Skip to content

พลิกปฐพี 550

ตอนที่ 550

เจ้าเดียรัจฉานตัวดี

แสงพลังจิตต่างๆ เปล่งแสงวาววาบออกมา พลังจิตอันแข็งแกร่งหลายสายฟาดเข้าใส่หุบเขา ฝุ่นกระจายไปทั่ว แต่กลับไม่สามารถสั่นคลอนหุบเขาได้เลยแม้แต่น้อย

“เกิดอะไรขึ้นน่ะ”

“เป็นไปไม่ได้”

“พวกเราโจมตีกันตั้งหลายคน อย่าว่าแต่หุบเขาแห่งหนึ่งเลย ถึงจะเป็นเมืองเมืองหนึ่งก็ต้องราบเป็นหน้ากลอง เหตุใดที่นี่กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย”

เมื่อทดลองเสร็จ เหล่าปีศาจเฒ่าก็ถอยกลับไปข้างกายของซ่งเทียนจี๋ด้วยท่าทางหวาดระแวง

ที่พวกเขาระแวงนั้นไม่ใช่แค่ซ่งเทียนจี๋แต่ยังระแวงความเคลื่อนไหวรอบกายอีกด้วย

“ท่านบัณฑิต เหตุใดเมื่อครู่นี้ท่านถึงไม่ลงมือเล่า” ปีศาจเฒ่าที่กระโดดตามมู่ชิงเกอลงมาคนนั้น เอ่ยถามออกไป ถึงแม้ว่าสถานะของซ่งเทียนจี๋จะทำให้เขาแปลกใจแต่ก็ไม่ได้เป็นมิตรกับอีกฝ่ายเพราะเรื่องนั้น กลับกันหลังจากรู้ว่าเป็นซ่งเทียนจี๋แล้ว ในใจของเขาก็ยิ่งเพิ่มความระมัดระวังมากกว่าเดิม

ซ่งเทียนจี๋ยิ้มบางๆ “ข้าต้องการดูว่ามีจุดบอดหรือไม่ จึงไม่ได้ลงมือ”

“เช่นนั้นท่านมองอะไรออกหรือไม่” เขาถามอีก

ซ่งเทียนจี๋ค่อยๆ ส่ายหน้า ยังคงมีรอยยิ้มที่มุมปากเช่นเดิม

“บนโลกนี้ยังมีสิ่งที่บัณฑิตลิขิตสวรรค์ซ่งเทียนจี๋มองไม่ออกอยู่ด้วยหรือ” คนคนนั้นจงใจพูดเสียดสีและเยาะเย้ย

แต่ท่าทีของซ่งเทียนจี๋กลับยังคงสงบเช่นเดิม ยิ้มและเอ่ยว่า “ข้าเป็นเพียงแค่คนธรรมดา แน่นอนว่ายังมีอีกหลายเรื่องที่ไม่เข้าใจ”

“ข้าขอพูดกับสองท่านหน่อย ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่พวกเราจะมาขัดแย้งกันเอง มีเรื่องอะไร รอออกจากค่ายกลนี้ได้ค่อยว่ากัน หากอยู่ที่นี่ต่อไป ก็ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนั้น จะมีแผนชั่วอะไรอีก” เวลานี้ก็มีคนก้าวออกมาขวาง หยุดการพูดจาเสียดสีกันระหว่างทั้งสองคน

“ท่านพูดถูก” ซ่งเทียนจี๋มองไปที่เขาแล้วเอ่ยออกมา

ส่วนปีศาจเฒ่าอีกคนกลับเพียงแค่สบถออกมาคำหนึ่ง

“ท่านบัณฑิต ชื่อเสียงของท่าน พวกเราล้วนแต่เคยได้ยินมา หากพูดถึงเรื่องแผนการกลยุทธ์นั้นท่านเก่งที่สุด บอกมาเถอะว่าตอนนี้จะทำอย่างไรดี หากสามารถออก จากสถานที่แห่งนี้ได้ ข้าจะจดจำบุญคุณครั้งนี้ของท่านไว้” มีคนพูดขึ้นมา

