ตอนที่ 582
บอกว่าชอบแต่ข้าเท่านั้นนี่
“… เจ้าจำได้หรือยัง” ผู้เฒ่าเฝ้าตะเกียงมองมู่ชิงเกออย่างจริงจัง
นี่เป็นครั้งแรกที่เขามีท่าทีเคร่งขรึมเอาจริงเอาจังเช่นนี้ตั้งแต่รู้จักกับมู่ชิงเกอ ชวนให้คนไม่อาจดูเบาได้จริงๆ
มู่ชิงเกอผงกศีรษะ
นางไม่รู้ว่าวิชาบำเพ็ญที่ผู้เฒ่าจะสอนนั้นมีความร้ายกาจดุดันเพียงใด แต่นางรู้หลักการอยู่ข้อหนึ่ง นั้นก็คือวิชาบำเพ็ญที่ยิ่งร้ายกาจดุดัน ผลที่ได้ยิ่งเห็นได้ชัดแจ้ง
นางยังต้องไปหามู่เทียนอินเพื่อแก้แค้น การที่มีวิชาบำเพ็ญที่สามารถเพิ่มพูนพลังตัวเองได้ นางจะยอมให้พลาดได้อย่างไร
“ดี เจ้าหลับตา ฟังคำเคล็ดวิชาข้า ทำตามคำเคล็ดวิชาข้า ค่อยๆ ขับเคลื่อนพลังเทพในกายเจ้า การขับเคลื่อนครั้งแรกอาจจะรู้สึกไม่สบายตัวหน่อย อย่างไรก็ตามเจ้าต้องอดทน ยืนหยัดต่อไป อย่าได้ทอดทิ้งกลางคัน มิฉะนั้นจะสูญสิ้นทุกสิ่งที่ทำมาทั้งหมด” ผู้เฒ่าเฝ้าตะเกียงกำชับมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอเม้มริมฝีปาก ผงกศีรษะอย่างจริงจัง
“ส่งพลังไปท้องน้อย รวมศูนย์ทั้งหมด…,” ผู้เฒ่าเฝ้าตะเกียงเริ่มต้นกล่าวคำเคล็ดวิชาช้าๆ
มู่ชิงเกออาศัยคำเคล็ดวิชาของเขาขับเคลื่อนพลังเทพในกาย เดินตามเส้นทางใหม่ นำพลังเทพในร่างกายขับเคลื่อนไป ขณะเริ่มต้นเป็นเช่นที่ผู้เฒ่าพูดไว้เวลาขับเคลื่อน ส่วนที่พลังเทพวิ่งผ่าน ชีพจรจะเกิดความรู้สึกเจ็บปวดเหลือทน
แต่ความสามารถของนางล้วนเกิดจากการที่ นางฝึกฝนบำเพ็ญด้วยตัวเอง ความเจ็บปวดลำบากเช่นนี้นางผ่านมาแล้วไม่รู้ตั้งเท่าไร
ดังนั้น หลังจากครั้งแรกที่รู้สึกทรมานแล้ว นางก็สามารถปรับตัวให้รับกับความรู้สึกเช่นนี้ได้อย่างดี
ผู้เฒ่าเฝ้าตะเกียงเห็นคิ้วที่ขมวดของนาง ค่อยๆ ผ่อนคลาย สีหน้าเริ่มคลายสู่ปกติ ดวงตาก็ฉาย แววประหลาดใจเอ่ยในใจว่า ‘หรือเคล็ดวิชานี้มีแต่คนแซ่มู่เท่านั้นถึงจะสามารถบำเพ็ญได้’
อาศัยคำเคล็ดวิชาบำเพ็ญใหม่ หลังจากขับเคลื่อนหนึ่งรอบแล้ว มู่ชิงเกอก็เริ่มขับเคลื่อนครั้งที่สอง ครั้งนี้ความทรมานภายในร่างกายไม่เพียงแต่ลดน้อยลงไปมาก แต่ยังชักนำพลังเทพรอบๆ เข้ามารวมตัวภายในร่างกายตัวเอง แทรกผ่านชั้นผิวหนังเข้าสู่ร่างกาย หลอมเข้าสู่ชีพจร
