีกว่าเดิมหลายส่วน
นางมองซือมั่วอย่างตกตะลึง ส่วนซือมั่วก็พยักหน้า
เขาก็ตรวจสอบจิตวิญญาณของตนเองแล้วเช่นกัน สถานการณ์น่าจะเป็นแบบเดียวกับมู่ชิงเกอ
จิตวิญญาณของพวกเขาทั้งสองคนไม่ได้รับความเสียหาย แต่บรรพเทพไท่อีกลับบอกนางว่า นางผ่านด่านแล้วหรือ
“ข้าไม่เข้าใจ บรรพเทพไท่อี” มู่ชิงเกอมองเงามายาของบรรพเทพไท่อีแล้วพูดออกมาตรงๆ
“บรรพเทพไท่อี?” ซือมั่วได้ยินคำพูดของมู่ชิงเกอ จึงมองไปที่เงามายานั้น นัยน์ตาสีอำพันค่อยๆ หรี่เล็กลง เหมือนกำลังคิดอะไรอยู่
ครู่หนึ่งนัยน์ตาของเขาก็เปล่งประกาย เข้าใจแล้วว่าเงามายานี้เป็นใคร
เขาก็คือเจ้าของคนแรกและคนเดียวของสิทธิ์แห่งเทพฮุ่นตุ้นนั้นเอง
“ไม่ต้องถามข้า ข้าก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร นี้เป็นการตัดสินใจของฮุ้นตุ้นเอง” บรรพเทพไท่อีพูดออกมาตามตรง
การตัดสินใจของฮุ้นตุ้นเองหรือ
มู่ชิงเกอรู้สึกแปลกใจ ต้องบอกว่านางไม่ค่อยอยากจะเชื่อมากกว่า
บรรพเทพไท่อีกลับยกมือขึ้น สิทธิ์แห่งเทพฮุ้นตุ้นค่อยๆ ลอยมาหามู่ชิงเกอ แล้วลอยเข้าไปในหว่างคิ้วของนาง หลังจากสิทธิ์แห่งเทพฮุ้นตุ้นเข้าสู่หว่างคิ้วของนางแล้ว นางถึงได้เชื่อว่าทุกอย่างนี้เป็นความจริง
จนถึงตอนนี้นางก็อดถอนหายใจไม่ได้ การได้รับสิทธิ์แห่งเทพอุ่นคุ้นมานั้นช่าง.. นางไม่รู้จริงๆ ว่าจะอธิบายอย่างไร
“ฮุ้นตุ้นคืออะไร ไม่มีใครรู้ ในยุคนั้นพวกเราฝึกปรือก็ไม่ได้ใช้ของสิ่งนี้สนับสนุน แต่ในตอนที่ทุกคนรู้ว่าของชนิดนี้สามารถช่วยฝึกปรือทั้งยังปรับเปลี่ยนพรสวรรค์ได้ ทุกคนถึงได้เริ่มใช้กันอย่างแพร่หลายมากขึ้น เมื่อรุ่นหลังเกิดขึ้นมาก็พกพาของสิ่งนี้ มันคืออะไรกันแน่นั้น ข้าอยากเรียกมันว่าเป็นขอบเขตชนิดหนึ่งมากกว่า” บรรพเทพไท่อีค่อยๆ เอ่ยขึ้นมา
คำพูดนี้ทำให้มู่ชิงเกอและซือมั่วล้วนแต่รู้สึกมึนงง
โดยเฉพาะซือมั่ว เขาเป็นเจ้าแห่งแดนมารทั้งยังอยู่มานับหมื่นปี ในความเข้าใจของเขาไม่ว่าจะเป็นสิทธิ์แห่งเทพหรือว่าจิตมารก็ล้วนแต่เกิดขึ้นมากับเผ่าเทพและเผ่ามาร คำพูดนี้ของบรรพเทพไท่อีนั้นเขาไม่เคยได้ยินมาก่อน ทั้งยังไม่เคยพบเห็นในบันทึกใดๆ
“ขอบเขต…” มู่ชิงเกอพึมพำออกมา นัยน์ตาฉายแววครุ่นคิด
นางก็ไม่เข้าใจคำพูดของบรรพเทพไท่อีเช่นกัน แต่ก็จดจำเอาไว้
“พวกเจ้าสองคน ไม่เลวเลย…รักษาตัวให้ดีเถอะ” บรรพเทพไท่อีพูดจบแล้ว เงามายาบนบัลลังก์ก็จางหายไป แสงทั่วทั้งห้องสุสานดูเหมือนจะมืดทึบลงเช่นเดียว
กัน
“บรรพเทพไท่อี” มู่ชิงเกอร้องเรียกเบาๆ
นางรู้สึกว่าตนเองยังมีคำถามมากมายอยากขอคำแนะนำจากบรรพเทพไท่อี
