Skip to content

พลิกปฐพี 557

ตอนที่ 557

ทำศึกครึ่งปี เผชิญเคราะห์

ฉากนี้ทำให้ทุกคนตกตะลึง กองทัพตำหนักเทพที่ดูแข็งแกร่งและทรงพลังกลับ อ่อนแอถึงเพียงนี้เชียวหรือ กองทัพมังกรซ่อนและองครักษ์ปีกมังกรที่อยู่บนกำแพงมองเห็นการฆ่าล้างขององครักษ์เขี้ยวมังกรแล้วก็ตะลึงจนชะงักอยู่กับที่ โลหิตร้อนที่พลุ่งพล่านอยู่ในก้นบึ้งหัวใจราวกับจะฉีดพุ่งออกมาจากร่างกายของพวกเขา ทำให้พวกเขาแทบอยากจะลงไปฆ่าล้างด้วย

คนส่วนมากในกองทัพมังกรซ่อนของมู่ชิงเกอนั้นเคยเป็นหลิวเค่อมาก่อน อุปนิสัยของพวกเขานั้นเดิมก็มีความบ้าคลั่งของนักผจญภัยอยู่แล้ว ความหวาดกลัวต่อตำหนักเทพที่เคยมีจึงถูกทำลายหายไปโดยไม่รู้ตัว

เสียงร้องโหยหวนดังออกมาอย่างต่อเนื่อง บรรดาผู้คุ้มกันเทพของตำหนักเทพล้มลงภายใต้เงื้อมมือของเขี้ยวมังกรเรื่อยๆ

ท่าก้าวอันแปลกประหลาดของเขี้ยวมังกรรวมทั้งกระบวนท่าที่ทั้งรวดเร็วและรุนแรงทำให้ดูเหมือนกับว่าสามารถฆ่าคนคนหนึ่งได้ในหนึ่งกระบวนท่า

เหยาชิงไห่พึมพำว่า “ต้องฆ่าคนมากี่คนกันถึงจะฝึกออกมาได้เช่นนี้”

ที่เขาหมายถึงก็คือความเยือกเย็นไม่ร้อนรนในยามอันตราย ความบ้าคลั่งในการเข่นฆ่าศัตรู และกระบวนท่าที่แม่นยำ พวกเขาไม่ได้โง่จึงดูออกว่าการต่อสู้ของเขี้ยวมังกรนั้นเป็นการสู้แบบใช้ชีวิตเข้าแลกชีวิต ดูเหมือนว่าเขี้ยวมังกรเหล่านี้จะฆ่าศัตรูโดยไม่สนใจความเป็นตายของตนเองเลย

เหยาชิงไห่อดหันไปมองมู่ชิงเกอที่ดูนิ่งสงบอยู่ข้างกายไม่ได้ แล้วถามขึ้นว่า “เจ้าไม่กังวลว่าพวกเขาจะได้รับบาดเจ็บงั้นหรือ”

มุมปากของมู่ชิงเกอปรากฎรอยยิ้มขึ้นบางๆ

องครักษ์เขี้ยวมังกรของนางเป็นหนึ่งไม่มีสอง ไม่ว่าจะได้รับบาดเจ็บหนักแค่ไหนขอเพียงแค่ไม่ถูกตัดหัวลงมาก็จะไม่ตายอย่างเด็ดขาด ยิ่งมีกลุ่มมือปืนซุ่มยิงที่เซวี่ยนขุยรับผิดชอบคอยแอบสนับสนุนอยู่ด้วยแล้ว ก็ยิ่งไม่มีปัญหาอะไร

“พวกเขาเป็นหมาป่าไม่ใช่ลูกแกะ สนามรบคือสวรรค์ของพวกเขา” มู่ชิงเกอพูดกับเหยาชิงไห่

“ชิงเกอ ข้าอยากลงไป” เว่ยมั่วลี่เอ่ยขึ้นในทันใด

มู่ชิงเกอเลิกคิ้ว พยักหน้าอย่างอารมณ์ดี “กองทัพตำหนักเทพอ่อนแอกว่าที่ข้าคิดเอาไว้เสียอีก นอกจากเซียนเสวี่ยแล้ว พวกเจ้าใครอยากลงไปลองฝีมือก็ไปเถอะ”

เมื่อนางเอ่ยออกไป จีเหยาฮั่วก็ยิ้มอย่างดีใจแล้วพูดว่า “ข้าคันไม้คันมือมานานแล้ว”

