Skip to content

พลิกปฐพี 554

ตอนที่ 554

ทูตจากนอกแดน

ภาคกลาง เมืองเทียนคง ตระกูลจิง

“จิงไห่ เจ้าจะทำอะไร” จิงฟ่งอวี่ขวางตรงหน้าของจิงไห่ ท่าทางดูเข้มงวดมาก

จิงไห่มองเขาแวบหนึ่งแล้วเอ่ยอย่างดื้อดึงว่า “ข้าจะกลับลั่วซิงเฉิง”

“เจ้าไปไม่ได้” จิงฟ่งอวี่ปฏิเสธ

นัยน์ตาของจิงไห่ฉายแววโมโห สองมือที่อยู่ข้างตัวกำหมัดแน่น ตะโกนว่า “ทำไมข้าถึงจะไปไม่ได้ เดิมทีข้าก็เป็นคนของลั่วซิงเฉิง!”

“เจ้าเป็นคนของตระกูลจิง!” จิงฟ่งอวี่แก้ไขคำพูดของ เขา

แต่จิงไห่กลับไม่สนใจ นัยน์ตาของเขาเต็มไปด้วยไฟแห่งการต่อสู้ เขาเอ่ยกับจิงฟ่งอวี่ว่า “เจ้าหลีกไป! ไม่ว่าจะอย่างไร วันนี้ข้าก็ต้องจากไป”

“ไม่ได้! ข้าไม่อาจให้เจ้าไปตายได้” จิงฟ่งอวี่ยังคงไม่ยอมหลีกทาง

“เจ้าหลีกไป!” จิงไห่ตะโกนเสียงดัง

ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดง เขาเกลียดคนตรงหน้านัก ตอนแรกก็ตกลงกันดีแล้วว่าจะไม่ก้าวก่ายการกระทำของเขา แต่มาตอนนี้เมื่อครูฝึกของเขาและลั่วซิ งเฉิงกำลังลำบากกลับไม่ยอมให้เขาจากไป

“จิงไห่ เจ้าอย่าได้หุนหันพลันแล่นไป ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วงอาจารย์ของเจ้า แต่อาจารย์ของเจ้าไม่ใช่คนธรรมดา นางสามารถแก้ไขเรื่องในครั้งนี้ได้ หากว่าแม้ แต่นางยังแก้ไขไม่ได้ เจ้าไปแล้วจะมีประโยชน์อะไร” จิงฟ่งอวี่พยายามขัดขวาง

จิงไห่กลับมาถึงตระกูลจิงและได้รับการยืนยันสายเลือด ทั้งยังปลุกสายเลือดให้ตื่นใหม่อีกครั้ง พรสวรรค์ของเขาเหนือกว่าตนเองไม่รู้ตั้งกี่เท่า ตอนนี้จิงไห่เป็นความหวังของตระกูลจิงและเป็นอนาคตของอาจารย์ทะลวงสวรรค์ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะไม่ยอมให้จิงไห่ไปตายที่ลั่วซิงเฉิงอย่างแน่นอน

“ข้าไม่สน ข้าไม่อาจเอาแต่ห่วงความปลอดภัยของตนเองทั้งๆ ที่ว่ารู้ว่านางกำลังลำบากอยู่ได้ ข้าจะกลับไปลั่วซิงเฉิง ไปร่วมรบกับทุกคน แม้จะต้องตาย ข้าก็จะตายร่วมกับพวกเขา!” จิงไห่เอ่ยอย่างดื้อดึง

จิงฟ่งอวี่ส่ายหน้าอย่างจนใจ เอ่ยกับเขาว่า “เจ้าใจเย็นลงก่อน สถานการณ์ไนตอนนี้ยังไม่ถึงขั้นนั้น เจ้าอยู่ต่อก่อน ตั้งใจฝึกฝน หากว่าลั่วซิงเฉิงต้องการเจ้าจริงๆ เจ้าค่อยไป เป็นอย่างไร”