แต่เมื่อนางเอ่ยออกไป มือกลับถูกซือมั่วจับเอาไว้แล้ว เอ่ยกับนางว่า “เขาไปแล้ว”
มู่ชิงเกอรู้สึกหดหู่ในใจ ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นมาจากความไม่รู้มากมายเกินไป แม้จะเป็นตอนนี้นางก็ไม่แน่ใจว่า ความสนใจจะตามหาสิ่งที่ไม่รู้นี้แสดงถึงอะไร แต่เมื่อในใจของนางเกิดความสงสัยแล้วก็ต้องตามหาคำตอบให้ได้
“พวกเราไปกันเถอะ” ซือมั่วเอ่ยกับมู่ชิงเกอ
“รอเดี๋ยว” มู่ชิงเกอจับข้อมือของซือมั่ว สองนิ้วแตะลงบนเส้นชีพจรของเขา
เมื่อตรวจชีพจรแล้ว ใบหน้าของนางก็ดูเคร่งขรึมขึ้นตำหนิว่า “เจ้าบาดเจ็บอยู่นิดหน่อยจริงๆ ด้วย เจ้าจะไม่มาโดยพลการเช่นนี้จะได้หรือไม่”
สุสานของบรรพเทพน่าบุกอย่างนั้นหรือไร
ขอบเขตที่ไม่รู้ว่าบรรพเทพหรือว่าสิทธิ์แห่งเทพฮุ้นตุ้นจัดวางไว้นั้นน่าเข้างั้นหรือ
ผู้ชายคนนี้ เห็นชัดว่าได้รับบาดเจ็บแล้ว แต่ก็ยังทำท่าทางเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก หากไม่ใช่ว่านางรู้วิชาแพทย์ก็คงจะถูกเขาหลอกไปแล้ว
“กินไป” มู่ชิงเกอเอายารักษาบาดอาการบาดเจ็บเม็ดหนึ่งใส่เข้าไปในปากของซือมั่ว
ซือมั่วไม่ได้ต่อต้าน แต่กลับกินยาลงไปอย่างเชื่อฟัง นัยน์ตาสีอำพันเต็มไปด้วยความรักอันหวานชื่น
“ไปได้หรือยัง” หลังจากกินยาแล้ว ซือมั่วก็ถามอีกครั้ง เขาไม่อยากอยู่ที่นี่ต่อ ที่นี่เป็นสถานที่ของคนตาย พวกเขาเป็นคนเป็น ไม่ควรอยู่ที่นี่นานเกินไป
“รอเดี๋ยว” แต่มู่ชิงเกอกลับปฏิเสธอีกครั้ง
ภายใต้สายตาสงสัยของเขา มู่ชิงเกอมองไปยังก้อนหินที่คล้ายหยกแต่ไม่ใช่หยกใต้เท้าแล้วเอ่ยถามว่า “เจ้ารู้ว่านี่คืออะไรหรือไม่ ข้ารู้สึกว่าภายในมีพลังชนิดหนึ่งที่คล้ายคลึงกับของศิลาวิญญาณซ่อนอยู่ แตกไม่เหมือนกับที่ศิลาวิญญาณมี”
“นี่เรียกว่าหยกเทพ เป็นเหมือนเงินที่ใช้ในแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมาร และก็เป็นทรัพยากรในการฝึกปรือ การใช้ประโยชน์นั้นไม่ต่างจากศิลาวิญญาณมาก หลังจากเข้าไปในแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารแล้ว พลังจิตในร่างจะเกิดการปรับเปลี่ยน ภายในแผ่นดินเทพทั้งสี่สมุทรนั้นคือพลังจิตเทพ ส่วนในแดนมารรกร้างก็คือพลังจิตมาร และในแดนมารรกร้างหินชนิดนี้ถูกเรียกว่าหยกมารและเป็นลีดำ” ซือมั่วยิ้มบางๆ อธิบายให้มู่ชิงเกอฟัง
“หยกเทพและหยกมาร” มู่ชิงเกอพึมพำขึ้นมา
ซือมั่วพยักหน้าเอ่ยว่า “ในบันทึกนั้น ภูเขาทะเลมีสายแร่จิตวิญญาณ ในสายแร่จิตวิญญาณนั้นให้กำเนิดหินสีดำและขาวออกมา ซึ่งกักเก็บพลังของฟ้าดินเอาไว้ สามารถใช้ฝึกปรือได้”
มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้น เข้าใจอย่างชัดเจน