คำพูดของเขาทำให้คนส่วนมากเห็นด้วย พวกเขาพากันแสดงท่าทีออกมา

”ข้าก็เช่นกัน จะจำบุญคุณของท่านไว้’’

“ไม่ผิด เพียงแค่ท่านช่วยข้าให้ออกไปจากที่นี่ได้ ข้าก็จะจดจำบุญคุณครั้งนี้ของท่านไว้”

“ยังมีข้าด้วย”

ซ่งเทียนจี๋ยิ้มไม่พูดจา ใบหน้าหมดจดหล่อเหลาของเขา ดูไปแล้วปราศจากรังสีอำมหิต น่าคบหา อ่อนโยนและสง่างาม เมื่อได้ยินบรรดาปีศาจเฒ่าแสดงเจตนาแล้ว เขาก็เอ่ยในใจว่า ‘บุญคุณนั้นเป็นสิ่งที่ยากจะชดใช้คืนมากที่สุด อีกทั้งคนที่ติดค้างบุญคุณยังเป็นปีศาจเฒ่าระดับข้ามผ่านอีกด้วย ข้ากับพวกเจ้าร่วมลงเรือลำเดียวกัน เดิมทีก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ช่วยพวกเจ้าก็คือช่วยตัวข้าเอง แต่ตอนนี้ เมื่อพวกเจ้าอยากจะติดค้างข้าเองเช่นนั้นข้าก็จะไม่เกรงใจล่ะนะ’

เขาหยุดความคิดในใจแล้วก็ยิ้มออกมา กุมมือพูดกับทุกคนว่า “ไม่ต้องเกรงใจ”

บนยอดเทือกเขาไกลออกไป มู่ชิงเกอมองบรรยากาศภายในหุบเขา การพูดคุยของพวกเขาเหมือนกับดังอยู่ข้างหูนางก็ไม่ปาน

เมื่อได้ยินคำพูดของเหล่าปีศาจเฒ่า ทั้งยังมีรอยยิ้มอันอ่อนโยนและสง่างามของซ่งเทียนจี๋ นางก็อดยิ้มไม่ได้ พึมพำออกมาประโยคหนึ่งว่า “น่าสนใจ น่าสนใจจริงๆ”

“มีอะไรน่าสนใจงั้นหรือ เด็กน้อย” โห่วถามอย่างไม่เข้าใจ

รอยยิ้มที่มุมปากของมู่ชิงเกอขยายกว้างมากขึ้น ดวงตาเปล่งประกายดูเหมือนพบเจอสิ่งที่น่าสนใจ

เมื่อโห่วถาม นางจึงชี้ไปทางหุบเขา ยิ้มแล้วอธิบายว่า “ข้าพบคนที่น่าสนใจคนหนึ่งในกลุ่มคนเหล่านั้น”

โห่วรู้สึกมึนงง เอ่ยอย่างไม่เข้าใจว่า “เด็กน้อย เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่ อย่าทำลับๆ ล่อๆ จะได้หรือไม่ ข้าร้อนใจจะแย่อยู่แล้ว”

มู่ชิงเกอกลับไม่พูดมากอีก เพียงแต่พูดกับโห่วว่า “ดูต่อ ไปก่อน ละครสนุกกำลังจะเริ่มต้นแล้ว”

โห่วมองไปทางหุบเขาอย่างสงสัย

ภายในหุบเขา ซ่งเทียนจี๋เอ่ยว่า “ในเมื่อพวกเราหาร่องรอยอะไรในหุบเขาไม่เจอ เช่นนั้นก็คงได้แต่เสี่ยงบุกออกไปที่ทางออกแล้ว”

หยุดครู่หนึ่งแล้วเขาก็พูดต่อว่า “เมื่อครู่ข้ายังไม่ทันตั้งตัว เมื่อก้าวออกมาก็มาถึงที่นี่แล้ว ครั้งนี้ข้าจะดูให้ชัดเจน คิดถึงเบาะแสสำคัญในนี้”