เขายังยืนพูดอยู่ แต่อิ๋งเจ๋อและเว่ยมั่วลี่กลับใช้การกระทำแสดงทุกอย่าง พวกเขากระโดดลงจากกำแพง พุ่งเข้าไปยังสนามรบที่กำลังชุลมุนในทันที

มุมปากของจีเหยาฮั่วกระตุก มองไปทางเหยาชิงไห่

ฝ่ายหลังยิ้มให้เขาแล้วพยักหน้า จากนั้นทั้งสองคนก็กระโดดลงไปพร้อมกัน

ซีเซียนเสวี่ยยืนอยู่ด้านหลังมู่ชิงเกอ นัยน์ตาฉายแววซับซ้อน นางอยากจะถามแต่สุดท้ายแล้วก็ไม่พูดอะไร

ส่วนมู่ชิงเกอก็สัมผัสได้ถึงอารมณ์ของนางแล้ว แต่ก็ไม่ได้อธิบายอะไร

เมื่อมีกำลังใหม่เข้าสนับสนุนก็ยิ่งทำให้กองทัพตำหนักเทพพ่ายแพ้อย่างอเนจอนาถมากขึ้น เมื่อผ่านไปพอสมควรแล้ว มู่ชิงเกอก็สั่งให้กองกำลังทั้งหมดถอยแล้วเปิดประตูเมืองให้กองทัพมังกรซ่อนและองครักษ์ปีกมังกรที่แทบทนไม่ไหวอยู่แล้วพุ่งออกมา รวมไปถึงคนที่ตระกูลซางและสำนักวิถีโอสถนำมาก็พุ่งตามออกไปฆ่าศัตรูเช่นเดียวกัน ศึกครั้งนี้กินเวลาไปจนฟ้ามืด ซากร่างของปีศาจเฒ่าระดับข้ามผ่านของตำหนักเทพทั้งหกคนตกลงมาจากอากาศ มู่ชิงเกอโยนระเบิดมือออกไปทำลายให้สิ้นซาก ทำให้การศึกจบลง กองทัพหนึ่งแสนนายตายเรียบ

มู่ชิงเกอหัวเราะอย่างมีความสุข นางเชื่อว่าเมื่อข่าวนี้ถูกส่งไปถึงตำหนักเทพแล้ว ท่าทีของนักบวชเทวะจะต้องน่าดูชมมากอย่างแน่นอน

“เซียนเสวี่ย เจ้าสามารถบอกทุกอย่างให้ผู้คนรับรู้ได้แล้ว” มู่ชิงเกอหันไปยิ้มให้ซีเซียนเสวี่ยแล้วพูดออกมา

ถึงแม้หวงฝู่ฮ่วนและเฉินปี้เฉิงไม่สามารถช่วยนางอย่างเปิดเผยได้ แต่ก็ลอบลงมือในที่ลับ อย่างเช่นตอนนี้พวกเขากำลังเดินทางไปเมืองเทียนคงในภาคกลางเพื่อ เคลื่อนย้ายตระกูลซี

ศึกนี้สั่นสะเทือนไปทั้งใต้หล้า และก็ทำให้บรรดาฐานอำนาจและตระกูลนับไม่ถ้วนที่จับตาดูอยู่พากันตกตะลึง

ข่าวคราวถูกส่งไปถึงตำหนักเทพภาคกลาง นอกจากข่าวที่ทั้งกองทัพตายเรียบแล้วยังมีอีกข่าวหนึ่ง นั่นก็คือการประกาศอย่างเป็นทางการของซีเซียนเสวี่ย ที่พิสูจน์ว่าทุกอย่างเป็นเรื่องเท็จ ทุกอย่างเป็นแผนการชั่วร้ายของตำหนักเทพ นางไม่ได้ถูกลักพาตัวมา แต่นางหนีมายังลั่วซิงเฉิง

ส่วนทางด้านตระกูลซี เมื่อคนของตำหนักเทพบุกเข้าไปนั้นก็พบว่าคนของตระกูลซีหายตัวไปอย่างแปลกประหลาด

ทั้งห้าภาคของโลกแห่งยุคกลางเกิดความวุ่นวายขึ้นแล้ว…

เสากลมโปร่งแสงที่เก็บรวบรวมพลังความศรัทธาในตำหนักเทพภาคกลางมีสิ่งปะปนมากขึ้นเรื่อยๆ และพลังที่บริสุทธิ์ก็ลดน้อยลงเรื่อยๆ เช่นกัน

