ตอนที่ 551
นับแต่นี้เป็นต้นไปเจ้าไม่ใช่ธิดาเทพอีก
“เจ้าเดียรัจฉานตัวดี!” นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแวววาววาบเต็มไปด้วยไอสังหาร
นางสามารถเดาได้เลยว่าหากครั้งนั้นซีเซียนเสวี่ยไม่มาหานาง และนางไม่ได้มอบยาไว้ให้อีกฝ่ายป้องกันตัว ตอนนี้ซีเซียนเสวี่ยจะพบเจอกับอะไรบ้าง
“หลังออกมาจากสุสานเทพ ข้าก็กลับไปตำหนักเทพ แต่ตอนที่เดินไปถึงนอกห้องโถงกลับมองเห็น…” จิตใจของซีเซียนเสวี่ยค่อยๆ สงบลง เริ่มสรุปเรื่องให้มู่ชิงเกอฟัง
วันนั้น นางได้ยินว่าตำหนักเทพต้องการทำร้ายมู่ชิงเกอถึงได้ลอบจากไปอย่างตกใจ
เมื่อกลับไปถึงที่พักของตนเอง นางก็คิดว่าจะแจ้งเรื่องให้มู่ชิงเกอทราบอย่างไรดี อยากรู้ว่ามู่ชิงเกอปลอดภัยดีหรือไม่ และคืนนั้นอาจารย์ของนางก็มาหาถึงห้องของนาง
“อาจารย์?” การมาในยามคํ่าคืนทำให้ซีเซียนเสวี่ยตกใจ เมื่อนึกย้อนกลับไปก็ยิ่งรู้สึกว่าสายตาที่อาจารย์มองตนเองนั้นดูผิดปกติ รวมทั้งเรื่องที่ได้ยินในตอนกลางวันนอกห้องโถงทำให้นางไม่กล้าชะล่าใจ
“เซียนเสวี่ย เจ้าออกมาจากสุสานเทพแล้วเหตุใดจึงไม่ไปพบอาจารย์” นักบวชเทวะนั่งลงในห้องของนางแล้วเอ่ยถาม นํ้าเสียงยังคงเหมือนเดิม
แต่ในสายตาของซีเซียนเสวี่ยในตอนนี้ เขาไม่ใช่อาจารย์ที่นางคุ้นเคยคนนั้นอีกต่อไป เขาดูน่ากลัว น่าขยะแขยง น่ารังเกียจ สกปรก
“ข้า…ข้ารู้สึกเหนื่อยดังนั้นจึงคิดจะพักผ่อนก่อนแล้วค่อยไปพบอาจารย์” ซีเซียนเสวี่ยหาข้ออ้าง แต่ก็เห็นได้ชัดว่านางโกหกได้ไม่เก่งนัก ที่สำคัญก็คือนางไม่รู้ว่าในตอนที่นางอยู่ด้านนอกห้องโถงนั้น นักบวชเทวะรู้สึกถึงตัวตนของนางแล้ว
“เหนื่อยหรือ ได้รับบาดเจ็บตอนอยู่ในสุสานเทพหรือเปล่า” ทันใดนั้นนักบวชเทวะก็ยืนขึ้นแล้วเดินเข้ามาหานาง
แสงโคมไฟด้านหลังนักบวชเทวะทำให้เงาของเขาทอดลงมาที่ด้านหน้าโอบคลุมตัวซีเซียนเสวี่ยไว้
ซีเซียนเสวี่ยถอยหลังไปเรื่อยๆ สายตาดูสับสนวุ่นวายขึ้นมา
“อาจารย์ ข้าไม่ได้บาดเจ็บ เพียงแต่เสียพลังมากเกินไป อยากจะนั่งสมาธิพักผ่อนหลายวัน รอข้าพักผ่อนดีแล้วก็จะไปพบอาจารย์’ ซีเซียนเสวี่ยรีบเอ่ย
“อ้อ เสียพลังมากเกินไปงั้นหรือ ต้องการให้อาจารย์ช่วยหรือไม่” นํ้าเสียงของนักบวชเทวะเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนขึ้นมา