“พวกเราคนตั้งมากมาย กลับไม่มีใครสักคนที่รู้จักและเข้าใจค่ายกลอาคมเลยงั้นหรือ” มีคนถามออกมา

ช่งเทียนจี๋ยิ้มและเอ่ยว่า “เรื่องนี้นั้นเข้าใจได้ ค่ายกลอาคมนั้นหายสาบสูญไปจากโลกแห่งยุคกลางนับหมื่นปีแล้ว ไม่เพียงแต่พวกเราที่ไม่เข้าใจ ภายนอกก็ไม่มีใคร เข้าใจเช่นเดียวกัน”

“ชิ ก็ไม่แน่ หรือท่านบัณฑิตลืมไปแล้วว่าเหตุใดพวกเราถึงได้ถูกขังอยู่ที่นี่” ปีศาจที่กระโดดตามมู่ชิงเกอลงมา พูดเยาะเย้ย

คำพูดของเขาทำให้คนอื่นๆ เงียบลง

มีเพียงแค่ซ่งเทียนจี๋ที่มุมปากยังคงมีรอยยิ้มที่ทำให้เขารังเกียจอยู่ พร้อมเอ่ยอย่างเรียบเฉยว่า “เจ้าเมืองลั่วซิงเฉิงมีที่มาลึกลับ จะมีความสามารถทางค่ายกลหรือไม่ นั้นก็ไม่แน่ หรือไม่ที่นี่ก็ไม่ใช่นางเป็นผู้จัดวางเอาไว้ แต่มีมาอยู่ก่อนแล้ว เพียงแค่ถูกนางค้นพบเข้าจึงได้ใช้ประโยชน์จากมันเท่านั้น”

การคาดเดาของเขาทำให้คนอื่นๆ พยักหน้าเห็นด้วย ปีศาจเฒ่าคนนั้นยังคิดจะพูดเสียดสีอีกแต่ก็ถูกคนอื่นๆ ขัดจังหวะ

“เอาล่ะ ตอนนี้พวกเรารีบออกไปก่อนค่อยว่ากันเถอะ ทำตามที่ท่านบัณฑิตพูด พวกเรามาลองออกทางออกนี้กัน” ปีศาจเฒ่าคนหนึ่งพูดออกมา แล้วก็มองไปทางซ่งเทียนจี๋แล้วเอ่ยว่า “ท่านบัณฑิตดูดีๆ ละ”

พูดแล้วเขาก็ก้าวยาวๆ ไปที่ทางออก เมื่อเขาถึงทางออกแล้วก้าวไปก้าวหนึ่ง ทั้งตัวคนก็หายไปจากที่เดิม

ฉากนี้ทำให้นัยน์ตาของซ่งเทียนจี๋หดตัวลง

“เหตุใดคนถึงหายไปแล้ว”

“เขาไปไหนแล้ว”

“เข้าไปในค่ายกลอื่นหรือว่าออกไปแล้ว” คำวิเคราะห์ต่างๆ นานา ดังขึ้นในหูของซ่งเทียนจี๋ ในใจของเขารู้สึกตกตะลึงมาก ลอบพูดว่า ‘แปลก แปลกเกินไปแล้ว’ ตอนนั้นมีปีศาจเฒ่าอีกคนเดินไปทางออกแล้วก็หายไปในพริบตา

ซ่งเทียนจี๋ครุ่นคิดแล้วก็เอ่ยกับคนที่เหลือว่า “พวกเราไปด้วยกันเถอะ” พูดแล้วก็มุ่งหน้าไปยังทางออก

บนยอดเทือกเขา มู่ชิงเกอมองดูฉากนี้อย่างสนใจ รอยยิ้มที่มุมปากถูกกดลึกลงไปอีก แต่โห่วกลับยังคงมึนงง เขาเห็นว่าคนที่เดินออกไปกลับไปอยู่ในหุบเขาชัดๆ เพียงแต่ดูเหมือนว่าคนเหล่านั้นจะมองไม่เห็นเขาเลย

