Skip to content

พลิกปฐพี 565

ตอนที่ 565

ขอบคุณ ลาก่อน

‘นี่ข้าโดนรังเกียจหรือนี่’ มู่ชิงเกอตะลึงอยู่ที่เดิมทำตาปริบๆ บ่นอยู่ในใจ

สวีปิงเดินไวมาก ราวกับกลัวว่ามู่ชิงเกอจะตามไล่หลังมาอย่างนั้น

มู่ชิงเกอเห็นแล้วได้แค่ส่ายหน้า พูดอะไรไม่ออก

นางสำรวจดูตัวเองก็ไม่เห็นมีส่วนเหมือนพวกเจ้าชู้ประตูดินตรงไหนสักหน่อย

มู่ชิงเกอปกติไม่ใช่คนที่ชอบเข้าหาคนอื่นอยู่แล้ว นางใช้นิ้วดีดฝุ่นที่ไม่ได้มีอยู่บนเสื้อผ้า ในเมื่อคนเขาแสดงอาการรังเกียจชัดเจนขนาดนี้แล้ว นางยังจะเข้าไปตีสนิทได้อย่างไร

มู่ชิงเกอมองสำรวจดูรอบๆ พิจารณาเรืออากาศ

เรืออากาศลำนี้ ไม่รู้อาศัยอะไรในการบังคับทิศทาง นางรู้สึกว่าบนเรือนอกจากนางกับสวีปิงแล้ว ก็มีเพียงจวงซานกับเฟิ่งซิ่งเท่านั้น

เรืออากาศไม่ได้กว้างใหญ่และเงียบสงบมาก บนดาดฟ้าเรือเพียงกวาดตามองไปก็มองได้รอบแล้ว นอกจากห้องเพียงไม่กี่ห้องแล้วก็ไม่มีอะไรอื่นเลย

มู่ชิงเกอมองไปที่เสากระโดงเรืออากาศ ใบเรือสีขาวที่เสากระโดงเรือแกว่งไกวไม่หยุดราวกับบังคับทิศทางอยู่

‘เรืออากาศลำนี้น่าสนใจ’ มู่ชิงเกอหรี่ตา หัวเราะในใจ นางมองออกนานแล้วว่าเรืออากาศลำนี้คือยุทธภัณฑ์ชั้นอาคมชนิดหนึ่ง คงจะเป็นเครื่องมือที่คนแผ่นดินเทพใช้สัญจรไปมา

มู่ชิงเกอเอามือไพล่หลังเดินไปที่กราบเรือใน ทิศทางตรงข้ามกับสวีปิงอย่างสบายอารมณ์ มือจับขอบเรือ มองดูทิวทัศน์มหาสมุทรดวงดาว

เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นทิวทัศน์ที่สวยงามตระการตาเช่นนี้

มหาสมุทรดวงดาวที่ไม่มีขอบเขต ดวงดาวหลากสีระยิบระยับมีอยู่หนาแน่นทั่วไป ทำให้นางเกิดความรู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในห้วงอวกาศแห่งจักรวาล มีดาวหางที่มีเปลวไฟลุกโชติช่วงเฉียดผ่านเรืออากาศไปเป็นระยะๆ ราวกับว่านางเพียงเอื้อมมือก็สามารถจับมันไว้ได้

มหาสมุทรดวงดาวกว้างใหญ่เท่าไร แผ่นดินเทพตะวันออกอยู่ไกลแค่ไหน

มู่ชิงเกอดูอยู่นานก็ยังไม่เห็นขอบแผ่นดิน ส่วนแท่นบ่อบินก็มองไม่เห็นตั้งนานแล้ว

รอบๆ ตัวนาง รอบบริเวณเรืออากาศล้วนเป็นมหาสมุทรดวงดาว ดวงดาวหลากสีระยิบระยับ ทิวทัศน์ที่ยิ่งใหญ่สวยงาม แม้งามเท่าใดแต่เมื่อดูนานแล้วก็ย่อมหมดความน่าสนใจ