นักบวชเทวะยืนกระวนกระวายอยู่ในห้องโถงตำหนักเทพ ไม่กล้าเผชิญหน้ากับเทพที่มาจากแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารทั้งสอง

จื่อปัวจ้องมองเสากลมโปร่งแสงต้นนั้นแล้ว ใบหน้าที่ไร้อารมณ์ก็ส่ายหน้าไปมา

เวลาครึ่งปีผ่านไป ทำให้นักบวชเทวะรู้จักนิสัยของเทพเบื้องบนสองคนนี้แล้ว เทพจื่อปัวผู้นี้มีสีหน้าไร้อารมณ์ก็แปลว่าเขากำลังโกรธและโมโหมาก

ส่วนสีหน้าของคนที่ค่อนข้างอ้วนนั้นก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไหร่

“อวี๋กง เจ้าว่าจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้ดี” จื่อปัวเอ่ยถาม

ที่แท้เทพที่ค่อนข้างอ้วนคนนั้นก็มีชื่อว่าอวี๋กง เมื่อเขาได้ยินคำถามนี้ก็หันไปมองพลังความศรัทธาที่ปนเปื้อนแวบหนึ่งจากนั้นก็พูดด้วยนํ้าเสียงที่เย็นชาว่า “เวลาผ่านไปครึ่งปี เบื้องบนรับรู้ถึงความผิดปกติของที่นี่และรู้ว่าพวกเรามาที่นี่แล้ว จึงมอบหมายให้พวกเราจัดการเรื่องนี้ แต่ว่า…”

สายตาของเขากวาดมองไปยังนักบวชเทวะ นักบวชเทวะรู้สึกถึงอะไรบางอย่างจึงรีบคุกเข่าลงและขอร้องในทันทีว่า “ท่านเทพทั้งสองโปรดมอบโอกาสให้ข้าอีกสักครั้ง”

“ชิ มอบโอกาสให้เจ้าอีกสักครั้งงั้นหรือ เวลาครึ่งปีมานี้ พวกเรามอบโอกาสให้เจ้ากี่ครั้งแล้ว แต่เจ้ากลับยิ่งทำยิ่งวุ่นวาย จนตอนนี้แก้ไขไม่ได้แล้ว หากไม่มีความ สามารถก็อย่าอยู่ในตำแหน่งนี้อีกเลย” จื่อป๋วพูดด้วยนํ้าเสียงรังเกียจ

“ไม่นะ ท่านเทพ ให้โอกาสข้าอีกสักครั้งเถอะ ครั้งนี้ข้าจะต้องทำลายลั่วซิงเฉิง จับมู่ชิงเกอแล้วบีบให้นางมอบหม้อผลาญสวรรค์ออกมาได้แน่ และจะสร้างความ ศรัทธาต่อตำหนักเทพขึ้นมาใหม่ เอาพลังความศรัทธากลับคืนมา” นักบวชเทวะรีบพูด เพราะเขารู้ดีว่าหากเขาไม่มีประโยชน์แล้วจุดจบของเขานั้นคืออะไร

จื่อปัวและอวี๋กงสบตากันแวบหนึ่ง แลกเปลี่ยนสายตา หารือกันในใจ

อวี๋กงพยักหน้าให้กับนักบวชเทวะ “ได้ เห็นแก่ที่ครึ่งปีมานี้เจ้าตั้งใจรับใช้พวกเราเป็นอย่างดี พวกเราจะมอบโอกาสให้เจ้าอีกสักครั้ง ให้เจ้าจัดทัพใหญ่ขึ้นอีกครั้ง เตรียมที่จะจัดศึกตัดสินกับลั่วซิงเฉิง อีกอย่าง ประกาศออกไปว่าบรรดาตระกูลที่ไม่ยินยอมตามตำหนักเทพไปโจมตีลั่วซิงเฉิงนั้นล้วนแต่เป็นศัตรูของตำหนักเทพ”

“ขอรับ บ่าวจะไปจัดการเดี๋ยวนี้” นักบวชเทวะรีบเอ่ยออกมา

ความต่ำต้อยในครึ่งปีมานี้ทำให้ความสูงส่งในฐานะนักบวชเทวะของเขาสลายหายไปโดยสิ้นเชิง

“รอเดี๋ยว” ในขณะที่นักบวชเทวะถอยออกไป จื่อปัวก็เสริมขึ้นมาอีกหนึ่งประโยคว่า “ครั้งนี้พวกเราสองคนจะไปกับกองทัพด้วย ข้าอยากดูสิว่ามู่ชิงเกอแห่งลั่วซิงเฉิงคนนั้นเป็นเทพมาจากไหนกัน เป็นเพียงแค่มดตัวเล็กๆ กลับสามารถทนอยู่มาได้นานถึงครึ่งปี”