เมื่อสายตาของซ่งเทียนจี๋ชัดเจนขึ้นนั้น ตรงหน้าก็เต็มไปด้วยหินสีแดง บรรยากาศรอบด้านร้อนระอุ ทำให้เหล่าหมอกสีขาวที่ทำให้เขาสงสัยนั้นดูเด่นชัดยิ่งขึ้น

“ท่านบัณฑิต พวกท่านมาแล้ว” คนที่เข้ามาเป็นคนแรกเดินเข้ามาหาเขาในทันที

ซ่งเทียนจี๋ก็รีบเดินเข้าไปหาเขาแล้วถามว่า “ท่านเข้ามาเป็นคนแรก พบอะไรที่ผิดปกติหรือไม่”

คนคนนั้นพยักหน้า “หลังจากข้าเข้ามาแล้ว มองเห็นว่าพวกท่านเองก็อยู่ด้วย แต่ไม่ว่าข้าจะเรียกเท่าไรก็ไม่มีใครตอบ เหมือนมองไม่เห็นข้าและไม่ได้ยินที่ข้าพูด”

อะไรนะ

คำพูดของคนคนนี้ทำให้นัยน์ตาของคนที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดหดตัวลง รู้สึกแปลกประหลาดขึ้นในใจ

ซ่งเทียนจี๋เม้มปากเป็นเส้นตรง นัยน์ตาเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขึ้นมา ‘ดูแล้วที่นี่คงมีช่องว่างที่แตกต่างกันทับซ้อนกันอยู่ไม่ว่าพวกเราจะเดินอย่างไรก็เดินวนอยู่ใน ช่องว่าง ไม่สามารถออกไปได้ ทำให้คนที่ติดอยู่ที่นี่หาจุดบอดไม่เจอ ไม่สามารถทำลายค่ายกลออกไปได้ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป คนที่อยู่ในนี้ก็จะตายหรือไม่ก็เป็นบ้า ค่ายกลที่แปลกประหลาดเช่นนี้ ใครเป็นคนสร้างมันขึ้นมากัน หากเป็นคนในยุคก่อนสร้างเอาไว้ก็ยังพูดง่าย แต่หากเป็นเจ้าเมืองหญิงของลั่วซิงเฉิงเป็นคนลงมือ…’

ซ่งเทียนจี๋ลอบสูดหายใจเข้าแล้วเอ่ยว่า ‘เช่นนั้นนางก็ เป็นอัจฉริยะที่ใกล้เคียงกับปีศาจแล้ว’

“ท่านบัณฑิต” ความเงียบของซ่งเทียนจี๋ทำให้คนอื่นๆ อดถามไม่ได้

ซ่งเทียนจี๋ได้สติแล้วก็ค่อยๆ ส่ายหน้า

เดิมทีเขาคิดจะพูดอะไรสักอย่าง แต่เขายังไม่ทันได้พูด หุบเขาที่เปลี่ยนเป็นสีแดงเพลิงนี้ก็มีเปลวไฟพุ่งออกมาจากตำแหน่งต่างๆ เข้าโจมตีพวกเขา

“เปลวเพลิงเหล่านี้คือพญาเพลิง!” มีคนสัมผัสได้ในทันที

“พญาเพลิง!”