มู่ชิงเกอชมอยู่ไม่นานนักก็ลงไปนั่งขัดสมาธิ ทำการฝึกฝนบำเพ็ญ

ขณะที่เพิ่งออกจากบ่อบิน นางรับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของปัญญาการหยั่งรู้กับพลังจิต แต่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเท่าไรนั้น นางยังไม่มีเวลาไปทำการรับรู้

เวลานี้ อย่างไรก็ไม่มีเรื่องอะไรอื่นให้ทำก็ลองรับรู้ดูเสียหน่อย

ผ่านไปครู่หนึ่งมู่ชิงเกอก็ลืมตาด้วยความฉงน บ่นพึมพำว่า “ทำไมข้าไม่สามารถขับเคลื่อนพลังจิต แม้แต่ปัญญาการหยั่งรู้ก็ราวกับหยุดนิ่งไปชั่วคราว”

มู่ชิงเกอมองไปยังจุดที่สวีปิงอยู่

ก่อนนางนั่งสมาธิ สวีปิงยังยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือหันหลังให้นาง หันหน้าไปทางมหาสมุทรดวงดาว แต่เวลานี้นางนั่งลงกับพื้นหลับตาสองข้างลง ทำให้ใบหน้าที่เย็นชาของนางทวีความเย็นชามากขึ้น

หากไม่สังเกตดีๆ ยังจะนึกว่าเป็นรูปปั้นแกะสลักด้วยซ้ำ

‘ดูท่าทาง นางเองก็กำลังรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกาย’ มู่ชิงเกอกล่าวกับตัวเองในใจ คิดแล้วนางจึงลุกขึ้นยืนมองไปทางห้องโดยสารเห็นห้องซ้ายขวาสองห้องที่ปิดประตูอยู่

ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าเป็นห้องที่จวงซานกับเฟิ่งซิ่งใช้พักผ่อน

หากนางอยากจะพบจวงซานควรจะเลือกห้องด้านซ้ายหรือด้านขวาดี

มู่ชิงเกอยืนอยู่ที่ทางเดินตรงกลางพลางเลิกคิ้วขึ้น

เวลานี้เอง ประตูทางด้านขวาของนางก็เริ่มขยับ นางมองไปเห็นประตูค่อยๆ เปิดออกเป็นช่องช่องหนึ่ง เผยให้เห็นใบหน้าขี้อายของเฟิ่งซิ่ง

เฟิ่งซิ่งเห็นมู่ชิงเกอยืนอยู่นอกประตูก็อึ้งไป แล้วยิ้มอย่างเคอะเขิน ท่าทางขี้อายมาก

มู่ชิงเกอยิ้มให้เขาอย่างสุภาพ พยักหน้าเอ่ยว่า “ศิษย์พี่เฟิ่งซิ่ง ข้าอยากพบศิษย์พี่จวงซานเพื่อถามเรื่องหนึ่งน่ะ”

เฟิ่งซิ่งอายจนทำอะไรไม่ถูก เมื่อได้ยินคำพูดมู่ชิงเกอแล้วก็ผงกศีรษะอย่างประหม่าแล้วถอยกลับเข้าห้อง ปิดประตูลง

มู่ชิงเกอได้ยินเสียงปิดประตูก็เลิกคิ้วขึ้น รู้สึกขบขันกัปท่าทางของเฟิ่งซิ่งนัก นางสั่นศีรษะหมุนตัวเดินไปทางห้องฝั่งซ้ายแล้วยกมือเคาะประตู

“ศิษย์พี่จวงซาน ข้าเอง ข้าขอรบกวนหน่อยได้ไหม” มู่ชิงเกอพูด

ภายในห้องจวงซานที่กำลังนั่งบำเพ็ญก็ได้ยินเสียงมู่ชิงเกอ เขาจึงถอยออกจากการบำเพ็ญค่อยๆ ลืมตาแล้วพูดว่า “เชิญเข้ามา”

