Skip to content

พลิกปฐพี 549

ตอนที่ 549

ฉากที่ใหญ่มาก!

‘นางเร็วมาก!’

ไม่ได้มีเพียงปีศาจเฒ่าที่ไล่ตามมู่ชิงเกอมาติดๆ เท่านั้นที่แปลกใจ ปีศาจเฒ่าคนอื่นๆ ก็แปลกใจมากเช่นเดียวกัน

ด้านหน้าเห็นเพียงเงาร่างเพรียวบางกำลังวิ่งไปในความมืดอย่างบ้าคลั่ง ท่าทางของนางเหมือนกับกำลังหนี อีกทั้งยังมีความรู้สึกเหมือนร้อนใจที่โดนไล่ตามจนเร่งความเร็วขึ้นเรื่อยๆ

มู่ชิงเกอวิ่งอยู่ด้านหน้า มุมปากเกิดรอยยิ้มเย็นบางๆ ออกมา

เมื่อมาถึงขอบหน้าผาแล้วนางก็หยุดลงครู่หนึ่ง

การหยุดนี้ทำให้คนที่ไล่อยู่ด้านหลังพากันตื่นเต้นขึ้นมา และรีบเร่งความเร็ว

นางใช้หางตามองไป เมื่อรู้สึกว่าคนเหล่านั้นเข้ามาใกล้พอสมควรแล้วก็กระโดดลงหน้าผาลงไปท่ามกลางสายตาของปีศาจเฒ่านับร้อย

“เจ้ากล้าหรือ!

ปีศาจเฒ่าที่ไล่ตามนางมาในตอนแรกถลึงตาคำรามออกมา

เขาคิดอะไรไม่ทันก็รีบกระโดดลงหน้าผาตามเงาร่างของมู่ชิงเกอไปโดยไม่สนใจตนเอง ที่เขากังวลไม่ใช่ความเป็นความตายของมู่ชิงเกอ แต่กังวลว่าการทำอะไรไป ‘โดยไม่คิด’ ของมู่ชิงเกอจะทำให้บาดเจ็บไปจนถึงรากวิญญาณของนาง

ปีศาจเฒ่าเหล่านี้ถือเอารากวิญญาณและสิทธิ์แห่งเทพของมู่ชิงเกอเป็นสมบัติของตนเองแล้ว จะยอมให้นางทำอะไรโดยพลการได้อย่างไร

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น กระโดดลงไปได้อย่างไร”

เหล่าปีศาจเฒ่าไล่ตามมาถึงขอบหน้าผา พวกเขาล้วนแต่แปลกใจกับการกระทำของมู่ชิงเกอ หรือนางวิ่งมาจากลั่วซิงเฉิงเพื่อมากระโดดหน้าผา

“ไม่ต้องพูดถึงพวกเรา ถึงจะเป็นระดับสีทอง หากตกลงไปก็ไม่ตาย อีกอย่างนางก็ผ่านเคราะห์อัสนีมาแล้วครั้งหนึ่ง หน้าผาเล็กๆ แค่นี้เอาชีวิตนางไม่ได้หรอก!”

“หรือนางคิดจะใช้โอกาสนี้หนีไป”

“วิธีแกล้งตายเช่นนี้ก็อ่อนด้อยเกินไปหน่อย พวกเราไล่ตามไป!”

“ใช่! ไล่ตามไป!”

“ไล่ตามไป”

“รอเดี๋ยว ตามไปนั้นได้ แต่เมื่อคนอยู่ในมือแล้วจะแบ่งอย่างไร” มีคนเสนอความคิดเห็นขึ้นมา

เวลานี้มีคนร้อนใจ จึงเอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “รอพวกเราพูดคุยกันจบ คนก็คงถูกเจ้าคนที่ตามลงไปเอาไปแล้ว!”