“อย่าคิดหลอกข้า ข้าจะไม่เชื่อคำของเจ้า ข้าจะไปตอนนี้!” จิงไห่พูดอย่างเด็ดเดี่ยว

จิงฟ่งอวี่หมดความอดทน เดิมทีเขาก็เป็นผู้มีความสามารถของตระกูลจิง หากไม่ใช่เพราะได้รับบาดเจ็บหนักจนสะเทือนถึงพรสวรรค์เมื่อครั้งต่อสู้กับโห่ว ตอนนี้ เขาก็จะยังคงเป็นคนที่มีความภาคภูมิใจอยู่ สำหรับจิงไห่แล้ว เขาใช้ทั้งความอดทน ทั้งพูดดีด้วย แต่เจ้าเด็กคนนี้กลับยังคงดื้อดึง เรื่องที่คิดเอาไว้แล้วจะไม่เปลี่ยนแปลงเป็นอันขาด

“ได้! ในเมื่อเจ้าจะไป เช่นนั้นก็ให้ข้าทดสอบหน่อยว่า เจ้ามีความสามารถแค่ไหนที่จะไปช่วยเหลือลั่วซิงเฉิง หากว่าไม่มีความสามารถ เจ้าก็ต้องอยู่ที่นี่ต่ออย่าคิดจะ ไปก่อความวุ่นวายให้เจ้าเมืองมู่” จิงฟ่งอวี่เอ่ย

เสียงของเขายังไม่ทันจางหาย ช่องว่างข้างกายด้านซ้ายและขวาของเขาก็มีสัตว์อสูรสี่ตัวเดินออกมา อสูรเหล่านี้ล้วนแต่เป็นสัตว์อสูรระดับเทวะ หากเทียบใน

ตระกูลจิงแล้วก็ถือว่าร้ายกาจมาก หลังจากสายเลือดของคนในตระกูลจิงตื่นขึ้นแล้วก็จะมีช่องว่างที่ใช้เพาะเลี้ยงสัตว์อสูรวิญญาณอันหนึ่ง ช่องว่างจะใหญ่หรือเล็กนั้นแตกต่างไปตามรายคน แต่ในบันทึกของตระกูลจิง ช่องว่างของผู้อาวุโสที่มีพรสวรรค์มากที่สุดสามารถบรรจุสัตว์อสูรวิญญาณได้เพียงแค่สิบตัวเท่านั้น

ช่องว่างของจิงฟ่งอวี่สามารถบรรจุได้แปดตัว แต่เขาเป็นคนช่างเลือก ทำให้ตอนนี้ยังมีที่ว่างเหลืออยู่สี่ที่ รอสัตว์อสูรวิญญาณตัวใหม่เข้ามาเพิ่ม

จิงฟ่งอวี่เตรียมตัวต่อสู้แล้ว ในเมื่อพูดดีๆ ไม่ได้ เขาก็ได้แต่ใช้กำลังเข้าขวาง

“จิงไห่ ลงมือเถอะ” จิงฟ่งอวี่เอ่ยกับจิงไห่

จิงไห่เม้มริมฝีปาก ดวงตาลุ่มลึกสงบนิ่ง จิงฟ่งอวี่เตรียมตัวเสร็จแล้ว เขาเองก็ไม่ตื่นตระหนกเช่นกัน แผ่นหลังยืดตรง ดวงตาดุดันแฝงไอสังหาร

จิงฟ่งอวี่ลอบตกตะลึง เขาไม่รู้ว่าเหตุใดจิงไห่ที่อายุยังน้อยถึงได้มีไอสังหารที่แข็งแกร่งเช่นนี้ออกมาได้ ที่น่ากลัวก็คือจิตใจของเขาไม่ได้ถูกไอสังหารเหล่านี้กัดกิน

“เจ้าจะลงมือกับข้าจริงๆ น่ะหรือ” จิงไห่เอ่ยถามเสียงเข้ม

ทันใดนั้นจิงฟ่งอวี่ก็รู้สึกว่าตนเองถูกดูแคลน ความภาคภูมิใจในใจเหมือนโดนดูหมิ่น เขาขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ยังจะมีเท็จด้วยงั้นหรือ”

จิงไห่ขบริมฝีปาก พยักหน้าเอ่ยว่า “ได้ ข้าจะต่อสู้กับเจ้า หากข้าชนะเจ้าแล้ว เจ้าก็จะให้ข้าไปใช่ไหม”

“เจ้าชนะข้าก่อนค่อยว่ากัน!” จิงฟ่งอวี่สบถไปคำหนึ่ง

นัยน์ตาของจิงไห่เข้มขึ้น พริบตาเดียวรอบกายของเขาก็มีสัตว์อสูรสิบห้าตัวปรากฎออกมา ระดับแตกต่างกัน ไม่เหมือนของจิงฟ่งอวี่ที่ทุกตัวล้วนแต่เป็นระดับเทวะและหลังจากผ่านเคราะห์อัสนีแล้วก็จะสามารถกลายร่างเป็นคนได้

