ตอนที่ 548
รุมฆ่า! ติดกับ!
“ห้าสิบปีก่อน ตระกูลไป๋ภาคตะวันตกถูกล้างตระกูลในคืนเดียว เรื่องเกิดขึ้นจาก…ผู้รับใช้เทพอิ่นซิวผิงจีบคุณหนูตระกูลไป๋ไม่สำเร็จ…ด้วยความโมโห เขาจึงได้นำนักฆ่าตำหนักเทพปลอมตัวเป็นโจรภูเขาไปฆ่าล้างตระกูล…ในเวลานั้นมีคนพบเห็นเข้า แต่ต่อมาก็ถูกลอบฆ่าถึงบ้าน…”
“…สี่สิบแปดปีก่อน ในเมืองฝูฉวีภาคตะวันออก อยู่ดีๆ สามตระกูลใหญ่ก็ต่อสู้กันอย่างชุลมุน และในวันเดียวกัน ผู้อาวุโสของทั้งสามตระกูลใหญ่ก็ตายอย่าง สยดสยองกันทั้งหมด ต่อมาทั้งสามตระกูลก็ล่มสลาย สมบัติที่ทั้งสามตระกูลครอบครองรวมกัน เก้าบทเพลงแห่งฝูฉวีตกไปอยู่ในมือของตำหนักเทพภาคตะวันออก…,,
“…สามสิบแปดปีก่อน เมืองต่างๆ ในภาคเหนือมีหญิงสาวนับพันหายตัวไปในสามเดือน ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย หลังจากนั้นหนึ่งปี มีคนพบเห็นผู้หญิงที่ดูคล้ายกับ ผู้หญิงที่หายตัวไปในตำหนักเทพภาคต่างๆ คนในบ้านเดินทางไปตำหนักเทพเพื่อค้นหาความจริงแต่กลับถูกข้ออ้างแก้ต่างไป สามวันต่อมา ครอบครัวนั้นก็ตายอย่างสยดสยอง หาสาเหตุการตายไม่พบ…”
“สามสิบเจ็ดปีก่อน…
“สามสิบสามปีก่อน…”
“…สามสิบปีก่อน ตระกูลดังในภาคใต้ ตระกูลคงแสดงสมบัติของตระกูล กระดิ่งปลิดวิญญาณออกมา… หนึ่งเดือนหลังจากนั้น ทั้งตระกูลก็หายสาบสูญ… กระดิ่งปลิดวิญญาณหายไปอย่างไร้ร่องรอย…ที่แท้กลับถูกเก็บซ่อนเอาไว้ในคลังสมบัติของตำหนักเทพภาคกลาง”
“ยี่สิบเจ็ดปีก่อน ตำหนักเทพมีความคิดจะให้ตระกูลหวาและตระกูลชิงแห่งภาคกลางเกี่ยวดองกัน แต่ประมุขน้อยและคุณหนูของทั้งสองตระกูลต่างคนก็มีคนรักแล้ว คนรักของทั้งคู่จึงถูกตำหนักเทพเอาตัวไป ผู้ชายถูกตัดตอนตายอย่างอดสู ส่วนผู้หญิงนั้นถูกข่มเหงจนต้องฆ่าตัวตายด้วยความอับอาย…”
“ยี่สิบห้าปีก่อน ตระถูลซงกวนพบเจอสมบัติชิ้นหนึ่ง แต่กลับเป็นเหตุให้ทั้งตระกูลสิ้นสลาย สมบัติชิ้นนี้ชื่อว่า แจกันเซิงหลงซิ่วชินซึ่งถูกอ้างว่าเป็นรางวัลที่เผ่าเทพประทานให้และเข้าไปอยู่ในตำหนักเทพอย่างสง่าผ่าเผย…”
ยี่สิบสองปีก่อน…”
“ยี่สิบเอ็ดปีก่อน…”
“สิบเก้าปีก่อน ตำหนักเทพแห่งภาคตะวันตกสนใจที่ดินผืนหนึ่ง ใช้ความต้องการของเทพเป็นเหตุผลเข้ายึดครองที่ดิน เจ้าของเดิมไม่ยินยอม ในคืนนั้นถูกฆ่าตาย ในบ้านอย่างสยดสยอง คนในตระกูลทุกคนกลายเป็นทาส ใบหน้าถูกสลักอักษร…”
“สิบปีก่อน…”
“เจ็ดปีก่อน ตำหนักเทพของภาคต่างๆ อ้างการเสียสละเพื่อเทพ บังคับริบเอาสมบัติของตระกูลต่างๆ นับไม่ถ้วน สั่งให้ทุกคนต้องจ่ายศิลาวิญญาณเพื่อชดเชยต่อบาป มิเช่นนั้นจะไม่ได้รับการดูแลจากเทพและถูกเทพละทิ้ง มีคนไม่ยินยอม หลังจากนั้นไม่กี่วันก็ต้องตายอย่างสยดสยองทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว…”
“ห้าปีก่อน…”
“สี่ปีก่อน ณ ถํ้าจิ่วเฉวียน เจ้าเมืองลั่วซิงเฉิงมู่ชิงเกอโดนนักฆ่าลอบโจมตี หลังจากการต่อสู้ก็ได้ฆ่านักฆ่าจนหมด…
สี่ปีก่อน พบเจอกับการไล่ฆ่าอีกครั้งที่แม่นํ้ารั่ว..