ภายในลั่วซิงเฉิง เพลิงสงครามตลอดครึ่งปีทำให้ที่นี่เปลี่ยนเป็นป้อมปราการที่แข็งแกร่งแห่งหนึ่ง

ประชาชนทุกคนกลายเป็นทหาร ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือคนแก่ หรือว่าทหารที่ได้รับบาดเจ็บต่างก็ไม่ได้พักผ่อน พากันหาหน้าที่ทำอย่างเต็มที่ตามกำลังของตนเอง เวลาครึ่งปีเพียงพอให้คนทั้งห้าภาคในโลกแห่งยุคกลางมองเห็นทุกอย่าง

ตำหนักเทพเป็นผู้เริ่มก่อศึกในทุกๆ ครั้ง อีกทั้งในครึ่งปีที่ผ่านมา กองทัพของลั่วซิงเฉิงก็ไม่เคยเหยียบออกนอกเมืองมาก่อน อีกทั้งยังไม่ปรากฎความคิดชั่วร้ายอย่างที่ตำหนักเทพกล่าวอ้าง

กลับเป็นตำหนักเทพเสียเองที่เผยความชั่วร้ายออกมาเรื่อยๆ ทำให้ความศรัทธาที่ผู้คนมีต่อตำหนักเทพลดน้อยลงเรื่อยๆ ในตอนที่ผู้คนพบว่าตนเองโดนหลอกแล้ว ก็ยิ่งรังเกียจตำหนักเทพมากกว่าเดิม

สามารถพูดได้ว่า แต่ก่อนตำหนักเทพเคยได้รับความเคารพมากแค่ไหนตอนนี้ก็กลับกลายเป็นตรงกันข้ามมากเท่านั้น

ทุกอย่างนี้เกิดจากมู่ชิงเกอลอบเคลื่อนไหวอยู่ลับๆ บางส่วน แต่ผลลัพธ์ส่วนมากก็มาจากความไม่ชอบธรรมของตำหนักเทพเอง

เมื่อสถานการณ์แปรเปลี่ยน ฝ่ายต่างๆ ก็ปรากฎขึ้น ตอนนี้ทั้งห้าภาคของโลกแห่งยุคกลางแบ่งออกเป็นสาม

ฝ่ายใหญ่ๆ ส่วนที่หนึ่งก็คือบรรดาตระกูลและฐานอำนาจที่มีไมตรีกับมู่ชิงเกอและสนับสนุนลั่วซิงเฉิง

เช่น สามผู้นำหลักของหลิวเค่อ ตระกูลหาน ตระกูลจี ตระกูลอิ๋ง ตระกูลเว่ย ตระกูลซี ตระกูลเหยา สำนักวิถีโอสถ ตระกูลจิง…และอื่นๆ อีกมากมาย

อีกส่วนหนึ่งก็คือบรรดาตระกูลและฐานอำนาจที่สนับสนุนตำหนักเทพ พวกเขาส่วนมากไม่มีความเกี่ยวข้องกับมู่ชิงเกอ และก็อยู่ภายใต้อำนาจของตำหนักเทพทำให้ต้องทำเช่นนั้น

อีกส่วนหนึ่งที่เหลือก็คือพวกที่เฝ้ามองและไม่เคลื่อนไหวอะไร

การแบ่งฝักแบ่งฝ่ายทำให้เปลวเพลิงสงครามกระจายออกจากลั่วซิงเฉิงไปทั้งห้าภาค

“นายน้อย มีข่าวใหม่มาจากทางตำหนักเทพว่าหลังจากนี้อีกหนึ่งเดือนจะเปิดศึกชี้ขาดกับพวกเรา หากว่าตระกูลใดไม่ร่วมศึกฝั่งพวกเขาในครั้งนี้ หลังจากเสร็จ เรื่องแล้วก็จะต้องถูกฆ่าล้างตระกูล” มู่เฟิงที่กลับมาจากการฝึกฝนที่ภาคกลางเดินเข้ามารายงานตรงหน้ามู่ชิงเกออย่างรวดเร็ว

จวนเจ้าเมืองของมู่ชิงเกอกลายเป็นศูนย์กลางยุทธศาสตร์ ทุกอย่างดำเนินไปตามความต้องการของกองทัพ

