Skip to content

พลิกปฐพี 556

ตอนที่ 556

อานุภาพของศึกแรก

จากลั่วซิงเฉิงที่เคยคึกคักและเจริญรุ่งเรืองเปลี่ยนเป็นเงียบลงไปมาก ร้านค้าตามตรอกซอกซอยต่างพากันปิดร้าน ผู้เฒ่าผู้หญิงเด็กเล็กต่างพากันอยู่แต่ในบ้านไม่ออกมาเดินเล่นข้างนอก

บรรยากาศดูตึงเครียด

ในโลกแห่งยุคกลางไม่ค่อยมีสงครามขนาดใหญ่ เพราะที่นี่ปกครองเป็นตระกูลเดี่ยวๆ ไม่ใช่แว่นแคว้น ดังนั้นถึงแม้การต่อสู้ระหว่างตระกูลจะรุนแรงแค่ไหนก็ต่อสู้กันแค่ในอาณาเขตที่จำกัดเท่านั้น

หากเป็นเหมือนกับลั่วซิงเฉิงที่ตำหนักเทพส่งกองกำลังหนึ่งแสนคนจากภาคกลางมาโจมตีถึงภาคตะวันตกนั้นไม่เคยมีมาก่อน

มู่ชิงเกอสวมชุดเกราะยืนไพล่หลังอยู่บนกำแพง มองสถานการณ์ด้านหน้า

ล่าสุดสายสืบที่องครักษ์เขี้ยวมังกรส่งออกไปจับตามองความเคลื่อนไหวของกองทัพตำหนักเทพหนึ่งแสนนาย มารายงานว่ากองกำลังแสนนายของตำหนักเทพจะมาถึงใต้กำแพงในอีกสิบลี้

กองทัพมังกรซ่อนและกองกำลังอื่นๆ ที่มู่ชิงเกอฝึกฝนออกมาเตรียมพร้อมออกรบอยู่บนกำแพง

องครักษ์เขี้ยวมังกรของนาง มีอยู่สามร้อยคนที่ถูกส่งไปที่หลินชวนเพื่อคุ้มครองครอบครัวของนาง ที่เหลืออีกสองร้อยคนล้วนแต่อยู่ในมือของมั่วหยาง ส่วนที่เหลืออีกสามร้อยคนข้างกายนางก็คือคนที่มู่เฉินนำมาและถูกเรียกว่าองครักษ์ปีกมังกร

นับดูแล้วกองกำลังทั้งหมดของลั่วซิงเฉิงมีไม่เกินสามหมื่นคน กำลังสนับสนุนจากตระกูลซางและสำนักวิถีโอสถรวมกันก็มีไม่ถึงหมื่นคน เมื่อต้องเผชิญหน้ากับกองกำลังนับแสนของตำหนักเทพแล้ว ก็ทำให้บรรดาคนที่ไม่เคยออกรบและไม่เคยเห็นมู่ชิงเกอนำทัพมาก่อน ล้วนแต่รู้สึกหวาดกลัวอยู่บ้าง

“ชิงเกอ” ซีเซียนเสวี่ยเดินมายังกำแพงเมือง มาจนถึงข้างหลังมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอหันกลับไปมอง ก็พบซีเซียนเสวี่ย รวมทั้งพวกจีเหยาฮั่ว เหยาชิงไห่ อิ๋งเจ๋อและเว่ยมั่วลี่ที่เดินตามนางมา

นางยิ้มแล้วถามว่า “สงครามยังไม่เริ่มต้นเลย พวกเจ้ามาทำไม”

ทั้งสี่คนนี้สวมชุดเกราะที่ตระกูลซางหลอมขึ้นมา มู่ชิงเกอมองเห็นสัญลักษณ์เล็กๆ บนมุมหนึ่งของชุดเกราะก็รู้แล้วว่ามู่เสวี่ยอู่เป็นผู้หลอมชุดเกราะเหล่านี้ออกมา

ดูจากท่าทีของพวกเขาแล้ว เหมือนพร้อมที่จะออกรบ

เหยาชิงไห่ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “พวกเรามาเรียนรู้กับเจ้า จะได้ทำตัวถูกเมื่อยามต่อสู้ สำหรับการต่อสู้แบบเดี่ยวนั้น พวกเรามีประสบการณ์ แต่การรบนั้น พวกเรา…ใช่แล้ว พวกเหมยจื่อจ้ง จ้าวหนานซิงนั้นเป็นเพื่อนเก่าของเจ้าใช่ไหม”