หนึ่งปีก่อน เจ้าเมืองมู่ออกมาจากแม่นํ้ารั่วก็พบเจอกับการซุ่มโจมตีอีกครั้ง…
สามเดือนครึ่งก่อน ภายในสุสานเทพ ตำหนักเทพส่งนักฆ่าเข้าล้อมโจมตีอีกครั้ง… ครึ่งเดือนก่อน หลังเจ้าเมืองมู่ออกมาจากสุสานเทพก็ถูกซุ่มโจมตีอีกครั้งที่ด้านทิศตะวันตกของเมืองเทียนคง…”
“…ครึ่งเดือนก่อน สุสานเทพปิดตัวลง ทั้งห้าภาคกลับมีผู้ฝึกวิถีมารปรากฎตัวขึ้นมาอย่างกะทันหัน ก่อเรื่องชั่วช้าไปทั้งห้าภาค ตำหนักเทพชี้หอกมาที่เจ้าเมืองลั่วซิงเฉิง มู่ชิงเกอ แต่ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วนักฆ่าที่ก่อเรื่องไปทั่วทั้งห้าภาคเหล่านั้นล้วนแต่มาจากตำหนักเทพ พวกเขาคือ…จี้อิงอู่ เจี่ยงเหลียงกง เห่าเฟยจัง เฉิงอีชุน เนี่ยเซี่ยงหรง…จี้เต๋อหยวน เหวินหย่วน ยงผิง อู่ชัง…”
ทุกรายการล้วนแต่มีพยานและหลักฐาน อีกทั้งหลักฐานที่กล่าวออกมาก็ดูไม่เหมือนเรื่องเท็จ
โทษเหล่านี้ทำให้กลุ่มคนที่มาเพื่อด่าว่ามู่ชิงเกอล้วนแต่ชะงักอยู่กับที่ ไม่รู้จะทำอย่างไรดี หลังจากพวกปีศาจเฒ่าระดับข้ามผ่านอ่านแล้วก็ยิ้มเยาะออกมาแล้วหลับตา เมื่อระดับพลังมาถึงจุดที่พวกเขาอยู่แล้ว ความหวังสูงสุดก็คือการเข้าสู่แผ่นดินใหญ่ แห่งเทพมาร ตำหนักเทพจะเป็นอย่างไรนั้นไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขา
“นี่…เรื่องเหล่านี้ข้าก็เคยได้ยินมาก่อน แต่ก่อนหน้านี้ไม่รู้เรื่องราวอย่างชัดเจน ที่แท้ก็มีเบื้องลึกเบื้องหลังเช่นนี้อยู่ด้วยงั้นหรือ” ในกลุ่มด่าว่ามีคนพูดอย่างแปลกใจขึ้นมา
“เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องจริงหรือเท็จกันแน่” มีคนสงสัยขึ้นมา
“หากว่าเป็นจริง หลายปีมานี้ตำหนักเทพก็หลอกลวงคนมาตลอดเลยงั้นหรือ หากว่าเป็นเท็จแล้วเหตุใดจึงชัดเจนเช่นนี้ เหตุการณ์บางอย่างที่เคยไม่สอดคล้องกัน มาตอนนี้มาคิดและเอาหลักฐานมารวมกันแล้วก็เข้ากันได้ทั้งหมด”
“น่ารังเกียจนัก! ควรเชื่อใครกันแน่”
“ตำหนักเทพสกปรกเช่นนี้จริงๆ น่ะหรือ ตำหนักเทพรังแกผู้คนจริงๆ หรือ” “หรือจะเป็นลั่วซิงเฉิงสร้างเรื่องขึ้น”
“สร้างเรื่องหรือ คิดให้ดีสิ ก่อนหน้านี้เหตุใดจึงไม่ได้รู้สึกว่าเจ้าเมืองมู่มีปัญหาอะไร แล้วเหตุใดในพริบตากลับเป็นเช่นนี้ได้ นางโง่ขนาดที่จะเปิดเผยตนเองงั้นหรือ”
“เช่นนั้นตอนนี้พวกเราจะด่าว่าหรือไม่ด่าว่าเล่า”