ซีเซียนเสวี่ยรีบคุกเข่าลง เอ่ยกับนักบวชเทวะว่า “อาจารย์ ศิษย์ไม่กล้ารบกวนอาจารย์ ตอนนี้ก็ค่ำมืดแล้ว ขอเชิญอาจารย์กลับไปที่ตำหนักเพื่อพักผ่อนเถอะเจ้าค่ะ”
ในที่สุดนักบวชเทวะก็หยุดลง นัยน์ตาที่ดำมืดของเขาก้มลงมองช่วงคอที่โผล่พ้นเสื้อออกมาจากการที่ซีเซียนเสวี่ยก้มหน้า อารมณ์บางอย่างปรากฎขึ้นในดวงตา สุดท้ายเขาก็เอ่ยว่า “เอาเถอะ คืนนี้ข้าจะกลับไปก่อน ในเมื่อเจ้าเหนื่อยแล้ว สองสามวันนี้ก็พักผ่อนอยู่ที่นี่เถอะ อย่าได้ออกไปไหนโดยพลการ อีกไม่กี่วันข้าจะมา อีก อาจารย์มีอีกหลายเรื่องที่อยากจะถามเจ้า”
พูดจบแล้ว นักบวชเทวะก็จากไป แต่คำพูดที่เขาทิ้งเอาไว้ก่อนไปกลับทำให้ซีเซียนเสวี่ย หัวใจเต้นแรงขึ้นมา
คำพูดนั้นเหมือนเป็นการกักตัวนางเอาไว้
อีกอย่าง…เขามีอะไรจะถามตนเองกัน
นัยน์ตาของซีเซียนเสวี่ยฉายแวววาววาบ ความคิดไหลวนอย่างรวดเร็ว เรื่องที่นางร่วมทางกับพวกมู่ชิงเกอในสุสานเทพจะต้องปิดตำหนักเทพไม่ได้อย่างแน่นอน
แต่เรื่องนี้จะหมายถึงสิ่งใดกัน
ซีเซียนเสวี่ยอยู่ภายใต้ความหวาดกลัวมาหลายวัน นางคิดจะส่งข่าวแจ้งให้มู่ชิงเกอระวังตำหนักเทพอยู่หลายรอบแต่กลับหาโอกาสไม่ได้เลย
เมื่อหมดหนทางนางก็ได้แต่แกล้งนั่งสมาธิฝึกฝน หวังให้นักบวชเทวะคลายความระแวงนางลง
หลังจากผ่านไปหลายวัน นักบวชเทวะก็มาที่ห้องของนางในยามดึกอีกครั้ง
แต่ครั้งนี้เมื่อนักบวชเทวะเข้ามา ซีเซียนเสวี่ยก็สัมผัสได้ถึงความแตกต่าง ดูเหมือนอสูรร้ายที่ซ่อนอยู่ในนัยน์ตาของนักบวชเทวะกำลังจับจ้องมาที่นาง และเต็มไปด้วยความรู้สึกอยากครอบครอง
นักบวชเทวะนั่งอยู่ในห้องของซีเซียนเสวี่ย เอ่ยกับนางว่า “เซียนเสวี่ย อาจารย์เชื่อใจเจ้ามาตลอด เจ้ามีอะไรปิดบังอาจารย์หรือไม่”
ซีเซียนเสวี่ยตกใจ แต่ก็พูดอย่างสงบนิ่งว่า “เซียนเสวี่ยไม่รู้ว่าอาจารย์พูดถึงเรื่องอะไร”
นักบวชเทวะจ้องมองนางแล้วเอ่ยถามเสียงเข้มว่า “เจ้ากับมู่ชิงเกอคนนั้นมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันใช่ไหม เหตุใดข้าถึงไม่เคยได้ยินเจ้าพูดถึงมาก่อน ครั้งก่อนที่เจ้าพบกับนางในตำหนักเทพก็ยังดูสงบนิ่งมาก’’