ที่นี่มีพญาเพลิงอยู่ได้อย่างไร

พญาเพลิงหรือ

ในตอนที่ซ่งเทียนจี๋ได้ยินคำคำนี้ก็คิดขึ้นมาได้ในทันทีว่า มู่ชิงเกอนั้นครอบครองรากวิญญาณเพลิง ทั้งยังมีพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิด ‘เช่นนั้นก็หมายความว่า ค่ายกลนี้ ไม่ใช่คนรุ่นก่อนเหลือทิ้งเอาไว้ แต่เป็นมู่ชิงเกอจัดวางขึ้นเอง’

การคาดเดานี้ทำให้ซ่งเทียนจี๋ตกตะลึงมาก ทันใดนั้นเขาก็เกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้น รู้สึกเหมือนว่าตนเองได้ล่วงเกินคนที่ไม่สมควรล่วงเกินเข้า แต่น่าเสียดาย ที่ทุกอย่างนั้นสายไปแล้ว พญาเพลิงในหุบเขาไม่ได้มีเพียงแค่ชนิดเดียว นอกจากพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดที่สามารถมองเห็นได้แล้ว ยังมีพญาเพลิงปาฮวงซูคงที่มองไม่เห็นอีก อันหนึ่งชัดเจน อันหนึ่งหลบซ่อน ทวนในที่แจ้งยังหลบได้ง่าย แต่ ลูกศรในที่ลับนั้นยากจะหลบซ่อน

“อ๊าก!” มีคนส่งเสียงร้องโหยหวนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เพราะโดนพญาเพลิงปาฮวงซูคงทำร้าย

ถึงแม้พญาเพลิงปาฮวงซูคงจะเป็นพญาเพลิงของหลินชวน แต่หลังจากที่มู่ชิงเกอมีรากวิญญาณเพลิงแล้ว บวกกับพลังจากหยวนหยวนก็ทำให้มันพัฒนาขึ้นไป เรื่อยๆ ตามระดับพลังของมู่ชิงเกอ ทำให้พลังของพญาเพลิงในร่างกายของนางแข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้น

ภายในหุบเขาเกิดความชุลมุนขึ้นมา

ตอนนี้ไม่มีใครมีเวลาว่างไปสนใจหมอกขาวที่แปลกประหลาดเหล่านั้นอีก แม้แต่ซ่งเทียนจี๋ที่สัมผัสได้ถึงความผิดปกติแล้วก็ยังคิดวิเคราะห์ไม่ทัน ทำได้เพียง ต้านทานการโจมตีของพญาเพลิง

หุบเขาไม่ได้ใหญ่มาก รอบด้านถูกพญาเพลิงรุมล้อม ถึงพวกเขาจะมีความสามารถแค่ไหนก็ใช้ออกมาไม่ได้

“เร็ว ไปที่ทางออก” ซ่งเทียนจี๋พุ่งตัวไปที่ทางออก ในขณะเดียวกันก็เตือนคนอื่นๆ ไปด้วย

บนยอดเทือกเขา มู่ชิงเกอมองเหล่าปีศาจเฒ่าในหุบเขาที่พากันตามซ่งเทียนจี๋ไปที่ทางออก แล้วก็อดยิ้มบางๆ และพยักหน้าไม่ได้

“ปฏิกิริยาเร็วจริงๆ” นํ้าเสียงนี้แฝงด้วยความชื่นชมอย่างชัดเจน

สิ่งนี้ทำให้โห่วไม่เข้าใจ ว่าเหตุใดนางต้องชื่นชมศัตรูของตนเองด้วย

ซ่งเทียนจี๋ก้าวออกมาอย่างทุลักทุเล แต่ก็ยังคงอยู่ในหุบเขา ที่นี่เปลี่ยนเป็นสีขาวโพลน แต่สิ่งที่ตกลงมาจากอากาศกลับไม่ใช่หิมะ แต่เป็นเปลวเพลิงสีขาวเป็นก้อนๆ

พญาเพลิงปีศาจไป๋กู่

นี่ยังคงเป็นหนึ่งในพญาเพลิงของมู่ชิงเกอ เพียงแต่ไม่ค่อยมีใครรู้จักนัก

‘หนีอีก’ ซ่งเทียนจี๋หันกายอย่างรวดเร็ว คิดจะพุ่งตัวไปยังทางออกอีกครั้ง พวกปีศาจเฒ่าระดับข้ามผ่านเหล่า นั้นก็พากันวิ่งตามเขาไป พวกเขาหนีไปเรื่อยๆ แต่ก็ยังวนอยู่ในหุบเขา ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็หนีไม่รอด