แต่ในตอนที่สัตว์อสูรของจิงไห่ปรากฎออกมานั้นก็ยังทำให้จิงฟ่งอวี่ตกตะลึงไป เขาชะงักอยู่ที่เดิม เบิกตากว้างอ้าปากค้างมองดูจิงไห่ แต่สายตาของเขากลับทำให้จิงไห่เข้าใจผิด เขาอธิบายว่า “ข้ารู้ว่าตระกูลจิงดีต่อข้า สัตว์อสูรเหล่านี้ถือว่าข้ายืมไปก็แล้วกัน รอจนข้าช่วยครูฝึกเสร็จแล้วก็จะคืนให้ ข้าเลือกมาแล้วไม่ได้เอาไปทั้งหมด”

“เจ้าพูดว่าอะไรนะ” คำพูดของจิงไห่ทำให้เสียงของจิงฟ่งอวี่สั่นสะท้านขึ้นมาเพราะความตกใจและตกตะลึง

จิงไห่พูดว่า “เดิมทีก็คิดจะเอาสัตว์อสูรในสวนสัตว์อสูรไปทั้งหมด ต่อมาคิดดูแล้วจึงปล่อยไป ข้าไม่อาจก่อปัญหาเพิ่มให้ครูฝึกอีก”

เอาสัตว์อสูรในสวนสัตว์อสูรไปทั้งหมด

จิงฟ่งอวี่สูดลมหายใจเย็นเข้า ในสวนสัตว์อสูรมีสัตว์อสูรอยู่กี่ตัวนั้นเขารู้ดี มีทั้งหมดยี่สิบเจ็ดตัว แต่จึงไห่กลับสามารถเอาไปทั้งหมดได้งั้นหรือ

จิงฟ่งอวี่พยายามสงบอารมณ์ เขาเอ่ยถามเสียงเข้มว่า “ในช่องว่างเพาะเลี้ยงของเจ้าสามารถบรรจุสัตว์อสูรได้กี่ตัวกันแน่”

จิงไห่ไม่เข้าใจว่าเหตุใดจิงฟ่งอวี่ถึงได้ถามคำถามนี้ขึ้นมาอย่างกะทันหัน แต่ดูจากท่าทางของเขาแล้วเหมือนไม่คิดจะต่อสู้อีก เขาคิดแล้วก็พูดตามจริงว่า “น่าจะ สามารถบรรจุได้ประมาณห้าสิบตัว”

ห้า…ห้าสิบ…

จิงฟ่งอวี่กลั้นลมหายใจ เบิกตากว้าง สายตาที่มองดูจิงไห่ดูเหมือนมองเห็นสัตว์ประหลาดก็ไม่ปาน เวลานี้เองก็มีเงาร่างหลายสายปรากฎขึ้นข้างกายของทั้ง

สองคน

พวกเขาก็คือบรรดาผู้อาวุโสของตระกูลจิง รวมไปถึงประมุขตระกูล

จิงฟ่งอวี่หันมองพวกเขา ความตกตะลึงในนัยน์ตายังไม่ จางหายไป หลายคนนี้สื่อสารกันอย่างไร้เสียงจนเข้าใจความหมายกันและกันดีแล้ว ความหมายนั้นก็คือจะให้จิงไห่เป็นอะไรไปไม่ได้

“เด็กน้อย เจ้าจะไปลั่วซิงเฉิงจริงๆ งั้นหรือ” ประมุขตระกูลจิง บิดาของจิงฟ่งอวี่เอ่ยกับจิงไห่

จิงไห่พยักหน้าอย่างไม่ลังเล “ประมุขตระกูล ข้ารู้ว่าท่านดีต่อข้ามาก คนของตระกูลจิงก็ดีต่อข้ามาก แต่ตอนนี้อาจารย์ของข้าถูกตำหนักเทพโจมตี หากข้าไม่ไป ก็จะกลายเป็นคนที่ไม่รู้จักบุญคุณคนมิใช่หรือ ข้าไม่อาจยอมรับคนที่ไม่สนใจแม้แต่ความเป็นตายของอาจารย์ตนเองได้”