การบำเพ็ญพลังเทพก็คือการสะสมนํ้า ระดับชั้นก็คืออ่างเก็บนํ้า ระดับชั้นยิ่งสูง อ่างเก็บนํ้าก็ยิ่งใหญ่ขึ้น ทุกครั้งที่ทะลวงขอบเขต ก็คือเมื่อนํ้าในอ่างเก็บนํ้าเต็มแล้วจึงกระแทกอ่างเก็บนํ้าเดิมให้แตกออก กลายเป็นอ่างเก็บนํ้าที่ใหญ่ขึ้น สามารถจุนํ้าได้มากขึ้น
เวลานี้ มู่ชิงเกออยู่ในระหว่างการสะสมนํ้า นางต้องการสะสมนํ้าในอ่างเก็บนํ้าปัจจุบันให้เต็มแล้วจึงเปลี่ยนอ่างเก็บนํ้าที่ใหญ่ขึ้นวนเวียนไปเรื่อยๆ ไม่หยุด จนกระทั่งอ่างเก็บนํ้าในร่างกายนางใหญ่จนสามารถจุได้ทั้งฟ้าดิน
มู่ชิงเกอนั่งครั้งนี้กินเวลาตลอดทั้งคืน
ผู้เฒ่าเฝ้าตะเกียงเวลานี้ตื่นตะลึงไม่หยุด เดิมเขาคิดว่าสำหรับครั้งแรกมู่ชิงเกอสามารถยืนหยัดขับเคลื่อนได้สามรอบก็ถึงขีดสุดแล้ว แต่ไม่นึกว่าเขาถึงขนาดยืนหยัดได้ถึงห้ารอบ
ขณะที่มู่ชิงเกอลืมตา ฟ้าก็เริ่มสางแล้ว
นางเผยอริมฝีปากพ่นลมเสียออกมา ปรับพลังเทพในกายคืนกลับแล้วจึงมองไปที่ผู้เฒ่าเฝ้า ตะเกียง เป็นครั้งแรกที่นางขอบคุณด้วยความจริงใจ “ขอบคุณผู้อาวุโส ใช้วิชานี้บำเพ็ญมีความก้าวหน้าเหนือธรรมดาจริงๆ”
ถ้าหากพูดว่า วิชาบำเพ็ญเบื้องต้นที่จวงซานสอนนาง บำเพ็ญหนึ่งคืนสามารถรับนํ้าได้หนึ่งหยด อย่างนั้นวิชาที่ผู้เฒ่าลึกลับนี้ให้นางบำเพ็ญหนึ่งคืนก็รับนํ้าได้ถึงหนึ่งแก้ว
อีกทั้ง นางรู้สึกว่าคำเคล็ดวิชาที่ผู้เฒ่าให้นั้นไม่สมบูรณ์ ราวกับเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น หากนางสามารถได้รับคำเคล็ดวิชาที่สมบูรณ์ ความก้าวหน้าของนางก็จะยิ่งเร็วขึ้น
‘วิชานี้ ราวกับคิดค้นมาเพื่อให้นางใช้โดยเฉพาะอย่างนั้น’ ผลการบำเพ็ญคืนเดียวทำให้มู่ชิงเกอรู้สึกชื่นบานอย่างยิ่งอดไม่ได้ที่จะเอ่ยในใจ
“เจ้าเป็นคนมีพรสวรรค์หาได้ยากจริงๆ ข้าไม่ได้ดูผิดไป” ผู้เฒ่าเฝ้าตะเกียงพูด “เจ้าไม่ต้องขอบคุณข้า คำเคล็ดวิชานี้ไม่สมบูรณ์ ข้ารู้เพียงเท่านี้ หากต่อไปภายหน้าเจ้ามีวาสนาได้คำเคล็ดวิชาที่สมบูรณ์ก็ถือเป็นบุญของเจ้า”
“ที่แท้ผู้อาวุโสก็ไม่รู้เคล็ดวิชาที่สมบูรณ์แบบ” มู่ชิงเกอเพิ่งจะเข้าใจ
ผู้เฒ่าเฝ้าตะเกียงกลับถามอย่างแปลกใจว่า “ทำไมหรือ เจ้ารู้แต่แรกหรือว่าไม่สมบูรณ์”
มู่ชิงเกอผงกศีรษะ “ในระหว่างบำเพ็ญ ข้ารู้สึกว่าไม่สมบูรณ์ เพียงแต่ไม่แน่ใจนัก”