ซีเซียนเสวี่ยหลุบตาลง เอ่ยตอบอย่างระมัดระวังว่า “อาจารย์คิดมากเกินไปแล้ว ระหว่างข้ากับเจ้าเมืองมู่นั้นเป็นเพียงแค่การร่วมมือกัน แต่ละคนได้ประโยชน์ ของใครของมันก็เท่านั้น หากเรื่องที่อาจารย์พูดถึงคือเรื่องการเดินทางร่วมกันในสุสานเทพนั้นก็ไม่ได้มีเพียงมู่ชิงเกอคนเดียว ยังมีเหยาชิงไห่ของตระกูลเหยาแห่งภาค ตะวันออก จีเหยาฮั่วแห่งภาคเหนือ อิ๋งเจ๋อแห่งภาค ตะวันตก…”
“ยังมีเว่ยมั่วลี่แห่งตระกูลเว่ยอีกใช่ไหม” นักบวชเทวะตัดบทพูดของซีเซียนเสวี่ยอย่างไม่เกรงใจ
ซีเซียนเสวี่ยเงยหน้าขึ้นมองเขา พูดว่า “ระหว่างข้าและเว่ยมั่วลี่นั้นไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกัน”
“ชิ ใช่หรือ” นักบวชเทวะยืนขึ้น ค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้นาง
ซีเซียนเสวี่ยไม่กล้าขยับ ได้เพียงแต่ลอบระวัง
นักบวชเทวะเอ่ยว่า “นับตั้งแต่ครั้งก่อนที่เจ้าออกมาจากสนามรบโบราณแห่งเทพมาร ข้าก็พบว่าใจของเจ้าไม่สงบดังเดิม ทั้งยังใส่ใจเว่ยมั่วลี่แห่งตระกูลเว่ยเป็นพิเศษ ตอนนี้เจ้ามาบอกข้าว่าเจ้ากับเขาไม่มีความสัมพันธ์อะไรกันงั้นหรือ”
“ศิษย์บริสุทธิ์ใจ หากอาจารย์ไม่เชื่อ ข้าเองก็จนปัญญา” ซีเซียนเสวี่ยพยายามพูดอย่างสงบนิ่ง
“บริสุทธิ์ใจงั้นหรือ” นักบวชเทวะหรี่ตาเล็กลง
เขาเดินเข้าไปใกล้อีก เงาดำบนร่างโอบคลุมตัวของซีเซียนเสวี่ยเอาไว้
“หากว่าเจ้าบริสุทธิ์ใจ เช่นนั้นเหตุใดวันก่อนมาถึงนอกห้องโถงแล้วถึงไม่เข้าไป แต่กลับซ่อนตัวแอบฟัง จากนั้นก็ยังลอบจากไปอีก ที่ข้ามาในครั้งก่อนก็เพื่อให้โอกาสเจ้า แต่เจ้ากลับทำให้ข้าผิดหวัง” คำพูดของนักบวชเทวะทำให้ซีเซียนเสวี่ยรู้สึกถึงอันตรายที่กำลังคืบคลานเข้ามา
นางมองนักบวชเทวะที่เข้ามาใกล้นางแล้วอธิบายว่า “ข้าไม่ได้ซ่อน แต่รู้สึกว่าอาจารย์กำลังพูดคุยเรื่องสำคัญอยู่ ข้าจึงไม่อยากเข้าไปรบกวน”
“เซียนเสวี่ย หลายปีมานี้ข้าปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไร” ทัน ใดนั้นนักบวชเทวะก็เอ่ยออกมา
ซีเซียนเสวี่ยหลุบตาลง เอ่ยเสียงเบาว่า “อาจารย์ดีต่อข้ามาก”
“เช่นนั้นเจ้าตอบแทนข้าอย่างไร” ทันใดนั้นเสียงของนักบวชเทวะก็เปลี่ยนเป็นเข้มงวดขึ้นมา
ซีเซียนเสวี่ยเงยหน้าขึ้นในทันใดและก็มองเห็นใบหน้าอันบ้าคลั่งน่ากลัวของนักบวชเทวะที่เข้ามาประชิดตัวนางอย่างฉับพลัน นางถอยหลังไปอย่างไม่รู้ตัว คิดจะสร้างระยะห่างระหว่างทั้งสองคน
แต่นางเพิ่งจะขยับก็ถูกนักบวชเทวะจับข้อมือ ดึงนางแล้วเหวี่ยงนางไปบนเตียง
“อาจารย์!”