คำพูดของเขาทำให้คนจำนวนไม่น้อยร้อนใจขึ้นมา

แต่คนที่เสนอให้ตกลงกันกลับยังไม่ยอม เอ่ยว่า “เช่นนั้นพวกเราก็รีบตกลงกันให้ชัดเจนก่อน”

“เจ้าจะเอาอย่างไรเล่า!” คนที่ถูกเขาขวางรู้สึกไม่พอใจ

แต่หากต้องการเปิดศึก ผลลัพธ์ก็คงจะไม่ออกมาอย่างรวดเร็ว มีแต่จะเสียเวลา เมื่อคิดแล้วก็ควรรีบคุยกันให้ ชัดเจนดีกว่า

“ไม่สู้พวกเรามาตกลงกัน ใครจับคนได้ก่อนก็ให้เป็นเจ้าของ หากใครคิดจะขอส่วนแบ่งก็ให้เอาสมบัติหนึ่งชิ้นไปแลกเปลี่ยน เช่นนี้เป็นอย่างไร” มีคนเอ่ยออกมา

“ดี! เอาเช่นนี้แหละ!”

“เอาตามเจ้าว่าเลย!”

“ความคิดนี้ไม่เลว!”

ด้วยกลัวว่ามู่ชิงเกอจะหนีไปได้ และกลัวว่าจะถูกคนแย่งเอาไปก่อน ทำให้พวกเขารีบตกลงกัน จากนั้นทั้งกลุ่มคนก็พากันกระโดดลงจากหน้าผาไล่ตามลงไป เมื่อพวกเขาตกลงไปถึงก้นหน้าผาถึงพบว่าใต้หน้าผานั้นเป็นหุบเขาปิด รอบด้านถูกปิดล้อมด้วยหน้าผา ทางออกเดียวที่มีก็กว้างแค่เพียงหนึ่งคนผ่าน

พวกเขาลงมาก็หามู่ชิงเกอไม่พบ ในขณะที่กำลังมองหารอบๆ ก็มองเห็นเงาคนวาบผ่าน

“อยู่ทางนั้น!” มีคนดวงตาเป็นประกาย ไล่ตามไปทันที

เมื่อเขาขยับ คนอื่นๆ ก็ไล่ตามเงาร่างนั้นไปในทันที

แต่รอจนพวกเขาไล่ตามเงาร่างทันก็พบว่าคนที่พวกเขา ไล่ตามนั้นไม่ใช่มู่ชิงเกอ แต่เป็นคนที่กระโดดตามมู่ชิงเกอลงมาก่อนคนนั้น

“นางเล่า” มีคนเอ่ยถามขึ้นมา ปีศาจเฒ่าที่กระโดดตามมู่ชิงเกอลงมาก็รู้สึกหงุดหงิดมาก เขากระโดดตามมู่ชิงเกอลงมาชัดๆ แต่เมื่อตกลงมาถึงหุบเขากลับหาคนไม่พบ เมื่อถูกถาม เขาจึงเอ่ยตอบอย่างรำคาญว่า “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร”

“เจ้าไม่รู้งั้นหรือ แต่เจ้าตามนางลงมาก่อนนะ” น่าเสียดาย คนที่ตามลงมาทีหลังไม่เชื่อ

ปีศาจเฒ่าคนนั้นร้อนใจ “หลังจากข้ากระโดดลงมาก็ไม่พบเงาร่างของนางแล้ว ตอนนี้ก็กำลังตามหาอยู่ พวกเจ้าจะเชื่อหรือไม่ก็ตามใจ”

ตอนนี้เองผู้ชายที่เสนอว่าจะแบ่งรากวิญญาณอย่างไรก็ เดินออกมายิ้มแล้วเอ่ยถามว่า “คงไม่ใช่ว่าเจ้าจะเก็บเอาไว้คนเดียว หลังจากจับนางได้แล้วจึงเอานางไปซ่อน หรอกนะ”

คำพูดนี้ของเขาทำให้ทุกคนสงสัยปีศาจเฒ่าคนนั้น ชั่วขณะนั้นสายตาของทุกคนก็ดูไม่เป็นมิตรขึ้นมา คนคนนั้นพูดต่ออีกว่า “เมื่อครู่พวกเราตกลงกันดีแล้ว ไม่ว่าใครได้ตัวเด็กน้อยนั้นไป รากวิญญาณบนร่างของนางที่เกินมาก็จะเป็นของคนที่จับได้ทั้งหมด หากคนอื่นๆ อยากได้ก็ต้องใช้สมบัติของตนเองไปแลกเปลี่ยน” นัยน์ตาของปีศาจเฒ่าที่กระโดดตามมู่ชิงเกอลงมาฉาย แววเย็นยะเยือก พูดเยาะเย้ยว่า “มาพูดเรื่องเหล่านี้ในตอนนี้จะมีประโยชน์อะไร จับคนให้ได้ก่อนค่อยว่ากันเถอะ”