“ด่าว่าอะไรกันอีก พวกเราไม่อาจโง่จนยอมให้คนใช้ประโยชน์ได้ ในเมื่อบนนี้มีเหตุและผล พวกเราก็กลับไปก่อน หลังจากลอบสืบความจริงได้แล้วค่อยว่ากันใหม่ หากพบว่าลั่วซิงเฉิงสร้างเรื่องมาหลอกพวกเรา ลบหลู่ตำหนักเทพ พวกเราก็มาอีกแล้วทำลายลั่วซิงเฉิงให้ราบ! ”
“ใช่! ไป พวกเรากลับ!”
“ไป กลับ!”
กลุ่มคนที่มาด่าว่าอยู่ที่นอกประตูเมืองลั่วซิงเฉิงครู่หนึ่งก็หันกายแยกย้ายกันไป
มู่ชิงเกอยืนอยู่ในเมือง ยืนตรงเอามือไพล่หลังมองดูฉากนี้อย่างเรียบเฉย
ฮวาเยวี่ยยืนอยู่ด้านหลังของนาง เอ่ยถามเสียงเบาว่า “คุณชาย พวกเขาจะย้อนกลับไปเป็นศัตรูกับตำหนักเทพหรือไม่”
มู่ชิงเกอยิ้มบางๆ ส่ายหน้าแล้วเอ่ยว่า “ศึกครั้งนี้พูดได้ว่าพวกเรากับตำหนักเทพนั้นพอๆ กัน แต่หากจะวัดแพ้ชนะกันจริงๆ พวกเราชนะไปหนึ่งคะแนน เพราะพวกเราเอาความชั่วในห้าสิบปีนี้ของพวกเขาประกาศออกมา พวกเขาสร้างเรื่องใส่ร้ายข้าแต่ข้านั้นพูดเรื่องจริง สำหรับคนเหล่านี้ พวกเขาจะไม่เป็นศัตรูกับตำหนักเทพเพราะพวกเขาไม่กล้า อย่างมากก็แค่ไม่เชื่อคำลวงอีกแล้ว”
“อย่างน้อยก็ลดปัญหาจากพวกเขาลงไปได้ มิเช่นนั้นการจะต่อกรกับพวกที่ถูกตำหนักเทพหลอกใช้นี้คงต้องสูญเสียพลังไปมากทีเดียว” ฮวาเยวี่ยเอ่ย
มู่ชิงเกอพยักหน้า
ครู่หนึ่งนัยน์ตาของนางก็เปล่งประกายขึ้นมา ยิ้มเย็น แล้วเอ่ยว่า “นี่นับเป็นศึกแรกกับตำหนักเทพ เขายังมีอีกกระบวนท่าหนึ่งและก็ถึงเวลาที่จะทำลายมันแล้ว”
“ยังมีอีกกระบวนท่าหนึ่งหรือ” ฮวาเยวี่ยพูดอย่างไม่เข้าใจ
มู่ชิงเกอหันมองนาง เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ได้ยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าคิดว่าข่าวลือว่าข้ามีรากวิญญาณห้าชนิดนี้เป็นใครประกาศออกมา ทั้งยังรวดเร็วและดุเดือดจนทำให้เหล่า ปีศาจเฒ่าที่เก็บตัวอยู่แต่ในภูเขาลึกแตกตื่นขึ้นมาได้”
“ตำหนักเทพ!” เมื่อได้รับการเตือนจากมู่ชิงเกอ ฮวาเยวี่ยก็เข้าใจในทันที “ตำหนักเทพช่างน่ารังเกียจจริงๆ”
มู่ชิงเกอหัวเราะและเอ่ยขึ้นมาว่า “ตำหนักเทพจัดให้ข้ามาสองกระบวนท่า คิดจะใช้กำลังอื่นช่วยกดดันข้า ข่มพลังของข้าลง ข้าจะให้พวกเขาสมหวังได้อย่างไร”
“คุณชายคิดจะท่าอย่างไรหรือ” ฮวาเยวี่ยเอ่ยถามอย่างสนใจ
มู่ชิงเกอยิ้มอย่างมีเลศนัย มองขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วพูดอย่างเรียบสงบว่า “รออีกไม่กี่วัน ให้เรื่องราวที่ตำหนักเทพทำมาเป็นที่ประจักษ์แก่ทุกคนก่อนแล้วข้าถึงจะลงมือ”