นัยน์ตาของประมุขตระกูลจิงฉายแววชื่นชม พยักหน้าเอ่ยว่า “ไม่เลว เจ้าเด็กคนนี้ไม่เลวอย่างยิ่ง หลักการของคนต้องรู้จักกตัญญูรู้บุญคุณ หากว่าไม่มีนํ้าใจ ไม่รู้จักบุญคุณ เช่นนั้นก็เทียบกับสัตว์เดรัจฉานไม่ได้ ดี ในเมื่อเจ้าอยากจะไปก็ไปเถอะ”

“ท่านพ่อ!” จิงฟ่งอวี่รีบเอ่ย

ประมุขตระกูลจิงยกมือขึ้นตัดบทพูดของจิงฟ่งอวี่ ยิ้มบางๆ เอ่ยกับจิงไห่ว่า “ไม่เพียงเจ้าสามารถไปได้ ตระกูลจิงของข้ายังจะส่งคนไปกับเจ้าเพื่อช่วยลั่วซิงเฉิง ด้วย”

การตัดสินใจของเขาทำให้จิงฟ่งอวี่ตกตะลึง ทั้งจิงไห่ก็ยังรู้สึกเหนือความคาดหมาย เขาจ้องมองประมุขตระกูลจิงนิ่งแล้วพูดอย่างเรียบเฉยว่า “จิงไห่ขอบคุณประมุขตระกูลแทนอาจารย์ด้วย”

ประมุขตระกูลจิงหัวเราะเอ่ยว่า “เอาละ ออกไปก่อนเถอะ ไปเตรียมตัวให้ดี พรุ่งนี้พวกเจ้าก็ออกเดินทางได้เลย”

จิงไห่เม้มปากพยักหน้าแล้วหันกายจากไป

หลังจากเขาไปไกลแล้ว จิงฟ่งอวี่ถึงได้ถามออกมาอย่างอดใจไม่ไหว “ท่านพ่อ ท่านหมายความว่าอย่างไร ตระกูลจิงของพวกเราอยู่ในเมืองเทียนคงภาคกลาง หากตำหนักเทพรู้ว่าพวกเราช่วยเหลือลั่วซิงเฉิง เกรงว่า…”

“ฟงอวี่ เจ้าอายุยังน้อย เหตุใดจึงกลายเป็นคนลังเลจะทำอะไรก็เอาแต่ห่วงหน้าพะวงหลังเช่นนี้ไปได้” ประมุขตระกูลจิงตัดบทพูดของจิงฟงอวี่

จิงฟ่งอวี่ขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจความหมายของบิดา

ประมุขตระกูลจึงพูดแฝงด้วยความหมายลึกซึ้งว่า “เจ้าก็เห็นพรสวรรค์ของจิงไห่แล้ว เขามีความสำคัญกับตระกูลจึงของพวกเรามาก แม้ว่าตระกูลจะต้องล่มสลาย ก็ต้องรักษาเขาเอาไว้ให้ได้ ถึงอย่างไรระหว่างตำหนักเทพและลั่วซิงเฉิงก็ต้องเปิดศึกกันสักวัน ไม่ช้าก็เร็ว ตระกูลใหญ่ของทั้งห้าภาคก็จะต้องเลือกฝ่ายอยู่แล้ว ใน เมื่อเป็นเช่นนี้ ตระกูลจิงของพวกเราเลือกฝ่ายก่อนแล้วจะเป็นไรไป”

“แต่ตำหนักเทพ…” จิงฟ่งอวี่ยังคงลังเล

ประมุขตระกูลจิงกลับสั่งการไปว่า “สั่งการลงไปให้ศิษย์ในตระกูลทุกคนกลับมาทั้งหมด นับตั้งแต่วันพรุ่งนี้ไปจะเปิดทำงานค่ายกลพิทักษ์ตระกูล ให้ทุกคนเข้าไปอยู่ในพื้นที่ของตระกูลทั้งหมด”

จากนั้นเขาก็เอ่ยกับจิงฟ่งอวี่ ว่า “ฟ่งอวี่ พรุ่งนี้เจ้าพาพวกรุ่นเยาว์ของตระกูลจิงแล้ว ก็ผู้อาวุโสสองคนไปลั่วซิงเฉิงกับจิงไห่ เรื่องในครั้งนี้ถือเป็นการฝึกฝนของพวกเจ้ารุ่นเยาว์เถอะ”