มู่ชิงเกอผลักประตูเข้าไป ขณะที่นางเข้ามา จวงซานก็เผยรอยยิ้มที่สุภาพเป็นมิตรออกมา

ขณะที่มู่ชิงเกอยื่นมือไปปิดประตู ประตูห้องฝั่งตรงข้ามของเฟิ่งซิ่งก็เปิดออกมาอีกครั้ง เขาคงคิดว่ามู่ชิงเกอไม่รู้ว่าจวงซานอยู่ไหนจึงจะใจดีนำทางให้ แต่เมื่อ

เห็นชุดแดงของมู่ชิงเกอขยับผ่านไป ทั้งยังปิดประตูห้องแล้วจึงชะงักไปพลางหัวเราะเยาะตัวเอง

“ศิษย์พี่จวงซาน” มู่ชิงเกอประสานมือคารวะอย่างมีมารยาท

จวงซานก็คารวะตอบ ถามว่า “เจ้ามีเรื่องอะไรจะคุยกับข้าหรือ”

มู่ชิงเกอผงกศีรษะกล่าวว่า “ข้ามาหาศิษย์พี่เพราะสองเรื่อง”

“ว่ามาเลย” จวงซานผงกศีรษะยิ้มพูด

มู่ชิงเกอว่า “เรื่องแรกคือ เมื่อสักครู่ตอนข้าว่างๆ จึงนั่งสมาธิที่ดาดฟ้าเรือ แต่พบว่าทั้งพลังจิตและปัญญาการหยั่งรู้ภายในร่างกายต่างไม่สามารถขับเคลื่อนมาใช้ได้ จึงมาสอบถามศิษย์พี่”

“ที่แท้ก็เรื่องนี้เอง” จวงซานยิ้มออกมา เขานิ่งไปนิดหนึ่งราวกับกำลังครุ่นคิดก่อนเอ่ยว่า “เรื่องนี้ ไม่ใช่แค่เจ้าเท่านั้นที่เป็น แต่บนเรือมีสองคน กลับมีเจ้ามาถามเพียงคนเดียว…ศิษย์น้องสวีดูแล้วคงไม่ใช่คนที่เข้าหาได้ง่ายนัก ไม่รู้ว่าเกี่ยวกับรากวิญญาณนํ้าแข็งของนางหรือไม่”

คำพูดที่เอ่ยโดยไม่ได้ตั้งใจของจวงซานกลับทำให้มู่ชิงเกอรู้ถึงรากวิญญาณของสวีปิง

‘ถึงกับเป็นรากวิญญาณนํ้าแข็งเชียวรึ ได้ยินว่า รากวิญญาณสายนํ้าแข็งเกิดจากการผ่าเหล่าของรากวิญญาณวารี ในร้อยรากวิญญาณวารีก็ยังไม่แน่ว่าจะมีหนึ่งรากวิญญาณนํ้าแข็ง ไม่นึกว่าเพิ่งมาถึงแผ่นดินเทพก็มีโอกาสได้พบ ทั้งยังเป็นหน้าใหม่เช่นเดียวกับข้าด้วย’ มู่ชิงเกอดิดในใจ

จวงซานไม่ได้สังเกตแววตาฉงนของมู่ชิงเกอ พูดต่อไปว่า “ความจริง เจ้าไม่ต้องตกใจ พลังบำเพ็ญของโลกเบื้องล่างไม่เหมือนแผ่นดินเทพมาร พูดได้ว่าพลังบนแผ่นดินเทพมารแข็งแกร่งกว่า บริสุทธิ์กว่า พวกเจ้าเพิ่งขึ้นมาจากบ่อบิน เวลาที่นั่งเรืออากาศไปแผ่นดินเทพ เป็นเวลาของขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงพลังจิตกับปัญญาการหยั่งรู้ ในขั้นตอนนี้ พลังจิตกับปัญญาการหยั่งรู้จะไม่สามารถขับเคลื่อนมาใช้ได้ เป็นเรื่องปกติ”

“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง ขอบคุณศิษย์พี่มาก” มู่ชิงเกอเข้าใจแล้ว

ราวกับว่านางเป็นพวกอ่อนหัดคนหนึ่ง ทุกอย่างล้วนแสดงให้เห็นชัดบนใบหน้า ดูแล้วใสซื่อไม่มีพิษมีภัย ไม่ทำให้คนนึกระแวงอะไร

