ตอนที่ 553
พลังความศรัทธา
“มั่วหยาง มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ข้าต้องการให้เจ้าไปจัดการด้วยตนเอง” มู่ชิงเกอวางรายงานฉบับหนึ่งไว้บนโต๊ะ แล้วเงยหน้าขึ้นพูดกับมั่วหยางที่ยืนอยู่ด้านล่าง
ในม้วนกระดาษฉบับนี้เขียนเรื่องเรื่องหนึ่งเอาไว้
ตำหนักเทพประกาศเรื่องเรื่องหนึ่งไปทั้งห้าภาค ‘…ธิดาเทพของตำหนักเทพถูกลั่วซิงเฉิงใช้วิธีสกปรกลักพาตัวไป ตำหนักเทพจึงขอประกาศไปทั้งใต้หล้าว่า จะส่งกองกำลังไปยังลั่วซิงเฉิงเพื่อช่วยธิดาเทพออกมา และทำลายลั่วซิงเฉิงให้ราบเป็นหน้ากลอง…’
ตัวอักษรในม้วนกระดาษนั้นเขียนให้อ่านง่าย ดูเหมือนอยากจะให้ประชาชนทั้งห้าภาคในโลกแห่งยุคกลางสามารถเข้าใจได้
ม้วนกระดาษฉบับนี้ไม่เพียงแต่ติดอยู่นอกตำหนักเทพทุกแห่ง แต่ยังใช้อสูรเวหาส่งไปทุกเมืองและทุกๆ ตระกูลอีกด้วย
ดูเหมือนตำหนักเทพคิดจะรวมกำลังพลของทั้งโลกแห่งยุคกลางมาต่อกรกับลั่วซิงเฉิง ทำให้ลั่วซิงเฉิงไม่มีทางไป กลายเป็นอสูรที่ถูกขัง
“คุณชาย เชิญท่านสั่งมาได้เลย’’ มั่วหยางยืนอยู่ด้านหน้าของมู่ชิงเกอ ประสานมือกล่าว
มู่ชิงเกอหรี่ตาเล็กลง เอ่ยกับเขาว่า “เจ้าเลือกคนที่เฉลียวฉลาดสักกลุ่มไปปะปนตัวอยู่ในทุกๆ เมืองของทั้งห้าภาค ข้าต้องการให้เจ้าทำเช่นนี้…”
นางยืดกายไปข้างหน้าเล็กน้อย สั่งการมั่วหยางเบาๆ หลังจากมั่วหยางฟังจบแล้ว นัยน์ตาก็ฉายแววตกตะลึง
มู่ชิงเกอเหยียดหลังตรง เผชิญหน้ากับความตกตะลึงของเขาอย่างเรียบสงบ นางพูดว่า “เรื่องนี้จะต้องทำโดยคนที่มีพื้นเพอยู่ในโลกยุคกลางเท่านั้น อีกทั้งยังต้อง ดำเนินการอย่างระมัดระวัง อย่าทิ้งร่องรอย”
“ข้าน้อยเข้าใจแล้ว” มั่วหยางค่อยๆ พยักหน้า
แต่ในดวงตาของเขายังมีความสงสัยอยู่ จึงอดถามไม่ได้ว่า “คุณชาย ทำเช่นนี้จะมีประโยชน์อะไร ลือกันว่ากองกำลังชุดแรกของตำหนักเทพที่มีถึงหนึ่งแสนคนได้ออกเดินทางจากภาคกลางมายังลั่วซิงเฉิงแล้ว พวกเราไม่ต้องวางแผนเตรียมรับศึกก่อนอย่างนั้นหรือ”
แต่มู่ชิงเกอกลับพูดอย่างมั่นใจว่า “กองกำลังหนึ่งแสนนายงั้นหรือ อยากจะโจมตีลั่วซิงเฉิงของข้า กองกำลังแค่หนึ่งแสนนายนั้นไม่เพียงพอหรอก”
ครู่หนึ่งนางก็อธิบายถึงข้อสงสัยของมั่วหยาง “เจ้ารู้หรือไม่ว่าประโยชน์ที่สำคัญที่สุดของตำหนักเทพคืออะไร หรือจะพูดว่าตำหนักเทพมีอยู่เพื่ออะไร”