ยามคํ่าคืนภายในลั่วซิงเฉิง ดาวตกส่องประกายระยิบระยับ

บรรยากาศแปลกตาเช่นนี้ไม่ได้จางหายไปเพราะสงครามจะเริ่มต้นขึ้น มันยังคงปรากฎความงามดุจภาพแห่งความฝันของมันบนท้องฟ้าของลั่วซิงเฉิงตามเวลา

มู่ชิงเกอยืนอยู่หน้าหน้าต่างในห้องของตนเอง มองไปยังดาวที่ตกลงมาจากท้องฟ้ายามคํ่าคืนแล้วก็รู้สึกสงบมาก

ทันใดนั้นนางก็รู้สึกว่าด้านหลังมีกลิ่นอายปรากฎขึ้น นางกำลังจะหันหน้าไป เอวของตนเองก็ถูกคนโอบเข้าไปในอ้อมอกอบอุ่นที่คุ้นเคย

“เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ เจ้ายังคิดจะปิดบังข้าอีก” นํ้าเสียงของชายคนนั้นแฝงด้วยการตำหนิ โมโหแล้วก็ยังมีความจนใจ

มู่ชิงเกอพิงอ้อมอกของเขา หามุมที่สบายให้แก่ตนเอง โอบเอวของผู้ชายคนนั้นแน่นขึ้นเอ่ยว่า “หากว่าเรื่องเล็กแค่นี้ข้ายังจัดการไม่ได้ แล้วจะมีสิทธิ์อะไรไปร่วมดื่มด่ำความสุข ร่วมท่องเที่ยวไปยังโลกน้อยใหญ่กับเจ้า”

ซือมั่วถอนหายใจ โอบกอดร่างเพรียวบางในชุดสีแดงแน่นขึ้น “เจ้ามักจะแกร่งกร้าวเช่นนี้อยู่เสมอ ทำให้ข้าหมดหนทาง ครั้งนี้หากไม่มีหวงฝู่ฮ่วนมาแจ้งข้า ข้าก็คงไม่รู้ว่าเจ้าจะปิดข้าไปจนถึงเมื่อไหร่”

มู่ชิงเกอเงยหน้าขึ้น หรี่ตายิ้ม “ที่แท้ก็เป็นเขาที่แจ้งข่าว”

ซือมั่วยื่นมือออกไปแตะจมูกของนางอย่างขบขัน “เจ้าอย่าได้โทษเขาและคิดจะแก้แค้นในอนาคต เดิมทีเขาคิดจะนำผู้ฝึกวิถีมารมาช่วยเจ้า แต่ก็กลัวว่าจะทำให้คำใส่ร้ายของตำหนักเทพเป็นจริง ถึงได้ส่งข่าวให้ข้าด้วยความจนใจ”

“ดังนั้น เจ้าถึงได้มาในทันทีงั้นหรือ” มู่ชิงเกอเอ่ยถาม

ซือมั่วส่ายหน้ายิ้ม ความเยือกเย็นและอหังการของเจ้าแห่งมารที่อยู่ในส่วนลึกของนัยน์ตาสีอำพันแฝงความเอ็นดู

ภาคกลาง เมืองเทียนคง ตำหนักเทพ

นักบวชเทวะยืนอยู่ในห้องโถงที่วางพลังความศรัทธา เขามองไปยังเสากลมโปร่งแสงที่มีสีเทาปะปนเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นัยน์ตาดำมืดอย่างน่ากลัว ท่าทางดูเคร่งเครียดมาก

เขาได้ส่งคนออกไปลอบฆ่าบรรดาคนที่เริ่มเกิดความสงสัยต่อตำหนักเทพและเหล่าเทพแล้ว คิดอยากจะหยุดยั้งความเร็วในการกัดกินพลังความศรัทธา แต่กลับได้ผลน้อยมาก

ราวกับว่าทุกครั้งที่เขาฆ่าคนไปหนึ่งคนก็จะทำให้มีคนละทิ้งความศรัทธาเพิ่มขึ้นอีกสิบคน

ทันใดนั้นตรงหน้าของเขาก็ปรากฎแสงสีทองและมีนํ้าวนอันหนึ่งปรากฎขึ้นมา มีเงาร่างสองสายลอยลงมาจาก ท้องฟ้า…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!