เมื่อได้ยินเหยาชิงไห่พูดถึงเพื่อนอีกสี่คนที่เรียนอยู่สำนักวิถีโอสถ มู่ชิงเกอก็เลิกคิ้วขึ้นแล้วพยักหน้า

เหยาชิงไห่เอ่ยว่า “เดิมทีครั้งนี้พวกเขาก็อยากมาด้วย แต่ถึงช่วงสำคัญในการทะลวงขอบเขตพอดี อาจารย์จึงให้พวกเขารอจนทะลวงขอบเขตแล้วค่อยตามมา”

มู่ชิงเกอพยักหน้า “อืม การฝึกฝนเป็นเรื่องสำคัญ ไม่อาจชักช้าได้”

อาจารย์ปรุงยาที่เหยาชิงไห่นำมาด้วยนั้นถูกมู่ชิงเกอจัดเอาไว้สนับสนุนส่วนหลัง รับผิดชอบดูแลผู้ได้รับบาดเจ็บ ส่วนอาจารย์หลอมศาสตราที่มู่เสวี่ยอู่นำมาด้วยก็คอยหลอมอาวุธยุทโธปกรณ์อยู่ส่วนหลังอย่างต่อเนื่อง เพื่อสับเปลี่ยนกับอาวุธที่ชำรุดจากการศึก

เดิมทีสองเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่มู่ชิงเกอก็สามารถทำได้ แต่เมื่อภาระสองด้านนี้ได้รับการแบ่งเบาไปก็ทำให้นางสบายขึ้นมาก เหลือแค่ตั้งใจนำทัพก็พอแล้ว

ผู้อาวุโสไท่ซ่างของตระกูลซางทั้งสองคนทั้งยังมีผู้อาวุโสคุ้มกันที่เหยาชิงไห่นำมาด้วยบางส่วนถูกมู่ชิงเกอจัดสรรหน้าที่ให้แล้ว ส่วนพวกเขาทั้งห้าคนกลับยังไม่ได้ถูกจัดสรรหน้าที่ใด

“ที่พวกเรามาก็เพื่อจะถามว่าจะให้พวกเราทำอะไร” อิ๋งเจ๋อถามขึ้นมา

มู่ชิงเกอมองพวกเขา ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “อยู่ข้างกายข้ารอ ฟังคำสั่งเถอะ”

คนเหล่านี้ล้วนแต่มีความสามารถเฉพาะตัวสูง แต่กลับไม่เคยนำทัพออกศึก ถึงความสัมพันธ์จะดีแค่ไหนนางก็ไม่อาจให้พวกเขานำทัพได้

“ชิงเกอ ข้าอยากคุยกับเจ้าสักหน่อย” ซีเซียนเสวี่ยเอ่ยปากขึ้น

มู่ชิงเกอมองนาง

ซีเซียนเสวี่ยจึงเอ่ยขึ้นว่า “ตำหนักเทพกลับตํ่าช้าเช่นนี้ได้ ใส่ร้ายเจ้าว่าลักพาตัวข้าแล้วอ้างเรื่องนี้ในการเปิดศึก ข้าคิดจะพูดให้ชัดเจนในตอนที่กองทัพตำหนักเทพมาถึงว่าข้าไม่ได้ถูกเจ้าลักพาตัวมา แต่มาด้วยตนเอง และจะเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริงของตำหนักเทพให้ทุกคนได้รับรู้”

“เจ้าก็พูดเองว่านี่เป็นข้ออ้างของตำหนักเทพ เจ้าจะพูดหรือไม่พูด การศึกในวันนี้ก็จะไม่เปลี่ยนแปลง อีกอย่างหากเจ้าพูดแล้วตำหนักเทพอาจจะพูดได้ว่าเจ้ามีสติไม่สมบูรณ์ คำที่พูดออกมาล้วนแต่เป็นเรื่องเท็จ อีกอย่างหากเจ้าแสดงท่าทีอย่างชัดเจนแล้วตระกูลซีละจะทำอย่างไร อย่าลืมละว่าตระกูลซียังอยู่ในเมืองเทียนคง ดัง นั้นไม่พูดจะดีกว่า” มู่ชิงเกอเอ่ย