มู่ชิงเกอเงยหน้าจากแผนที่ป้องกันแล้วมองไปที่มู่เฟิง ยิ้มเยาะแล้วเอ่ยว่า “ดูแล้ว เมื่อหน้ากากถูกฉีกออก พวกเขาก็ไม่ห่วงการรักษาภาพพจน์อีกต่อไป”

“นายน้อย หากเป็นเช่นนี้แล้วคิดว่าคงมีตระกูลจำนวนไม่น้อยที่ต้องเลือกข้าง พวกเราจะทำอย่างไรดี” มู่เฟิง เอ่ยถาม

มู่ชิงเกอค่อยๆ ส่ายหน้า “ไม่ต้องสนใจ อาศัยวิธีนี้เรียกรวมพล ถึงจะต้องรบกันจริงๆ ก็ไม่มีพลังมากสักเท่าใด เป็นเพียงแค่กลุ่มคนที่เพิ่มเข้ามาแต่หาประโยชน์อะไรไม่ได้ก็เท่านั้น”

“เช่นนั้นพวกเราจะรอพวกเขามาโจมตีงั้นหรือ” มู่เฟิงขมวดคิ้วเอ่ย

“ไม่” มู่ชิงเกอเอ่ย “ครั้งนี้พวกเราจะโจมตีก่อน”

ในเมื่อ เป็นศึกชี้ขาด จะให้คนอื่นมาโจมตีถึงประตูบ้านได้อย่างไร

ทันใดนั้นก็มีเสียงฟ้าร้องดังมาจากด้านนอก

มู่เฟิงมองมู่ชิงเกอ ฝ่ายหลังยิ้มบางๆ “เกือบลืมไปว่าเคราะห์อัสนีครั้งที่สองจะเริ่มขึ้นแล้ว”

พูดแล้วนางก็ลงจากที่นั่งเจ้าเมืองแล้วเดินออกไปด้านนอก

ครึ่งปีที่ผ่านมานี้ ถึงแม้นางจะคอยชี้แนะการศึกแต่ก็ไม่เคยลืมการฝึกปรือของตนเอง ไม่เพียงแต่นาง ครึ่งปีที่ผ่านมานี้พวกจีเหยาฮั่วก็ทยอยเข้าสู่ระดับข้ามผ่าน ทำให้ประชาชนภายในเมืองคุ้นชินกับสถานการณ์เสียงฟ้าร้องนี้แล้ว

มู่ชิงเกอเพิ่งเดินออกจากประตูก็มองเห็นคนสี่คนเดินเข้ามาหานาง

ชิงเกอ”

ชิงเกอ”

เมื่อมองเห็นสี่คนนี้แล้ว มู่ชิงเกอก็ยิ้ม “ศิษย์พี่เหมย ศิษย์พี่จ้าว ศิษย์พี่ซาง ศิษย์พี่จู ข้ากำลังจะเผชิญเคราะห์ หลังจากเสร็จเรื่องนี้แล้วค่อยคุยกัน”

ทั้งสี่คนพยักหน้าอย่างต่อเนื่อง แล้วถอยหลังออกไปหลายก้าวเพื่อหลีกเสี่ยงขอบเขตของเคราะห์อัสนี ห้าเดือนก่อนหน้านี้ เมื่อพวกเขาทะลวงขอบเขตเสร็จแล้วก็รีบมาลั่วซิงเฉิงในทันทีเพื่อร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอยืนอยู่บนลานกว้าง มองไปยังเคราะห์อัสนีกลางอากาศ

เมฆดำที่ก่อตัวมานานหนักขึ้นและลดตํ่าลง ซ่อนพลังอันแข็งแกร่งเอาไว้ภายใน

การที่มู่ชิงเกอจะเผชิญเคราะห์ได้ดึงดูดความสนใจของคนจำนวนไม่น้อย

จีเหยาฮั่วยิ้มกับเหยาชิงไห่อย่างดีใจแล้วเอ่ยว่า “ไม่มีใครจะเผชิญเคราะห์อย่างง่ายดายเช่นชิงเกออีกแล้ว”

เหยาชิงไห่เอ่ยว่า “ใครใช้ให้นางมีรากวิญญาณสายฟ้ากันละ”

ตอนนี้เองเคราะห์อัสนีสายหนึ่งก็ตกลงมาจากฟ้าฟาดลงบนร่างของมู่ชิงเกอ ตราประทับดอกบัวที่หว่างคิ้วของนางลอยออกมา กลายเป็นประตูห้าสีเหนือวิญญาณเทวะของนาง…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!