“ความหมายของข้าคือขอให้เจ้าเอาคนออกมา” คนคนนั้นยังคงยิ้มเหมือนจะพูดคุยกันดีๆ แต่ในความเป็นจริง แล้วนัยน์ตากลับฉายแววเจ้าเล่ห์วาววาบ

“ไม่ผิด! เอาออกมา”

“รีบเอาคนออกมา มิเช่นนั้นอย่าโทษว่าพวกเราลงมือ!”

“เอาออกมา มิเช่นนั้นวันนี้เจ้าก็อย่าได้คิดจะออกไปจากที่นี่ได้”

ทุกคนพากันเอ่ยขึ้น ทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นปีศาจเฒ่าระดับข้ามผ่าน หากว่าต่อสู้กันขึ้นมาจริงๆ แล้ว หนึ่งต่อหนึ่งไม่น่ากลัว แต่หากทั้งกลุ่มรุมโจมตีก็คงจะอันตรายแล้ว

ขณะที่คนอื่นๆ กำลังล้อมโจมตี ชายที่ยิ้มและพูดจาอย่างมีเหตุผลคนนั้นกลับเงียบลง ถอยออกไปสองก้าว ใบหน้าที่เหมือนกำลังรอดูละครนั้นทำให้คนรู้สึกอยาก จะทุบตีเขาสักรอบ

ปีศาจเฒ่าที่ถูกล้อมโมโหจนอยากฆ่าคน เขาคำรามใส่คนอื่นๆ ว่า “ไม่มีก็คือไม่มี! หากว่าข้าจับคนได้แล้วจะ มาชักช้าอยู่ที่นี่ต่ออีกทำไม”

“เช่นนั้นเจ้ากล้าสาบานหรือไม่” ผู้ชายคนนั้นพูดขึ้นในเวลาที่เหมาะสม

คนที่ถูกโอบล้อมถลึงตาใส่ผู้ชายคนนั้นอย่างแค้นเคืองแวบหนึ่ง กัดฟันเอ่ยว่า “ได้! ข้าสาบาน! หากว่าข้าซ่อนตัวเจ้าเมืองลั่วซิงเฉิงไว้ ขอให้ข้าพลังฝึกปรือแตก ซ่านจนตาย!”

คำสาบานที่ร้ายแรงเช่นนั้นทำให้รอบด้านเงียบลงไปในที่สุด

ตอนนี้เองฟ้าก็เริ่มสว่างขึ้นมา

รูปลักษณ์ของพวกเขาดูชัดเจนมากขึ้น บรรยากาศรอบด้านก็สะท้อนเข้ามาในสายตาอย่างชัดเจน

ที่นี่เป็นใต้หุบเขา รอบด้านเป็นป่าไม้หนาแน่น ระหว่างต้นไม้ยังมีหมอกขาวลอยล่องอยู่ การเกิดหมอกขาวยามเช้าตรู่นั้นไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ทำให้ทุกๆ คนรวมถึงปีศาจเฒ่าระดับข้ามผ่านที่เฉลียวฉลาดไม่ได้เกิดความสงสัย

พวกเขามองดูรอบด้านแล้วก็พบว่านอกจากพวกเขาแล้ว ก็ไม่มีใครอื่นอีก

หากว่ามีคนอื่น แม้จะรอดพ้นสายตาของพวกเขาไปได้ก็ไม่สามารถรอดพ้นจากจิตวิญญาณของพวกเขาได้

“คนละ” มีคนสงสัยขึ้นมา

ปีศาจเฒ่าที่มาลั่วซิงเฉิงเพื่อโอบล้อมมู่ชิงเกอไล่ตามมาหมดแล้ว คนนับร้อยยืนอยู่ใต้หุบเขา ใช้จิตวิญญาณเสาะหาแต่ก็ไม่พบอะไรเลย