มั่วหยางชะงัก ค่อยๆ ส่ายหน้า
ไม่มีใครเสียเวลาไปคิดถึงความหมายการคงอยู่ของฐานกำลังมีอยู่มายาวนานหลายหมื่นปีหรอก มีเพียงจะคิดว่าการคงอยู่ของมันนั้นเหมาะสมและสมเหตุสมผลอยู่แล้ว
นี่เป็นความคุ้นเคยตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงชนิดหนึ่ง หากว่ามู่ชิงเกอไม่ได้ยินซือมั่วพูดถึงที่มาของตำหนักเทพโดยไม่ตั้งใจ เกรงว่าจนถึงตอนนี้นางก็ยังคงไม่ได้คิดถึงสิ่งเหล่านี้
“ตำหนักเทพคงอยู่เพื่อช่วยเผ่าเทพบนแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารรวบรวมพลังความศรัทธา” มู่ชิงเกอพูดคำตอบที่ซือมั่วเคยบอกนางออกมา
“พลังความศรัทธา?” นัยน์ตาที่สงบนึ่งของมั่วหยางหดตัวลง พึมพำออกมาอย่างไม่เข้าใจ
มู่ชิงเกอพยักหน้าเล็กน้อย ค่อยๆ เดินไพล่หลังลงมาจากแท่นสูง นางเดินลงมาตามบันได มั่วหยางที่ยืนอยู่ที่ตีนบันไดผละตัวหลบ โค้งกายลงเล็กน้อย
“พูดกันว่าพลังความศรัทธานั้นเป็นทางลัดในการฝึกปรือชนิดหนึ่งของเผ่าเทพบนแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมาร มีพลังความศรัทธาแล้วจะทำให้ให้พวกเขาฝึกปรือได้เร็วขึ้นมาก” มู่ชิงเกอเดินไปถึงข้างหน้าต่าง มองไปยังตัวเมืองที่มีบรรยากาศตึงเครียดเล็กน้อย แล้วเอ่ยขึ้นมาอย่างผ่อนคลาย
“มีเรื่องเช่นนี้อยู่ด้วยหรือ’’ มั่วอย่างเอ่ยอย่างตกตะลึง
มู่ชิงเกอค่อยๆ พยักหน้า “ใช่ ตอนแรกที่ข้าได้ยินก็ตะลึงมากเช่นเดียวกัน แต่ประโยชน์ของพลังความศรัทธานั้นสามารถทำให้เผ่าเทพฝึกปรือได้เร็วขึ้นก็จริง แต่ก็มีข้อเสียอยู่ด้วย ข้อเสียของมันก็คือ หากพลังความศรัทธาถูกทำลาย การฝึกปรือของพวกเขาก็จะหยุดชะงักและจะเกิดการสะท้อนกลับ”
นัยน์ตาของมั่วหยางหดตัวลง เม้มปากแน่นเป็นเส้นตรง ดูเหมือนเขาจะค่อยๆ เข้าใจแล้วว่าแผนที่มู่ชิงเกอจัดวางเอาไว้ก่อนหน้านี้นั้นทำเพื่ออะไร “คุณชาย หรือพลังความศรัทธานี้ก็มีประโยชน์ต่อตำหนักเทพด้วย”
มู่ชิงเกอหันมองเขา แล้วถามกลับว่า “เจ้าคิดว่าเหตุใดตำหนักเทพถึงได้มีนักฆ่าระดับสูงตั้งมากมาย”
ตอนอยู่ที่แม่นํ้ารั่ว นางก็สัมผัสได้แล้วว่านักฆ่าของตำหนักเทพเหล่านั้น ส่วนมากล้วนแต่อาศัยโอสถเพาะเลี้ยงขึ้นมา ไม่ได้ฝึกปรือตามปกติ