“ในเมื่อเป็นของดีเช่นนี้ มีอยู่ที่นี่ตั้งมากมาย วางเอาไว้ ก็ไม่มีใครใช้ก็เสียเปล่า ข้ากับบรรพเทพไท่อี จะพูดอย่างไรก็มีไมตรีด้วยกันอยู่ครั้งหนึ่งดูแล้วเขาก็ไม่ใช่คน ที่สุรุ่ยสุร่าย ก่อนจะไปข้าจะนำหยกเทพเหล่านี้ไปด้วย เพื่อทำให้พวกมันเกิดประโยชน์สูงสุด ดีกว่าอยู่ที่นี่อย่างเสียเปล่า” มู่ชิงเกอพูดหลักการต่างๆ นานา มาสร้างเหตุผลที่ดีข้อหนึ่งให้นางได้ ‘ปล้นสุสาน’
ซือมั่วรู้สึกขบขันในใจและยินดีที่จะร่วมเล่นกับนางด้วย เขาพยักหน้าเอ่ยว่า “ใช่ เสี่ยวเกอเอ๋อร์พูดไม่ผิด ทิ้งหยกเทพเหล่านี้ไว้ที่นี่นั้นสิ้นเปลืองเกินไปนำออกไปก็ ถือเป็นการทำบุญอย่างหนึ่ง”
“ข้าพูดได้มีเหตุผลมากใช่ไหมเล่า” นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแวววาววาบ พูดอย่างมีความสุข
ซือมั่วหัวเราะพยักหน้า มองนางอย่างเอ็นดู
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะไม่เกรงใจแล้ว” มู่ชิงเกอพูดจบแล้วก็โบกมือ ขุดเอาพื้นหยกเทพภายในห้องสุสานทั้งหมดเข้าไปในช่องว่าง
รอจนนางขุดพื้นออกมาแล้วถึงได้พบว่า พื้นที่ปูอยู่ในห้องสุสานนั้นไม่ได้มีแค่เพียงชั้นเดียวอย่างที่คิดเอาไว้ แต่หนาถึงหกฉื่อ สูงเท่ากับคนคนหนึ่งเลยทีเดียว
“รวยแล้ว!” นัยน์ตาของมู่ชิงเกอเปล่งประกายออกมา เพิ่มความเร็วในการเก็บหยกเทพเหล่านี้ ทันใดนั้นสุสานบรรพเทพก็เริ่มสั่นไหวอย่างรุนแรง
สีหน้าของมู่ชิงเกอเปลี่ยนไป หลุดเสียงพูดว่า “คงไม่ได้เกิดจากที่ข้าเอาพื้นเหล่านี้ไปหรอกใช่ไหม”
ซือมั่วกลับส่ายหน้าหัวเราะและเอ่ยว่า “ไม่เกี่ยวกับเจ้า เป็นเพราะเวลาที่สุสานเทพและสุสานมารทับซ้อนกันสิ้นสุดลง ตอนนี้ทั้งสองสถานที่จะแยกจากกันอีกครั้ง”
“สุสานเทพและสุสานมารจะแยกจากกันอีกครั้ง นั่นก็หมายความว่าสุสานบรรพเทพก็จะหายไปอีกครั้ง” มู่ชิงเกอพึมพำออกมาประโยคหนึ่ง
จากนั้นพวกเขาทั้งสองก็ถูกแสงที่พุ่งลงมาจากฟ้าโอบคลุมไว้ นำพาพวกเขาออกจากที่นี่
และในขณะเดียวกันในบริเวณที่สุสานเทพและสุสานมารทับซ้อนกัน หากเป็นบริเวณที่มีเงาร่างคนอยู่ก็จะมีแสงทอดลงมาจากฟ้าดูดคนไป
ภายในสุสานบรรพเทพ ตอนที่มู่ชิงเกอกับซือมั่วถูกพาไปยังห้องใจกลางสุสาน คนอื่นๆ ก็ถูกส่งออกไปจากสุสานบรรพเทพกระจายตัวอยู่ในพื้นที่ทับซ้อน
พวกเขามีสีหน้ามึนงงยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นก็ถูกดูดจากไป
ในตอนที่เท้าของพวกเขาเหยียบลงพื้นอีกครั้งนั้น พวกเขาก็ได้กลับไปอยู่ในที่ที่พวกเขาสมควรอยู่แล้ว
เพียงแค่แยกจากเพื่อนที่ร่วมเดินทางบางส่วนเท่านั้น อย่างเช่นคนที่อยู่กับจีเหยาฮั่วในตอนนี้ก็คือซีเซียนเสวี่ย ส่วนอิ๋งเจ๋อ เว่ยมั่วลี่และเหยาชิงไห่สามคนกลับไม่ อยู่ด้วย