“แต่ว่า…” ซีเซียนเสวี่ยขมวดคิ้วขึ้น

“ชิงเกอพูดไม่ผิด เจ้าอธิบายไปตอนนี้ก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร มีแต่จะทำให้ตำหนักเทพมีข้ออ้างเพิ่มขึ้น ยังไม่สู้รอจนพวกเราต่อสู้เสร็จแล้วค่อยพูดจะดีกว่า” จีเหยาฮั่วเอ่ยกับซีเซียนเสวี่ย

ซีเซียนเสวี่ยมองดูเขา นัยน์ตาฉายแววลังเล

มู่ชิงเกอเอ่ยขึ้นในตอนนี้ว่า “ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมในการอธิบาย รอจนการศึกเสร็จสิ้นแล้ว ค่อยว่ากัน”

ซีเซียนเสวี่ยหมดทางเลือกได้แต่พยักหน้าตกลงอย่างจนใจ

แต่นางก็เสนอขอมู่ชิงเกอว่า “เช่นนั้นก็ให้ข้าร่วมรบด้วยเถอะ”

มู่ชิงเกอมองนางแวบหนึ่ง แล้วก็มองเห็นความร้อนใจในแววตาของนางจึงเอ่ยกับนางว่า “เจ้าอยู่ข้างกายคอยฟังคำสั่งจากข้า”

ที่เก็บซีเซียนเสวี่ยไว้ก็เพราะไม่อยากให้นางโดนปฏิเสธอีกแล้วทำอะไรลงไปอย่างวู่วาม แต่นางก็จะไม่ให้อีกฝ่ายลงไปในสนามรบจริงๆ อย่างแน่นอน อย่างน้อยก็ในตอนนี้ เพราะในสายตาของผู้คนตอนนี้ นางยังเป็นธิดาเทพของตำหนักเทพอยู่

ระยะทางสิบลี้ไม่ถือว่าไกลมากสำหรับคนธรรมดา นับประสาอะไรกับคนทีมีพลังฝึกปรือ

หลังจากพวกเขาพูดคุยกันเสร็จ ไกลออกไปนอกลั่วซิงเฉิงก็มีฝุ่นคลุ้งขึ้นมา ทั้งยังมีเสียงฝีเท้าของกองกำลังหนึ่งแสนนาย

ทหารที่ยืนอยู่บนหอสังเกตการณ์มองไปข้างหน้าด้วย ‘ดวงตาพันลี้’ ที่มู่ชิงเกอหลอมขึ้นแล้วมารายการต่อมู่ชิงเกอในทันที “เจ้าเมือง กองกำลังแสนนายของตำหนักเทพมาถึงแล้วขอรับ”

เสียงของเขาเพิ่งจบลงไม่นานนัก พวกมู่ชิงเกอก็มองเห็นชุดเกราะสีเงินและทองวาววาบโผล่เข้ามาเหมือนกับคลื่นทะเล

กองกำลังของผู้ฝึกปรือแสนนาย บรรยากาศนี้สั่นสะเทือนไปทั่วทั้งลั่วซิงเฉิง ทำให้คนในเมืองรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา

มุมปากของมู่ชิงเกอเรียบตึง นางมองเห็นท่าทีของทุกคนบนกำแพง นางไม่ได้ตำหนิใคร เพราะนางรู้ดีว่า ถึงจะเป็นทหารที่เก่งกาจและโดดเด่นแค่ไหนก็ล้วนแต่หวาดกลัวเมื่อต้องเผชิญหน้ากับศึกครั้งแรก ดังนั้นการศึกในวันนี้จึงเป็นศึกครั้งสำคัญ นางจะต้องชนะให้ได้ ทั้งยังต้องชนะอย่างงดงามและรวดเร็ว มีแค่ เพียงชนะเท่านั้นถึงจะขจัดความหวาดกลัวและเพิ่มพูนความกล้าให้เหล่าทหาร เปลี่ยนพวกเขาจากเด็กน้อยอ่อนประสบการณ์ในสนามรบเป็นหมาป่าที่หิวโหยการฆ่าล้าง