“ยังมีเรื่องอะไรอีกไหม” จวงซานถาม เขาไม่ได้ลืมว่าขณะที่มู่ชิงเกอเข้ามาบอกว่าจะถามเขาสองเรื่อง ต้องยอมรับเลยว่าเขามีความรู้สึกดีๆ ต่อศิษย์น้องที่มาใหม่คนนี้ไม่น้อย ไม่เพียงเพราะเฟิ่งซิ่งเท่านั้น แต่หลังจากได้พูดคุยกันก็รู้สึกว่ามู่ชิงเกอให้ความรู้สึกที่สบายใจมาก

เขาไม่มีความกังวลแบบเดียวกับพวกที่บินขึ้นมาใหม่ส่วนใหญ่ ทั้งไม่หยิ่งยโส ดูสงบนิ่งมาก

“เรื่องนี้เกี่ยวกับแซ่ของข้า” มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว แววตามีความฉงนไม่ปิดบัง “คำพูดของเหล่าศิษย์พี่ที่แท่นบ่อบินก่อนนั้นข้าได้ยินทั้งหมด เพียงแต่ติดขัดใน สถานการณ์จึงไม่ได้ถาม เวลานี้จึงอยากถามศิษย์พี่จวงซาน แซ่ของข้าละเมิดกฎเหล็กข้อใดของแผ่นดินเทพมารหรือ ทำไมแม้แต่ศิษย์พี่ยังให้ข้าละทิ้งแซ่นี้ อย่างไรแซ่ก็เป็นสิ่งที่บรรพบุรุษสืบทอดให้ หากข้าละทิ้งง่ายๆ ก็เท่ากับอกตัญญูจึงอยากสอบถามให้ชัดเจน เพื่อที่ว่าภายหลังจะได้ไม่ทำผิดข้อห้ามต่างๆ โดยไม่รู้ตัว”

คำพูดของนางเป็นเหตุเป็นผลมาก ใครจะนึกว่านางกำลังถือโอกาสสอบถามเรื่องราวของตระกูลมู่ในแผ่นดินเทพทั้งสี่สมุทรอยู่

พวกราชครูออกจากแผ่นดินเทพมานานมากแล้ว ข่าวมากมายไม่ได้ทันเหตุการณ์ ในเมื่อมีโอกาสให้นางสอบถามนางจะโง่ปล่อยผ่านไปได้อย่างไร

“แซ่ของเจ้า…เอ่อ…” จวงซานสั่นศีรษะถอนหายใจอย่างจนปัญญา พลางมองมู่ชิงเกออย่างเห็นใจ

“เจ้าก็นับว่าโชคร้ายนัก แซ่อะไรไม่ใช้ มาใช้แซ่นี้ เจ้าพูดไม่ผิดแซ่มู่เป็นแซ่ต้องห้ามในแผ่นดินเทพทั้งสี่สมุทร เรื่องราวทั้งหมด ข้าไม่สะดวกที่จะบอกเจ้า ขอให้เจ้ารู้เพียงว่าแซ่มู่เป็นแซ่ที่ทั้งสี่สมุทรรุมประณาม ไม่ว่าถิ่นไหนในแผ่นดินเทพล้วนแต่จะตามฆ่าล้าง ความจริง หากถามข้า ที่สะดวกสุดก็คือให้เจ้าเปลี่ยนแซ่ไปเลยดีกว่า แต่หากเจ้าไม่ยอมจริงๆ ก็…,” เขาเงียบไป ครุ่นคิดอยู่ สักครู่จึงบอกว่า “หากเจ้าไม่ยอมเปลี่ยนแซ่จริงๆ ก็ต้องเลื่อนขึ้นมาเป็นหนึ่งในสิบลูกศิษย์ใหญ่ตำหนักหน้าของแดนฮ่วนเยวี่ย เมื่อมีฐานะนี้แล้ว ก็จะไม่มีใครสงสัยว่าเจ้ามีความเกี่ยวพันกับแซ่มู่นั้นอีก จะหมดความยุ่งยากไปได้มาก”