มู่ชิงเกอกับซือมั่วจับมือกันปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง
“สุสานเทพ” ซือมั่วมองเห็นภาพบรรยากาศตรงหน้า แล้วเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
มู่ชิงเกอหันมองเขา พูดล้อเล่นว่า “เจ้าแห่งมารเพิ่งเคยมาสุสานเทพเป็นครั้งแรกใช่ไหม”
นัยน์ตาของซือมั่วแฝงรอยยิ้มพยักหน้าเอ่ยว่า “เพราะได้อานิสงส์พระชายา”
ทั้งสองคนสบตากันแล้วยิ้ม ถึงแม้จะเป็นเพียงแค่ชั่วพริบตา แต่ในใจของทั้งสองคนก็มีความรู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่หลังผ่านเคราะห์ ทำให้ใส่ใจกันและกันมากขึ้น
“นังเด็กบ้า ที่แท้เจ้าก็อยู่ที่นี่เอง!” ทันใดนั้น เสียงที่ไม่เป็นมิตรสายหนึ่งก็สอดเข้ามา
นํ้าเสียงนั้นแสดงให้เห็นชัดว่าพุ่งเป้าไปที่มู่ชิงเกอ
ริม’ฝีปากของซือมั่วยังคงมีรอยยิ้ม แต่ดวงตากลับเย็นชาขึ้น เขาค่อยๆ หันมองไปยังอีกาทองสามเท้าที่ขาข้างหนึ่งพิการและยืนถือไม้เท้าอยู่ตรงหน้าของพวกเขา
“เขาเป็นใครหรือ”
มู่ชิงเกอยิ้มเยาะ พูดอย่างเยาะเย้ยว่า “นกเฒ่าตัวหนึ่งที่สลัดไม่หลุดน่ะ”
อีกาทองสามเท้าได้ยินแล้วก็สีหน้าเปลี่ยนไป กลิ่นอายดูอึมครึมลง
ซือมั่วยิ้มบางๆ พูดกับมู่ชิงเกอเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรว่า “ในเมื่อสลัดไม่หลุดก็ฆ่าเสียเลยสิ”
“ดี แต่ว่าข้ายังสู้เขาไม่ได้” มู่ชิงเกอพยักหน้ายิ้มออกมา
ซือมั่วยิ้มเอ่ยอย่างเอ็นดูว่า “ไม่เป็นไร มีข้าอยู่”
ทั้งสองคนพูดคุยกันโดยไม่สนใจใครอื่น ทำให้อีกาทองสามเท้าโมโหจนใบหน้าบิดเบี้ยว
“พวกเจ้าสองคน นี่มัน…”
ปัง!
น่าเสียดาย เขายังพูดไม่จบทั้งร่างก็ระเบิดออกกลายเป็นหมอกเลือดตายอย่างไม่รู้ตัวเสียแล้ว ส่วนฝั่งทางมู่ชิงเกอและซือมั่วนั้นก็ยังคงยืนตรงอยู่ที่เดิมไม่ได้ขยับไปไหนเลยสักนิด มือของซือมั่วนั้นก็เพียงแค่ยกขึ้นแล้วกำอย่างไม่ใส่ใจเท่านั้น
มู่ชิงเกอมองเขาอย่างอิจฉาพลางเอ่ยว่า “เมื่อไหร่กันที่ข้าจะมีพลังเช่นเจ้า”
ซือมั่วยิ้มและปลอบใจว่า “เร็วๆ นี้แหละ เสี่ยวเกอเอ๋อร์” ของข้าเก่งกาจออกอย่างนี้”
“เจ้ากลับไปเถอะ ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นเจ้าแห่งมาร มาปรากฎตัวในสุสานเทพ หากมีบรรดาคนของเผ่าเทพมาเห็นเข้าจะมีข้ออ้างในการโจมตีเจ้าได้” มู่ชิงเกอเอ่ยกับ
ซือมั่ว
ซือมั่วไม่ได้ปฏิเสธ พยักหน้าเอ่ยว่า “ได้ ตัวเจ้าเองก็ต้องระมัดระวังตัวด้วยนะ”
ซือมั่วไปแล้ว
เวลาสามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อถึงเวลา ทุกคนก็ถูกส่งตัวออกจากสุสานเทพทันที…