“ทหารทุกคนฟังคำสั่งจากข้า!” มู่ชิงเกอยังคงยืนตรงอย่างสงบนิ่งบนกำแพงเมือง แผ่นหลังที่เหยียดตรงของนางราวกับจะสามารถต้านทานฟ้าที่ถล่มลงมาได้โดยไม่หักงอ

เสียงของนางไม่ดังมากแต่ก็ชัดเจน ทำให้ทุกคนที่ได้ยินล้วนแต่อดยืดหลังขึ้นไม่ได้ นัยน์ตาฉายแววเคร่งขรึม

กองกำลังแสนนายของตำหนักเทพค่อยๆ บีบเข้ามาใกล้ เมื่อมองเห็นเงาร่างคนค่อยๆ ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ และมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด บรรดาทหารที่ยืนเตรียมรบอยู่บนกำแพงต่างพากันกลืนนํ้าลายลงคอ

มั่วหยางเดินไปถึงด้านหลังของมู่ชิงเกอ เอ่ยเสียงเบาว่า “คุณชาย”

มู่ชิงเกอพยักหน้าเล็กน้อย แล้วก็พูดกับมั่วหยางต่อหน้า พวกจีเหยาฮั่วว่า “เตรียมการเรียบร้อยหรือยัง”

“องครักษ์เขี้ยวมังกรเตรียมตัวเรียบร้อยแล้วขอรับ” มั่วหยางเงยหน้าขึ้นมา ใช้นัยน์ตาที่วาววับมองแผ่นหลังของมู่ชิงเกอ

พวกเหยาชิงไห่ล้วนแต่ตกตะลึงเมื่อเห็นว่ามั่วหยางที่มักจะเงียบขรึมอยู่ตลอดกลับดูมีชีวิตชีวาและเร่าร้อนในเวลานี้ เหมือนกันเป็นคนละคนกันก็ไม่ปาน

“อืม หากว่าในครั้งนี้จัดการไม่ดี เจ้าก็ไม่ต้องมาพบข้าอีก” มู่ชิงเกอเอ่ยออกไปอย่างเรียบเฉย

นัยน์ตาของมั่วหยางฉายแวววาววาบ พูดรับรองอย่างแข็งขันว่า “ข้าน้อยขอรับรองว่า หากภารกิจไม่สำเร็จจะหิ้วหัวมาพบท่าน”

การกระทำของทั้งสองคนทำให้ทั้งห้าคนที่ยืนอยู่ด้านหลังของมู่ชิงเกอรู้สึกแปลกใจ พวกเขาแปลกใจมากว่า ก่อนที่พวกเขาจะรู้จักกับมู่ชิงเกอนั้น เมื่อก่อนนางเป็น คนอย่างไร เหตุใดเมื่ออยู่ต่อหน้าสงครามเช่นนี้แล้ว นางจึงดูผ่อนคลายเหมือนเป็นเรื่องปกติ

ที่สำคัญก็คือท่าทางเช่นนี้ดูผ่อนคลายเหมือนกับการกินข้าวสักมื้อแล้วนอนกลางวันสักงีบอย่างไรอย่างนั้น

ตอนนี้กองกำลังแสนนายของตำหนักเทพก็มายืนอยู่ที่ด้านล่างกำแพงเมืองแล้ว พวกเขายืนเป็นระเบียบเรียบร้อยมองแล้วดูทรงพลัง แต่จุดที่พวกเขาหยุดทัพกลับทำให้มู่ชิงเกอยิ้มอย่างมีเลศนัยขึ้นมา โดยเฉพาะนัยน์ตาของมั่วหยางก็ยิ่งฉายแววดูแคลน

“มู่ชิงเกอ พวกเราเป็นผู้คุ้มกันเทพของตำหนักเทพ ได้รับคำสั่งจากนักบวชเทวะให้มา…”

“พลธนูเตรียมตัวยิง!” มู่ชิงเกอไม่มีความอดทนจะฟังคำพูดไร้สาระของผู้นำทัพตำหนักเทพ จึงสั่งการลงไปทันที

เมื่อบรรดาพลธนูที่แต่เดิมรู้สึกตื่นเต้นได้ยินคำสั่งของมู่ชิงเกอแล้ว ลูกศรที่อยู่บนคันธนูก็ยิงลอยออกไปทันที ฝนลูกศรตกลงไปในกองทัพของตำหนักเทพทำให้เกิดความชุลมุนวุ่นวายขึ้นชั่วขณะ