นางจะรอจนเรื่องนี้สุกงอม ให้ตำหนักเทพมัวแต่ยุ่งเรื่องของตนเองเก็บกวาดความสกปรก นางจะได้ต่อกรกับบรรดาปีศาจเฒ่าที่โลภมากเหล่านี้ได้สะดวกมากขึ้น มู่ชิงเกอมั่นใจมากว่าความชั่วเหล่านี้ของตำหนักเทพจะไม่ทำให้พวกปีศาจเฒ่าเหล่านี้เคลื่อนไหวอย่างแน่นอน
และนางก็ไม่ได้ต้องการให้ปีศาจเฒ่าเหล่านี้เคลื่อนไหว ที่นางต้องการก็คือทำให้พวกเขาไม่กล้าคิดชั่วกับนางอีก
“นายน้อย มีสาส์นมาจากภาคตะวันตก ภาคเหนือ ภาคตะวันออกและภาคใต้” มู่เฉินเอาจดหมายมาให้มู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอเปิดออกดูก็พบว่าเป็นการถามข่าวคราวจากเพื่อนและครอบครัว จีเหยาฮั่ว อิ๋งเจ๋อ เหยาชิงไห่ แล้วก็ยังมีตระกูลซางและอื่นๆ อีกมากมาย ซางซุ่นหวางก็ส่ง จดหมายมาบอกนางว่าเขาได้ให้ผู้อาวุโสไท่ซ่างออกมา นำพาบรรดาศิษย์ในตระกูลเดินทางมายังลั่วซิงเฉิง จะร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับมู่ชิงเกอ
ความใส่ใจเหล่านี้ทำให้มู่ชิงเกอรู้สึกอบอุ่นในใจ
ในเวลานี้เสวี่ยหยาก็เดินมาเอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “นายน้อย เว่ยมั่วลี่ก็มาแล้ว ทางเขี้ยวมังกรก็ได้รับสาส์นว่ากลุ่มหลิวเค่อเลี่ยเกอก็กำลังมาที่ลั่วซิงเฉิง”
เว่ยมั่วลี่มาปรากฎตัวในลั่วซิงเฉิงงั้นหรือ จุดนี้ทำให้มู่ชิงเกอประหลาดใจ แต่เมื่อครุ่นคิดแล้วก็เข้าใจ เจ้าบ้านี่รู้สึกอยู่ตลอดว่าติดค้างนาง คิดอยากจะตอบแทนบุญคุณ
ส่วนกลุ่มเลี่ยเกอ…
‘ฉินอี้เหยา’ นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแววครุ่นคิด นางไม่อยากให้ฉินอี้เหยาร่วมลุยนํ้าขุ่นนี้ด้วยเลย
ณ ตำหนักเทพ เมืองเทียนคง ภาคกลาง
“มีเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร!” นักบวชเทวะโมโหมาก
นัยน์ตาดำทะมึนอย่างน่ากลัว
มีคนคนหนึ่งกำลังคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเขา ด้านหน้าของเขานั้นก็มีแผ่นกระดาษตกกระจายไปทั่ว
เนื้อหาบนแผ่นกระดาษเหล่านี้เป็นเหมือนกับเนื้อหาที่ห้อยอยู่นอกเมืองลั่วซิงเฉิงไม่มีผิด สิ่งเดียวที่แตกต่างก็คือ ตัวอักษรเล็กกว่ามาก
“เจ้าบอกข้ามาว่าพวกเขารู้เรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร” นักบวชเทวะโมโห
คนที่คุกเข่าอยู่ไม่กล้าพูดอีก ร่างกายสั่นสะท้าน
“ยังมีอีกอย่าง พวกเขามากระจายของเหล่านี้ในเมืองเทียนคง แต่พวกเจ้ากลับโง่เขลาจนจับคนไม่ได้แม้แต่คนเดียว!” นักบวชเทวะแค้นจนอยากจะฆ่าคนตรงหน้าสักร้อยรอบเพื่อดับความแค้นในใจ
“นักบวชเทวะ! ไม่ดีแล้วขอรับ!