หลังจากนั้นนางถึงเข้าใจว่าที่ตำหนักเทพใช้นั้นไม่ใช่โอสถ แต่เป็น…พลังความศรัทธา
“พลังความศรัทธา” มั่วหยางพูดออกไปภายใต้สายตาของมู่ชิงเกอ
นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแวววาววาบ ยิ้มบางๆ พยักหน้าเอ่ยว่า “ไม่ผิด เป็นพลังความศรัทธา เมื่อพลังความศรัทธามีประโยชน์ต่อเผ่าเทพ เช่นนั้นบ่าวของเผ่าเทพอย่างตำหนักเทพก็ต้องรู้จักวิธีใช้และประโยชน์ของมัน จุดนี้เมื่อวานข้าได้สอบถามกับเซียนเสวี่ยแล้ว ภายในตำหนักเทพนั้นมีสถานที่ลับอยู่แห่งหนึ่งจริงๆ เอาไว้เพื่อมอบพลังความศรัทธาแก่เผ่าเทพโดยเฉพาะ คนที่จะสามารถเข้าไปฝึกฝนด้านในได้ก็ล้วนแต่เคยทำงานใหญ่ให้แก่ตำหนักเทพทั้งนั้น”
มั่วหยางตะลึง เขาคิดไม่ถึงว่าตำหนักเทพจะมีความลับเช่นนี้อยู่ด้วย “เช่นนั้นคุณหนูซี…”
มู่ชิงเกอส่ายหน้า “เซียนเสวี่ยไม่ได้ไปฝึกฝนด้านใน ร่างกายของนางนั้นแตกต่างออกไป ไม่จำเป็นต้องใช้พลังภายนอกเช่นนั้นช่วยเหลือ”
มู่ชิงเกอรู้ว่ามั่วหยางจะต้องถามเช่นนี้จึงได้อธิบายไปตรงๆ
มั่วหยางพยักหน้าอย่างเข้าใจแล้วพูดว่า “ดังนั้นเพียงแค่พวกเราทำลายพลังความศรัทธาของพวกเขา สำหรับตำหนักเทพและเหล่าทหารที่ตำหนักเทพเพาะเลี้ยงขึ้น มาเหล่านั้นก็จะเป็นเหมือนการโจมตีทำลายล้างในกระบวนท่าเดียว”
“ไม่ผิด” มู่ชิงเกอพยักหน้า “เมื่อเผ่าเทพไม่มีพลังความศรัทธาก็จะได้รับการสะท้อนกลับ คนในตำหนักเทพไม่ว่าจะเป็นพลังจิตหรือวิญญาณในร่างกายก็ไม่ แข็งแกร่งสู้เผ่าเทพ การสะท้อนกลับก็จะยิ่งรุนแรงกว่า”
มั่วหยางเม้มปากพยักหน้า
มู่ชิงเกอเอ่ยอีกว่า “พลังความศรัทธามาจากความเชื่อที่ประชาชนมีต่อตำหนักเทพและเทพ ฟังดูแล้วร้ายกาจมาก แต่ในความเป็นจริงก็อ่อนแอมากเช่นกัน สิ่งที่พวก เราต้องทำก็คือทำให้ประชาชนเกิดความสงสัยต่อพวกเขาเท่านั้นก็พอ”
มั่วหยางพยักหน้าแล้วโค้งกายถอยออกไปอย่างรวดเร็ว
เขาเข้าใจแล้วว่าเหตุใดมู่ชิงเกอถึงไม่ใช้องครักษ์เขี้ยวมังกรที่นางไว้ใจที่สุดไปทำเรื่องนี้ กลับไปใช้คนที่เลือกเข้ามาลั่วซิงเฉิงทีหลังและเป็นคนที่มีพื้นเพอยู่ในโลกแห่งยุคกลางไปทำเรื่องนี้
เพราะว่าคนท้องถิ่นจะมีแรงจูงใจมากกว่า
มู่ชิงเกอมองแผ่นหลังที่จากไปของมั่วหยางแล้วหรี่ตาเล็กลง นางพึมพำว่า “เจ้าใส่ร้ายข้าว่าลักพาตัวธิดาเทพ ใช้เซียนเสวี่ยเป็นข้ออ้างบุกโจมตีข้า เช่นนั้นข้าก็ต้องตอบแทนเสียบ้าง”