ในที่สุดพวกเขาก็รู้สึกเหนื่อยล้าอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน เหมือนพลังจิตในร่างกายนั้นหายไปหมด ล้มลงอยู่ในหุบเขา แม้แต่จะยกมือขึ้นก็ไม่มีแรงพอ

ไม่มีใครหนีพ้นแม้แต่คนเดียว

ซ่งเทียนจี๋ล้มอยู่บนพื้น เห็นว่ามีคนกำลังเดินเข้ามาใกล้อย่างผ่อนคลาย เขารู้สึกว่าร่างกายอ่อนแอมาก พึมพำออกมาประโยคหนึ่งว่า “หมอกขาวเหล่านั้น…”

“เจ้าฉลาดมาก แต่เสียดายที่กว่าจะค้นพบได้ก็สายเกินไปแล้ว” มู่ชิงเกอยืนอยู่ตรงหน้าของซ่งเทียนจี๋แล้วเอ่ยขึ้นมา

ซ่งเทียนจี๋คิดจะพูดอะไรอีกสักอย่าง แต่ภาพตรงหน้าก็ดำมืด แล้วสลบลงไป

โห่วยืนอยู่ข้างกายมู่ชิงเกอแล้วเอ่ยถามว่า “เด็กน้อย เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่”

มู่ชิงเกอโค้งมุมปากขึ้น ในที่สุดก็เอ่ยจุดมุ่งหมายที่ตนเองวางแผนทุกอย่างนี้ออกมา “ข้าจะประทับตราทาสไว้ในตัวพวกเขา”

วันต่อมาในขณะที่มู่ชิงเกออยู่ที่จวนเจ้าเมืองก็มีองครักษ์ เข้ามารายงานว่าซีเซียนเสวี่ยมาขอพบ

การปรากฎตัวอย่างกะทันหันของซีเซียนเสวี่ยทำให้มู่ชิงเกอแปลกใจมาก แต่นางก็ยังสั่งให้คนพาเข้ามา

ในตอนที่ซีเซียนเสวี่ยมาปรากฎตัวตรงหน้าของตนเองนั้น ท่าทางเหนื่อยล้าอ่อนแรงของนางทำให้มู่ชิงเกอตะลึงจนลุกขึ้นมาจากที่นั่งเจ้าเมือง

นางรีบเดินลงบันไดมารับซีเซียนเสวี่ย

ส่วนซีเซียนเสวี่ยเมื่อเห็นมู่ชิงเกอแล้ว ความเคร่งเครียดก็เหมือนได้รับการปลดปล่อย นางพุ่งตัวเข้าไปในอ้อมอกของมู่ชิงเกอ โอบรอบคอนางโดยไม่สนใจอะไรแล้วก็ร้องไห้อย่างหนัก

“ชิงเกอ…ข้ากลัว…เหตุใดเขาถึงได้เปลี่ยนเป็นเช่นนั้นได้…” คำพูดของนางขาดหายเป็นช่วงๆ ไม่ชัดเจนนัก

แต่มู่ชิงเกอกลับจับสาระสำคัญของมันได้

นัยน์ตาของนางฉายแววเยียบเย็น ส่งสัญญาณให้ทุกคนในห้องโถงออกไป เหลือแค่เพียงนางกับซีเซียนเสวี่ยสองคน รอจนนางร้องไห้พอแล้ว นางถึงได้ดึงซีเซียนเสวี่ยออกมาจากอ้อมอกของตนเองแล้วเช็ดนํ้าตาบนแก้มให้นาง เอ่ยถามเสียงเข้มว่า “บอกข้ามาว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ยาที่ข้าให้ไว้เมื่อครั้งก่อนนั้นเจ้าได้ใช้หรือยัง”