“หรือนางจะใช้โอกาสตอนที่พวกเราพูดคุยกันหนีออกไปจากทางออก” มีคนคาดเดาออกมา

เมื่อเสียงของเขาหลุดออกไปก็ทำให้ปีศาจเฒ่าที่กระโดด ตามมู่ชิงเกอลงมาคนนั้นสบถเสียงเย็นออกมา ดูเหมือนกำลังต่อว่าว่าหากไม่ใช่คนเหล่านี้มาขัดจังหวะ เขาก็คงหามู่ชิงเกอพบแล้ว

“อย่าเพิ่งร้อนใจไป ที่นี่เป็นเทือกเขาใกล้ๆ เมืองลั่วซิงเฉิง นางเป็นเจ้าเมืองลั่วซิงเฉิงก็ต้องคุ้นเคยกับที่นี่มากกว่าพวกเราอยู่แล้ว แต่ว่าถึงจะคุ้นเคยอย่างไรก็ไม่ อาจจะหนีไปจากสายตาของพวกเราได้ ในเมื่อที่ใต้หุบเขาไม่มี พวกเราก็ไปที่ทางออก ดูซิว่าจะมีร่องรอยอะไรหรือไม่’’ ปีศาจเฒ่าที่เฉลียวฉลาดเสนอความเห็น

คำพูดของเขาได้รับการเห็นด้วยจากคนส่วนใหญ่ แม้ว่าจะมีส่วนน้อยไม่เห็นด้วยแต่ก็ยอมตามทุกคนไปเพราะคิดหาแผนการที่ดีกว่านี้ไม่ออก

และปีศาจเฒ่าระดับข้ามผ่านหลายร้อยคนก็ทยอยกันเดินออกมาจากทางออกหุบเขา

แต่ในตอนที่พวกเขาก้าวออกมานั้น บรรยากาศตรงหน้าก็สั่นไหวแล้วหุบเขาที่เขียวขจีก็เปลี่ยนเป็นทะเลทราย สิ่งเดียวที่ไม่เปลี่ยนก็คือหุบเขา พวกเขาทั้งกลุ่มยังคงยืนอยู่ในหุบเขา ทางออกที่เพียงพอสำหรับหนึ่งคนผ่านก็ยัง คงอยู่ในสายตาของพวกเขา

“เกิดอะไรขึ้น”

“ที่นี่คือที่ไหนกัน!”

“พวกเราอยู่ในป่าเขาชัดๆ เหตุใดจึงมาอยู่ในสถานที่เช่นนี้ได้!”

พวกเขามีชีวิตอยู่มาหลายพันปีก็ยังไม่เคยเห็นเรื่องราวที่แปลกประหลาดเช่นนี้

“ไม่ถูกต้อง! ดูเหมือนพวกเราจะเข้ามาในค่ายกลอาคมบางอย่าง” นัยน์ตาของปีศาจเฒ่าที่เฉลียวฉลาดคนนั้น สั่นไหวเล็กน้อย แล้วก็มืดทึบลงมา

“ค่ายกลอาคม!”

“ที่นี่ถึงกับมีค่ายกลอาคมเชียวรึ”

บรรดาปีศาจเฒ่าเริ่มสับสนวุ่นวายขึ้นมา ถึงแม้พวกเขาจะมีความสามารถไม่ธรรมดา แต่ในเรื่องค่ายกลอาคมกลับอ่อนด้อย น่าจะพูดได้ว่าสำหรับทุกคนในโลกแห่งยุคกลางแล้ว เรื่องค่ายกลอาคมนั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก บนที่สูงนอกหุบเขา มู่ชิงเกอยืนเอามือไพล่หลังบนยอดเขา ปล่อยให้ลมพัดผ่านใบหน้ามองสถานการณ์ในหุบเขา ข้างกายของนางมีโห่วยืนอยู่

สายตาของโห่วจับจ้องไปยังปีศาจเฒ่าที่เฉลียวฉลาดคนนั้น ยิ้มแปลกๆ แล้วพูดว่า “คิดไม่ถึงเลยว่าในกลุ่มคนเหล่านี้จะยังมีคนที่ฉลาดๆ อยู่คนหนึ่ง ถึงรู้ตัวว่าเจ้าวางกับดักเอาไว้ได้เร็วขนาดนี้”