ซีเซียนเสวี่ยเจ็บและตกใจจึงร้องออกมาและคิดจะลุกขึ้นมาจากเตียง
แต่ร่างกายอันสูงใหญ่ของนักบวชเทวะกลับกดลงมาที่ตัวนาง กักขังนางเอาไว้อย่างแน่นหนา ทั้งยังยื่นมือออกมาคิดจะฉีกกระโปรงของนางออก
“อาจารย์! ท่านจะทำอะไร!” ซีเซียนเสวี่ยทั้งขัดขืน ทั้งร้องออกมาอย่างหวาดกลัว
นักบวชเทวะยิ้มเย็น ไม่ปิดซ่อนความปรารถนาในดวงตาอีกต่อไป “ทำอะไรงั้นหรือ ตอนนี้ข้าจะทำอะไรเจ้า ยังดูไม่ออกอีกหรือ เจ้าเป็นธิดาเทพ เป็นผู้หญิงที่สูง ศักดิ์ที่สุดในโลกแห่งยุคกลาง หากเจ้าจะรู้สึกหวั่นไหวก็ต้องหวั่นไหวกับข้าได้คนเดียวเท่านั้น ต้องเป็นของข้าเพียงคนเดียว!
แควก
เสียงกระโปรงฉีกขาดทำให้ซีเซียนเสวี่ยตื่นตกใจ นางทั้งขัดขืน ทั้งล้วงเอาขวดยาที่มู่ชิงเกอมอบไว้ให้นางป้องกันตัวเองออกมาจากแหวนซวีหมี…
“…ข้าทำลายขวดยา กลิ่นอายด้านในกระจายออกมา ทำให้เขาสลบลงบนร่างของข้า ส่วนตัวข้าเองก็ได้รับผลกระทบอยู่บ้าง ข้าทำตามวิธีที่เจ้าสอนจึงไม่ได้สลบไป จากนั้นก็ฉวยโอกาสหนีออกจากตำหนักเทพ แต่ข้ากังวลว่าหากกลับไปตระกูลซีแล้วเมื่อเขาตื่นขึ้นมาจะหาข้าพบได้ง่ายๆ ทั้งจะทำให้ตระกูลซีลำบาก จึงได้หนีมา หาเจ้าที่นี่ ชิงเกอ ตำหนักเทพไม่ใช่ตำหนักเทพที่ข้ารู้จักอีกแล้ว อาจารย์ก็ไม่ใช่อาจารย์ที่ข้ารู้จักอีกต่อไป เจ้าต้องระวังตัวอย่าให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นได้” ซีเซียนเสวี่ยพูดกับมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอกลับสงบนิ่งมาก นอกจากจะโมโหเรื่องที่นักบวชเทวะคิดจะทำกับซีเซียนเสวี่ยแล้ว เรื่องอื่นๆ นั้นนางไม่ได้ใส่ใจ นางมองซีเซียนเสวี่ยแล้วเอ่ยว่า “บางทีก่อน หน้านี้เจ้าอาจจะยังไม่รู้จักตำหนักเทพและนักบวชเทวะที่แท้จริงก็ได้นะ”
ซีเซียนเสวี่ยชะงัก ไร้คำพูดจะตอบโต้
ระหว่างทางที่นางหนีมายังลั่วซิงเฉิงก็มองเห็นรายการความผิดของตำหนักเทพเหล่านั้นแล้ว
มีบางอย่างที่นางเคยได้ยินแต่เนื้อหาก็ไม่เหมือนกับฉบับที่เคยเห็น แต่นางกลับเชื่อฉบับที่กำลังเล่าลือกันอยู่ในตอนนี้มากกว่า
“ชิงเกอ เจ้าจะเปิดศึกกับตำหนักเทพจริงๆ งั้นหรือ” ผ่านไปนาน ซีเซียนเสวี่ยถึงพูดออกมา
มู่ชิงเกอพยักหน้าแล้วพูดอย่างสงบว่า “ข้าไม่อยากยอมแพ้ใคร ไม่อยากให้ใครมารังแก สิ่งเดียวที่ทำได้ก็คือลุกขึ้นสู้”
“แต่ตำหนักเทพไม่ได้จัดการง่ายอย่างที่เจ้าคิด เป็นศัตรูกับมันเหมือนการเอาไข่ไปกระทบกับหิน” ซีเซียนเสวี่ยเอ่ยอย่างร้อนใจ