คำถามสองคำถามนี้กลับทำให้ร่างกายของซีเซียนเสวี่ย แข็งทื่อและสั่นสะท้านขึ้นมา

เมื่อมู่ชิงเกอมองเห็นสีหน้าที่ซีดขาวและผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงของนางแล้วก็ถอนหายใจในใจ รินนํ้าอุ่นให้นางจอกหนึ่ง ให้นางดื่มลงไป

ในที่สุดซีเซียนเสวี่ยก็สงบอารมณ์ลงได้ แต่สองมือก็ยังคงกุมจอกที่มู่ชิงเกอมอบให้ไม่ยอมปล่อย นางไม่ยอมพูดในตอนนี้มู่ชิงเกอก็ไม่ได้บังคับ เพียงพานางไปนั่งที่เก้าอี้ด้านข้าง ส่วนตนเองก็นั่งลงข้างๆ นาง เอ่ยปลอบว่า “เซียนเสวี่ย ตอนนี้เจ้าอยู่ในลั่วซิงเฉิง มีข้าอยู่ข้างกายและก็ปลอดภัยมาก ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น เจ้าก็สามารถบอกข้าได้ ในเมื่อเจ้าเลือกมาหาข้าที่นี่ ก็หมายความว่าเจ้าเชื่อใจข้า ใช่หรือไม่”

ซีเซียนเสวี่ยค่อยๆ เงยหน้าขึ้น บนใบหน้าที่งดงามยังมีคราบนํ้าตาอยู่ นัยน์ตาของนางดูน่าสงสารมาก เงาร่างของมู่ชิงเกอสะท้อนอยู่ในดวงตาของนาง ดูเหมือนเป็นความสบายใจเพียงหนึ่งเดียวของนางในตอนนี้

ดวงตาของมู่ชิงเกอนั้นสดใส เปล่งประกายและเรียบสงบทำให้คนรู้สึกสบายใจ

ซีเซียนเสวี่ยพยักหน้าภายใต้การจ้องมองของนาง

ใช่แล้ว เป็นเพราะนางเชื่อใจมู่ชิงเกอ ถึงได้มาลั่วซิงเฉิง ในทันทีหลังจากที่หนีออกมาจากเมืองเทียนคงได้ ไม่เพียงแค่นางรู้สึกว่าอยู่ข้างกายมู่ชิงเกอนั้นทำให้นางสบายใจได้มากกว่าเท่านั้น แต่เป็นเพราะนางอยากจะเอาเรื่องราวที่รู้มาทั้งหมดมาบอกมู่ชิงเกอด้วย

“มา บอกข้าว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่” มู่ชิงเกอเห็นว่าอารมณ์ของซีเซียนเสวี่ยสงบลงแล้วก็ถามอีกครั้ง

ซีเซียนเสวี่ยสูดหายใจเข้าลึกๆ นํ้าตาเอ่อคลอที่ดวงตาอีกครั้ง

นางออกแรงโดยไม่ตั้งใจทำให้จอกชาแตก

เสียงแตกหักทำให้นางได้สติขึ้นมา นางมองไปทางมู่ชิงเกอ ในที่สุดก็ใช้นํ้าเสียงที่เบาและดูวุ่นวายสับสนเอ่ยออกมาว่า “อาจารย์ของข้า…ไม่ เขาไม่คู่ควรเป็น อาจารย์ของข้า…นักบวชเทวะของตำหนักเทพคนนั้น เข้ามาในห้องของข้ากลางดึกคิดจะข่มเหงข้า ในช่วงเวลาคับขัน ข้าได้ใช้ยาที่เจ้าให้มาถึงหนีออกมาได้ ข้าไม่กล้ากลับตระกูลซีจึงได้หนีออกจากเมืองเทียนคงมาหาเจ้าที่ลั่วซิงเฉิง…”

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแวววาววาบ ไอสังหารในใจพุ่งออกมา พูดอย่างเยียบเย็นว่า “เจ้าเดียรัจฉานตัวดี”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!