ภาคกลาง เมืองเทียนคง ภายในตำหนักเทพ
หลังจากนักบวชเทวะได้รับรายงานแล้วก็รีบไปยังสถานที่รวบรวมพลังความศรัทธาในทันที
ที่นั่นเป็นเขตหวงห้ามที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในตำหนักเทพ ถูกเฝ้าระวังอย่างแน่นหนา ไม่อนุญาติให้ใครเข้าใกล้
แต่เขาเพิ่งจะได้รับรายงานว่าพลังความศรัทธาที่เขาคอยเฝ้าระวังเป็นอย่างดีได้รับความเสียหาย พลังความศรัทธาที่ควรจะบริสุทธิ์ไร้มลทินกลับปรากฎสีเทาปะปน
จะยอมให้เป็นเช่นนี้ไม่ได้
พลังความศรัทธาจะต้องบริสุทธิ์ไร้มลทินถึงจะใช้ประโยชน์ได้
นักบวชเทวะพุ่งเข้าไปในห้องโถง เขามองขึ้นไปยังเสากลมสูงเสียดฟ้าอันนั้น เสากลมนั้นมีขนาดไม่ใหญ่มาก ผู้ใหญ่สองคนก็สามารถโอบรอบได้ เสากลมนี้โปร่งแสง ด้านในมีแสงสีทองวาววาบ มีพลังสะท้อนกลับสีฟ้า รอบเสากลมมีก้อนแผ่นดินห้าแผ่นลอยอยู่ พลังความศรัทธาสีทองเหล่านั้นกลายเป็นจุดแสงเล็กละเอียดลอยออกจากภาคต่างๆ เข้าไปในเสากลมโปร่งแสงเสานั้น ภายในเสากลมมีพลังความศรัทธารวมตัวอยู่ ทั้งยังค่อยๆ ลอยขึ้นไปด้านบนตามเสากลมไป ดูเหมือนจะสามารถส่งไปถึงแผ่นดินเทพทั้งสี่สมุทรได้…
นี้ก็คือพลังความศรัทธาอันบริสุทธิ์ แต่ตอนนี้ภายในพลังความศรัทธาเหล่านี้กลับปรากฎสีเทาปะปนขึ้นมา สีเทานั้นเล็กมากดุจดั่งเส้นผมคน แต่แม้จะเล็กแค่ไหนก็ ทำให้พลังความศรัทธาไม่บริสุทธิ์อีกต่อไป
นัยน์ตาของนักบวชเทวะฉายแววเกรี้ยวโกรธ เขาหันกลับไปถามผู้รับใช้เทพเสียงเข้มว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น เหตุใดในพลังความศรัทธาถึงได้มีสีเทาปรากฎขึ้นได้”
ผู้รับใช้เทพที่ถูกตำหนิหวาดกลัวจนคุกเข่าลง พูดเสียงสั่นว่า “ราย…รายงานนักบวชเทวะ…ข้าน้อย…ข้าน้อยก็ไม่รู้…”
หน้าที่ของเขามีเพียงแค่เฝ้าดูพลังความศรัทธา จะไปรู้ได้อย่างไรว่าด้านในจะมีสีเทาเกิดขึ้นได้ด้วย
“สีเทาเหล่านี้ปรากฎขึ้นเมื่อไหร่” นักบวชเทวะเอ่ยถามด้วยสายตาที่ดูบ้าคลั่ง
“เช้า…เช้านี้…” ผู้รับใช้เทพคนนั้นเอ่ยตอบอย่างระมัดระวัง
ใครจะรู้ว่าเมื่อเสียงของเขาหลุดออกไปแล้วก็รู้สึกว่าไหล่ของตนเองถูกโจมตี ทั้งตัวคนถูกถีบออกไปไกล อวัยวะภายในฉีกขาด
อัก!