ผู้นำทัพตำหนักเทพคิดไม่ถึงเลยว่ามู่ชิงเกอจะไม่ทำตามพิธีรีตองและเปิดศึกตรงๆ เลย

เขาพยายามควบคุมกองกำลังที่ชุลมุนแล้ว แต่ลูกศรที่ตกลงมาจากอากาศยิงโดนผู้คุ้มกันเทพบางส่วนทำให้เกิดความวุ่นวายมากขึ้นไปอีก

“อย่าแตกทัพ อย่าตกใจ!” ผู้นำทัพตำหนักเทพตะโกนออกไป

มั่วหยางดูแคลนเสียงเบาว่า “โง่จริงๆ นำกองทัพใหญ่เข้ามาในรัศมีธนูเสียได้”

มุมปากของจีเหยาฮั่วกระตุกแล้วก็หัวเราะแห้งๆ ออกมา เพราะเขารู้สึกว่าหากเป็นเขาที่นำทัพมาก็คงไม่ต่างจาก ผู้นำทัพตำหนักเทพคนนี้มากสักเท่าไหร่ เพราะพวกเขาไม่เคยคิดถึงเรื่องรัศมีธนูอะไรนี่เลย

“เซวี่ยนขุย กำจัดผู้นำทัพซะ” มู่ชิงเกอสั่งอีกครั้ง

เซวี่ยนขุยที่อยู่มุมสูงใช้ปืนไรเฟิลเล็งไปยังผู้นำกองทัพตำหนักเทพที่กำลังควบคุมสถานการณ์ที่กำลังวุ่นวาย มือซุ่มยิงคนอื่นๆ ก็พากันเล็งเป้าหมายของตนเอง ซึ่ง ล้วนแต่เป็นผู้สั่งการในกองทัพตำหนักเทพทั้งสิ้น

ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว

เสียงปืนดังขึ้น ผู้นำกองทัพตำหนักเทพและบรรดาผู้สั่งการยังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็ล้มลงไปแล้ว พวกเขาล้วนแต่เป็นผู้ฝึกปรือระดับสีทองชั้นสูง แก่นอสูรที่มู่ชิงเกอนำมาจากแดนมารนั้นเพียงพอที่จะสังหารพวกเขาได้

เมื่อผู้นำตายสถานการณ์ก็ยิ่งวุ่นวายมากขึ้น

ปีศาจเฒ่าระดับข้ามผ่านหกคนในกองทัพพุ่งมาบนกำแพงเพื่อคว้าจับ

มู่ชิงเกอเพียงแค่ยิ้มเยาะออกมา ไป๋สี่ โห่ว หยินเฉิน แล้วก็ผู้อาวุโสไท่ซ่างที่อยู่ด้านหลังพากันกระโดดขึ้นมาจากบนกำแพง แบ่งกันไปคนละหนึ่ง ล่อพวกเขาขึ้นไปกลางอากาศ

“มั่วหยาง ถึงตาเจ้าแล้ว” มู่ชิงเกอสั่งการ

มั่วหยางพยักหน้าเงียบๆ เขาสะบัดมือ องครักษ์เขี้ยวมังกรที่เตรียมตัวดีแล้วทั้งสองร้อยนายก็กระโดดลงจากกำแพงราวกับพายุสีดำ เข้าไปฆ่าล้างกองทัพที่กำลัง วุ่นวายของตำหนักเทพในทันที

พวกเขามีเพียงแค่สองร้อยคน แต่กลับไม่มีความหวาดกลัวเมื่อเผชิญหน้ากับกองทัพหนึ่งแสนนายของตำหนักเทพเลย

พวกจีเหยาฮั่ว เหยาชิงไห่ อิ๋งเจ๋อ เว่ยมั่วลี่ ซีเซียนเสวี่ย ห้าคนที่ยืนอยู่บนกำแพงมองเห็นเพียงสองร้อยคนนี้บุกเข้าไปในกองทัพตำหนักเทพอย่างรวดเร็วและดุดันดุจดั่งดาบแหลมคมสองร้อยเล่ม

กองทัพหนึ่งแสนนายแตกพ่ายลงที่ด้านนอกลั่วซิงเฉิง รวดเร็วได้ขนาดนี้เชียวหรือ

ฉากนี้ทำให้ทุกคนตกตะลึง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!