“แม้จะเป็นเช่นนี้ ข้าก็อยากจะชนดูสักตั้ง มิเช่นนั้นแล้วจะให้ข้าทำอย่างไร จะให้ประชาชนของข้าทำอย่างไร ให้ยอมเป็นทาสหรือสุนัขรับใช้ที่ซื่อสัตย์ของตำหนักเทพงั้นหรือ” มู่ชิงเกอพูดขึ้นมา
ซีเซียนเสวี่ยขบริมฝีปาก นางเข้าใจมู่ชิงเกอ และก็รู้จากนิสัยของมู่ชิงเกอว่านางจะต้องไม่ยอมอดสูเช่นนั้นแน่นอน
นางเป็นคนประเภทที่ยอมให้แหลกสลายดีกว่าเสียศักดิ์ศรี มีอยู่หลายครั้งที่นางสามารถรอดูสถานการณ์และรอมชอมได้ แต่สิ่งนั้นก็ไม่สามารถสั่นคลอนเป้า หมายและหลักการของนางได้
หากว่าแตะโดนขีดจำกัดและหลักการของนางแล้ว นางก็จะไม่ยอมเด็ดขาด
“บางที ข้าอาจมีวิธีที่จะสามารถหลีกเลี่ยงศึกได้” ซีเซียนเสวี่ยรวบรวมความกล้าแล้วเอ่ยกับมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอเลิกคิ้ว เอ่ยถามว่า ”วิธีอะไรหรือ’’
เมื่อมีสงครามก็ต้องมีคนตาย หากมีวิธีหลีกเลี่ยงศึก นางก็ยินดีที่จะรับฟัง
ซีเซียนเสวี่ยเอ่ยว่า “ข้าเป็นธิดาเทพ เป็นผู้นำคนต่อไปของตำหนักเทพ เพียงแค่นักบวชเทวะตายแล้ว ข้าก็จะเป็นเจ้านายของตำหนักเทพ…”
มู่ชิงเกอเข้าใจความหมายของนางแล้ว
“ไม่” มู่ชิงเกอปฏิเสธไปโดยไม่ต้องคิด นางไม่อยากให้ซีเซียนเสวี่ยต้องเสียสละตนเองแล้วไปอยู่ในสถานที่สกปรกเช่นนั้นไปตลอดชีวิตเพียงเพื่อคุ้มครองความ
ปลอดภัยของตนเอง ชัยชนะที่นางต้องการไม่ใช่แบบนั้น
“แต่นี่เป็นวิธีที่ปลอดภัยและดีที่สุด” ซีเซียนเสวี่ยยืนขึ้น นางเชื่อว่าอาศัยไพ่ตายของมู่ชิงเกอบวกกับตัวเองนั้นจะสามารถฆ่านักบวชเทวะได้
“เจ้าชอบตำแหน่งธิดาเทพนี้หรือไม่” ทันใดนั้นมู่ชิงเกอก็ย้อนถาม
ซีเซียนเสวี่ยชะงัก เหม่อลอยไปเล็กน้อย “ข้า…”
“เจ้าไม่ได้ชอบมันใช่หรือไม่ เจ้าเคยบอกว่าการเข้าไปในตำหนักเทพนั้นไม่ใช่สิ่งที่เจ้าเลือกเอง และเจ้าก็ไม่เคยมีความสุขที่ตำหนักเทพ” มู่ชิงเกอพูดขึ้นมาอีก
ซีเซียนเสวี่ยไม่มีคำพูดจะตอบโต้ เพราะนางไม่อาจหลอกมู่ชิงเกอได้ นางไม่ชอบตำหนักเทพจริงๆ และก็ไม่ได้สนใจตำแหน่งธิดาเทพอะไรนั้นด้วย ทั้งยังไม่อยากจะอยู่ในตำหนักใหญ่ที่แสนเย็นยะเยือกรอคอยคำสั่งจากเทพไปตลอดกาล
“เซียนเสวี่ย เจ้ามองข้า” ทันใดนั้นมู่ชิงเกอก็เข้าไปใกล้ซีเซียนเสวี่ย ในตอนที่นางเงยหน้าขึ้นมาเผชิญหน้ากับตนเอง มู่ชิงเกอก็พูดกับนางว่า “นับแต่นี้ต่อไป เจ้าไม่ ใช่ธิดาเทพของตำหนักเทพและไม่มีความสัมพันธ์อะไรกับตำหนักเทพอีก เจ้าเป็นตัวของเจ้าเอง เป็นซีเซียนเสวี่ย”