มู่ชิงเกอจำคำพูดของจวงซานเอาไว้ และเข้าใจว่าสถานการณ์ของตระกูลมู่ในแผ่นดินเทพมารคง ‘ไม่มีเกียรติ’ เช่นที่มู่เทียนอินบอกไว้

“ขอบคุณศิษย์พี่ ข้าจะพยายาม” มู่ชิงเกอผงกศีรษะขอบคุณที่จวงซานบอกเรื่องนี้กับนาง และยังบอกวิธีการที่จะทำให้นางสามารถยืนอยู่ในแผ่นดินเทพได้ตามที่นางต้องการอีกด้วย

สิบลูกศิษย์ใหญ่ตำหนักหน้าของแผ่นดินเทพหรือ

แววตามู่ชิงเกอหม่นลงเล็กน้อย นางราวกับได้พบเป้าหมายแรกแล้ว

“เจ้าต้องพยายามมากจริงๆ สิบลูกศิษย์ใหญ่ ไม่ใช่จะเป็นได้ง่ายๆ อีกทั้งเจ้ายังมีรากวิญญาณที่ใช้การไม่ได้อีกด้วย” จวงซานบอกตามตรง

“ขอรับ ศิษย์พี่” มู่ชิงเกอตอบรับอย่างถ่อมตน นางถอยออกจากห้องจวงซานกลับออกมาที่ดาดฟ้า

ขณะเดินออกจากห้อง นางเห็นว่าสวีปิงได้ออกจากการบำเพ็ญแล้ว นางยืนอยู่บนดาดฟ้ามองมาที่ตนด้วยอาการเย็นชาปนรังเกียจ ราวกับว่านางเป็นตัวแมลงน่ารังเกียจก็ไม่ปาน

มู่ชิงเกอลูบจมูก เดินไปเงียบๆ ไม่ได้ทักทาย

การอยู่ร่วมกับสวีปิงนั้นมีการแบ่งเขตอย่างชัดเจน ทั้งสองต่างไม่ยุ่งเกี่ยวกัน เรืออากาศไม่รู้แล่นอยู่ในมหาสมุทรดวงดาวนานเท่าไรแล้ว ในที่สุดมู่ชิงเกอก็ได้มองเห็นเค้าโครงแผ่นดินที่กว้างใหญ่ไพศาลไม่มีที่สิ้นสุดผ่านเมฆหมอกเป็นชั้นๆ

มันลอยอยู่ในมหาสมุทรดวงดาว ล่องลอยคล้ายมีคล้ายไม่มี

มู่ชิงเกอรู้สึกว่า นี่เป็นเพียงแค่มุมหนึ่งของภูเขานํ้าแข็งเท่านั้น หากนางต้องการเห็นทั้งหมดของแผ่นดินเทพตะวันออกก็ยังต้องการเวลาอีกมากนัก

เรืออากาศค่อยๆ เข้าไปใกล้แผ่นดินนั้น ยังไม่เท่าไหร่ก็ให้ความรู้สึกถึงบรรยากาศแห่งเทพ ราวกับขุนเขาเทวะกลางทะเล

เวลานี้เองจวงซานกับเฟิ่งซิ่งก็เดินออกมาด้วยกัน พวกเขาบอกพวกมู่ชิงเกอว่า “จะถึงเสี่ยวเทียนอี้แล้ว พวกเจ้าเตรียมลงจากเรือได้”

เขาเพิ่งพูดจบ เรืออากาศก็เกิดการสั่นไหวอย่างรุนแรง จนมู่ชิงเกอกับสวีปิงชนกัน

ใบหน้าทั้งคู่เกือบจะชนกันอยู่แล้ว สวีปิงเบิกตาโตบิดตัวหลบออกให้ตัวเองชนเข้ากับเสากระโดงเรือแทน

มู่ชิงเกอล้มลงอย่างไร้รอยขีดข่วน นางมองไปทางสวีปิงแล้วพูดว่า “ขอบคุณ ลาก่อน”

พูดจบ นางก็เดินไปหาพวกจวงซานสองคน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!