มู่ชิงเกอกลับไม่ใส่ใจ ยิ้มบางๆ “ดูออกแล้วจะเป็นอย่างไร สามารถทำลายได้ไหมถึงเป็นจุดสำคัญ”

“ข้าไม่เข้าใจ ที่นี่เป็นค่ายใหญ่ของเจ้า เหตุใดจึงไม่ฆ่าพวกเขาให้หมดเรื่องไปเลย ถึงแม้เจ้าจะกังวลว่ากำลังของฝั่งพวกเราจะไม่เพียงพอแต่ก็สามารถใช้ค่ายกล สนับสนุนเพื่อฆ่าได้ มาตอนนี้กลับเพียงขังพวกเขาไว้…” โห่วเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ

มู่ชิงเกอกลับหัวเราะแล้วเอ่ยว่า “ฆ่าพวกเขานั้นสิ้นเปลืองเกินไป”

“สิ้นเปลืองหรือ เจ้ากลัวว่าฆ่าพวกเขาแล้วจะทำให้พลังของโลกแห่งยุคกลางลดน้อยลงงั้นหรือ” โห่วเยาะเย้ย

มู่ชิงเกอยิ้มแล้วส่ายหน้า ไม่อธิบายอีก

ค่ายกลด้านล่างนั้นนางเรียนรู้มาจากภูเขาค่ายกลในสุสานเทพ เพียงแค่เข้าใจหลักการของค่ายกลก็จะสามารถจัดวางค่ายกลได้ตามใจชอบ ส่วนสิ่งที่นางเรียน รู้มาได้จากภูเขาค่ายกลก็คือหลักการของค่ายกล

ตอนนี้ได้ใช้สิ่งที่เรียนรู้มา ก็นับว่านางอยู่ในภูเขาค่ายกลหนึ่งเดือนอย่างไม่เสียเปล่าแล้ว

ที่นางใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อให้ปีศาจเฒ่าเหล่านี้มาติดกับก็เพื่อแผนการขั้นต่อไปของนางเท่านั้น

“น่าตายนัก!” ทุกคนถูกขังอยู่ในหุบเขา ปีศาจเฒ่าที่เฉลียวฉลาดคนนั้นด่าออกมาประโยคหนึ่ง แล้วพูดกับทุกคนว่า “เกรงว่าพวกเราคงถูกผู้หญิงคนนั้นวางแผน มาแต่ต้นแล้ว”

“หมายความว่าอย่างไร” มีคนเอ่ยถาม

เขาเอ่ยด้วยท่าทางบ้าคลั่งว่า “ผู้หญิงคนนั้นใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อให้พวกเราออกมาจากนอกเมือง จากนั้นก็แสดงว่ากระโดดหน้าผาล่อให้พวกเรากระโดดลงมาในค่ายกลอาคมเอง”

เมื่อได้เขาอธิบายเช่นนี้แล้วปีศาจเฒ่าคนอื่นก็เข้าใจขึ้นมา

เมื่อมีชีวิตอยู่มาถึงปูนนี้แล้ว ก็ไม่มีใครโง่อีก ตอนนี้พบว่าติดกับมู่ชิงเกอแล้ว ไฟโกรธแค้นในใจของพวกเขาก็แทบจะโหมพุ่งออกมาด้านนอก

“ย่ามันเถอะ! รอให้ข้าออกไปได้จะต้องเผาลั่วซิงเฉิงของนางให้ราบเป็นหน้ากลองแน่นอน!”

“เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าเด็กนั้นคงจะคอยหัวเราะเยาะเราอยู่ใกล้ๆ เป็นแน่ พวกเราต้องออกไป ไม่อาจถูกขังอยู่ที่นี่ได้”

“ไป! พวกเราออกไป”

มีคนจำนวนไม่น้อยที่พุ่งไปยังทางออก

ปีศาจเฒ่าที่เฉลียวฉลาดรีบห้ามในทันที ใช้สองมือขวางพวกเขาเอาไว้แล้วเอ่ยว่า “ทุกท่านระงับความโกรธด้วย ในเมื่อที่นี่เป็นค่ายกล พวกเราก็ไม่สามารถทำลายตรงๆ ได้”