ในขณะที่เขากำลังตำหนิคนก็มีคนอีกคนวิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าแตกตื่น เพิ่งจะเข้ามาก็ล้มลงกองกับพื้น ไม่รู้ว่าเขาจงใจหรือว่าตั้งใจล้มลงกันแน่ เขาคุกเข่าคลานมาข้างหน้าและรีบเอ่ยว่า “นักบวชเทวะ เกิดเรื่องไม่ดีขึ้นแล้ว! ทั่วทุกภาคทั้งตะวันออก ใต้ ตะวันตกและเหนือล้วนแต่ได้รับ…”
เขายังพูดไม่จบก็ชะงักไป
เพราะเขาพบว่ากระดาษที่กระจายอยู่เต็มพื้นนั้นเหมือนกับที่เขาถืออยู่ไม่มีผิด และเมื่อมองไปที่สีหน้าของนักบวชเทวะอีกครั้ง เขาก็อดหดคอและหุบปากลงไม่ได้
พยายามลบการคงอยู่ของตนเองออกไป
ดูเหมือนว่าเขา…จะมาไม่ถูกเวลา
“เศษสวะ! พวกเศษสวะ!” นักบวชเทวะข่มความโมโหไม่ไหว พลังระเบิดออกมาจากตัวของเขาบดขยี้ทุกสิ่งทุกอย่างในตำหนักจนหมด
ยามคํ่าคืน มีเงาดำสายหนึ่งวาบออกมาจากลั่วซิงเฉิงมุ่งหน้าไปยังที่ที่ไกลออกไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อเงาร่างสายนี้ปรากฎก็ถูกปีศาจเฒ่าที่ลอบซ่อนตัวอยู่นอกลั่วซิงเฉิงสัมผัสได้ในทันที มุมปากของเขาปรากฎรอยยิ้มเย็นออกมา ขยับร่างตามไป
เมื่อเขาขยับก็เหมือนกลิ่นอายรอบตัวเขาถูกดึงไปด้วย บรรดาปีศาจเฒ่าที่เฝ้าอยู่รอบลั่วซิงเฉิงพากันเคลื่อนไหวขึ้นมา ไล่ตามทิศที่เงาร่างนั้นจากไป
ทุกคนล้วนแต่ยิ้มเยาะในใจ
ใครก็อยากผูกขาด ใครก็อยากมีโอกาสแย่งชิงเป็นคนแรก แต่โอกาสแย่งชิงเป็นคนแรกจะได้มาง่ายๆ ได้อย่างไร
ท่ามกลางความมืดมิดยามคํ่าคืน เงาร่างเป็นสายพุ่งเข้าไปในป่าลึกหลังเมืองลั่วซิงเฉิง พวกเขาไล่ตามมาเช่นนี้ ทำให้ปีศาจเฒ่าระดับข้ามผ่านที่อยู่ด้านหน้าสุดแอบ แค้นอยู่ในใจ เดิมทีเป็นชิ้นเนื้อมันในปากของเขาเพียงคนเดียวแท้ๆ แต่มาตอนนี้กลับมีคนมาแย่งเสียได้ เขาไม่สงสัยเลยว่าเงาร่างที่วิ่งอยู่ด้านหน้าอย่างรวดเร็วนั้นจะไม่ใช่มู่ชิงเกอ เพราะเขาจับกลิ่นอายของมู่ชิงเกอเอาไว้แล้ว คนคนหนึ่งสามารถปลอมแปลงรูปลักษณ์ภายนอกได้ แต่ไม่สามารถปลอมแปลงกลิ่นอายของตนเองได้
นัยน์ตาของเขาฉายแววอำมหิต หันมองไปยังคนที่ไล่ตามมาด้านหลัง เขากัดฟันแล้วเร่งความเร็วขึ้น ไล่ตามเงาร่างที่อยู่ด้านหน้าไป
แต่ในใจของเขากลับคิดว่า ‘เหตุใดนางถึงได้เร็วขนาดนี้’