เขากระอักเลือดออกมาแล้วก็สลบไป
นักบวชเทวะมองเขาอย่างเย็นชา สบถไปคำหนึ่งว่า “เช้านี้ก็ปรากฎขึ้นแล้วแต่กลับเพิ่งมารายงานข้าในตอนนี้ สมควรตาย”
เมื่อเสียงของเขาหลุดออกไปก็มีผู้คุ้มกันเทพเดินเข้ามาลากผู้รับใช้เทพคนนั้นออกไปดุจสุนัขตาย
นักบวชเทวะหันมองเสากลมโปร่งแสงที่บรรจุพลังความศรัทธาต้นนั้นแล้วก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย นัยน์ตาเต็มไปด้วยความมืดมิด
ลูกน้องคนสนิทเข้าไปใกล้เขาด้วยความระมัดระวังแล้ว เอ่ยเสียงเบาว่า “นักบวชเทวะ ดูเหมือนว่าพวกประชาชนจะเกิดความสงสัยต่อพวกเราตำหนักเทพและ เทพบนแผ่นดินเทพถึงได้มีสีเทาปรากฎขึ้นในพลังความศรัทธา”
“ข้ารู้แล้ว” นักบวชเทวะกัดฟันเอ่ยออกไปอย่างแค้นเคือง
เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าสีเทาเหล่านี้หมายถึงอะไร
ลูกน้องคนสนิทลอบสังเกตครู่หนึ่ง เมื่อพบว่าอารมณ์ของนักบวชเทวะยังดูสงบอยู่ถึงได้เอ่ยขึ้นว่า “ก่อนหน้านี้ ลั่วซิงเฉิงที่น่ารังเกียจนั่นเอาเรื่องที่ตำหนักเทพเคยทำ มาประกาศให้ทุกคนรู้ก็ได้ทำให้เหล่าประชาชนเกิดความสงสัยและไม่พอใจต่อพวกเราแล้ว ตอนนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นอีกถึงทำให้พลังความศรัทธาเกิดผลกระทบเช่นนี้ได้”
นักบวชเทวะหันกลับมาอย่างกะทันหันทำให้เขาตกใจมาก
เมื่อถูกสายตาอันมืดดำและบ้าคลั่งของนักบวชเทวะจ้องมอง ทำให้เขาอดหดตัวไปด้านหลังและกลืนนํ้าลายลงคอไม่ได้
“เจ้ายังจะกล้าพูดอีกหรือ! หากไม่ใช่เพราะพวกเจ้าจัดการเรื่องราวไม่เรียบร้อยแล้วจะถูกคนจับจุดอ่อนได้เช่นนี้หรือ ตอนนี้ยังจะก่อเรื่องออกมาอีก!” นักบวชเทวะด่าออกมา
ลูกน้องคนสนิทถูกเขาตะคอกใส่ก็ไม่กล้าพูดอะไรอีกชั่วขณะ
ภายในห้องโถงเงียบผิดปกติ
นักบวชเทวะหันมามองเสากลมโปร่งแสงที่รวบรวมพลังความศรัทธาด้วยจิตใจที่หนักอึ้ง
เมื่อเห็นเขาเป็นเช่นนี้ ลูกน้องคนสนิทคนนั้นก็ทำใจกล้า เข้าไปใกล้อีก เอ่ยถามอย่างระมัดระวังว่า “นักบวชเทวะกังวลว่าเบื้องบนจะตำหนิงั้นหรือ”
ตำหนิหรือ
ชิ!
นักบวชเทวะสบถเสียงเย็นในใจ หากไม่กำจัดสีเทาปนเปื้อนเหล่านี้ให้หมด เกรงว่าคงจะไม่ง่ายดายเช่นนั้น ตอนนี้สิ่งที่เขากังวลก็คือหากไม่มีพลังความศรัทธาสนับสนุนแล้ว นักรบเทพเหล่านั้นของเขา…
กองกำลังชุดแรกหนึ่งแสนนายของตำหนักเทพเข้าใกล้ลั่วซิงเฉิงเข้าไปเรื่อยๆ
แต่วันนี้พวกเขากลับหยุดเคลื่อนไหวอย่างกะทันหัน คนทั้งหนึ่งแสนคนล้วนแต่รู้สึกวิงเวียนและเหนื่อยล้า รู้สึกอึดอัด ร่างกายอ่อนแอลงมาก…