“เจ้ามีแผนการอะไรดีๆ อีก”

“เจ้า เป็นใครกันแน่เนี่ย”

มีคนเริ่มสงสัยสถานะของปีศาจเฒ่าที่เฉลียวฉลาด ไม่ทันที่เขาจะแนะนำตัวเองก็มีคนเอ่ยว่า “ข้ารู้แล้ว เขา เป็นคนที่ถูกเรียกว่าคำนวณได้ทุกเรื่องเมื่อแปดร้อยปี ก่อน ผู้คนให้ชื่อเล่นว่าบัณฑิตลิขิตสวรรค์ ซ่งเทียนจี๋แห่งภาคใต้”

บัณฑิตลิขิตสวรรค์ ซ่งเทียนจี๋

“คำนวณได้ทุกเรื่อง…” มู่ชิงเกอพึมพำออกมา นางห่างจากหุบเขาไกลมาก แต่กลับสามารถรู้ถึงความเคลื่อนไหวและการพูดคุยของทุกคนในหุบเขาได้อย่าง ชัดเจน

ในหัวของนางปรากฎข้อมูลเกี่ยวกับซ่งเทียนจี๋ขึ้นมา ซ่งเทียนจี๋คนนี้ไม่ได้อยู่ในรายชื่อที่หานฉายไฉ่ส่งมาให้แต่ กลับปรากฎอยู่ในม้วนเรื่องราวความชั่วของตำหนักเทพ รายชื่อของปีศาจเฒ่าที่ปิดล้อมลั่วซิงเฉิงในตอนนั้นก็สนใจอยู่เล็กน้อย

นางจำได้ว่าซ่งเทียนจี๋ผู้นี้มีชื่อเสียงเมื่อแปดร้อยปีก่อน เวลานั้นเขาเพิ่งจะมีอายุได้ยี่สิบปี เกิดมาอย่างธรรมดา แต่กลับเป็นเจ้าวางแผน อาศัยการวางแผนของตนเอง ก้าวขึ้นมาสู่ที่สูง ไม่มีใครกล้าล่วงเกิน ใช้เวลาแปดร้อยปีกลายเป็นปีศาจเฒ่าระดับข้ามผ่าน ทั้งยังผ่านเคราะห์อัสนีมาแล้วสองครั้ง

เมื่อเทียบกับปีศาจเฒ่าคนอื่นๆ แล้ว เขาอ่อนเยาว์มาก ภายในหุบเขา ซ่งเทียนจี๋กุมมือเอ่ยกับบรรดาปีศาจเฒ่าจำนวนไม่น้อยที่มีสีหน้าแตกตื่นว่า “เกรงใจแล้ว ตอนนี้ พวกเรามาคิดหาวิธีทำลายค่ายกลกันดีกว่า”

“ท่านบัณฑิตมีแผนการอะไรดีๆ หรือไม่” เมื่อรู้ว่าเขาคือใครแล้ว ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่เปลี่ยนท่าทีเป็นนุ่มนวลขึ้นมา

เพราะนอกจากชื่อเสียงของซ่งเทียนจี๋แล้ว ในด้านแผนการพวกเขาก็สู้อีกฝ่ายไม่ได้และกลัวว่าจะถูกซ่งเทียนจี๋ซ้อนแผนใส่โดยไม่รู้ตัว

ซ่งเทียนจี๋มองไปรอบด้าน เมื่อมองเห็นหมอกสีขาวที่ลอยอยู่ก็รู้สึกแปลกใจ เขาจำได้ว่าในป่าของหุบเขาก่อนหน้านี้ก็มีหมอกขาวอยู่ด้วย แต่ที่นี่ก็มีหมอกขาว ปรากฎ…

เขาคิดไม่ออกจึงทำได้เพียงเก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ เอ่ยกับทุกคนว่า “พวกเราแยกย้ายกันไป ลงมืออย่างระมัดระวัง ลองเชิงพลังของค่ายกลแห่งนี้”

“ได้!”

“ได้!”

คนนับร้อยกระจายตัว หลังจากออกห่างไปแล้วก็พากันแยกย้ายลงมือ…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!