ผู้เฒ่าเผ้าตะเกียงสะท้อนใจ ไม่ได้คุยหัวข้อนี้ต่อ แต่เตือนมู่ชิงเกอว่า “เจ้าเป็นคนมีห้ารากวิญญาณหายาก ดังนั้นหากต่อสู้กับคนอื่น การสิ้นเปลืองพลังเทพก็จะมีมากกว่าคนอื่นซึ่งหมายความว่าเจ้าต้องการพลังเทพที่มากกว่าในการคํ้าจุนการต่อสู้ของเจ้า วิชาทั่วไปไม่ สามารถไปถึงความต้องการนี้ได้ หากเจ้าต้องการความสำเร็จ มีเพียงวิชานี้ที่ข้าบอกเจ้าเท่านั้นที่สามารถทำได้”
“ผู้อาวุโส นี่คือวิชาอะไร มีชื่อเรียกว่าอะไรหรือ” มู่ชิงเกอถาม ในเมื่อมีประโยชน์ต่อนาง เมื่อรู้ชื่อแล้วจะได้สะดวกในการตามหาวันหลัง
แต่ผู้เฒ่าเฝ้าตะเกียงกลับส่ายหน้า “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องไปฝืนตามหา หากเจ้ากับมันมีวาสนาต่อกัน ช้าเร็วก็ต้องเจอกัน หากข้าบอกเจ้าเวลานี้ มีแต่จะทำให้เจ้าต้องตกอยู่ในอันตราย”
มู่ชิงเกอเม้มริมฝีปาก บอกเขาว่า “ผู้อาวุโสไม่อยากพูด ข้าก็ไม่ฝืน ต่อไปข้าจะไม่ถามอีก”
ผู้เฒ่าเฝ้าตะเกียงพยักหน้า โบกมือบอกเขาว่า “กลับไปเถอะ คืนนี้ค่อยมา จำไว้ หากข้าไม่อยู่ เจ้าจะแอบบำเพ็ญไม่ได้ รอจนเจ้าทะลวงขอบเขตครั้งหนึ่งแล้วจึงจะสามารถบำเพ็ญได้อย่างไม่มีอุปสรรค”
“รับทราบ ขอบคุณผู้อาวุโส” มู่ชิงเกอลุกขึ้นยืน คำนับผู้เฒ่าเฝ้าตะเกียงอย่างนอบน้อม
การสอนวิชาของผู้เฒ่า ไม่ว่าด้วยจุดประสงค์อะไรก็สมควรแก่การทำความเคารพในครั้งนี้
ลาผู้เฒ่าแล้วมู่ชิงเกอก็กลับไปยังถํ้าตัวเองตามทางเดิม เพิ่งมาถึงนอกถํ้าก็ได้ยินเสียงดีอกดีใจจากถํ้าของถงเถิง ตามด้วยถงเถิงที่เปิดประตูถํ้าพุ่งออกมาอย่างดีใจ
เมื่อเขาเห็นมู่ชิงเกอก็ยิ่งดีใจใหญ่ พุ่งมาที่นาง “ลูกพี่ ข้าทะลวงขอบเขตแล้ว ข้าทะลวงขอบเขตแล้ว ข้าอยู่ขั้นจิตวิญญาณขั้นสี่แล้ว อีกไม่นานก็จะถึงขั้นจิตวิญญาณขั้นห้า ถึงเวลานั้นข้าก็จะถอดเสื้อเขียวตัวนี้ แล้วใส่เสื้อขาวพร้อมท่านได้แล้ว”
มู่ชิงเกอฟังจบก็ใช้ปัญญาเทวะตรวจสอบ พบว่าถงเถิงเข้าถึงขั้นจิตวิญญาณขั้นสี่แล้วจริงๆ ก็ออกจะประหลาดใจนิดๆ
เขาเข้ามายังดินแดนฮ่วนเยวี่ยเพียงครึ่งเดือนก็สามารถทะลวงขอบเขตได้หนึ่งชั้น เห็นได้ว่าพรสวรรค์ถงเถิงเองก็สูงยิ่งนัก
“ลูกพี่ พวกเราต้องฉลองกันให้เต็มที่เลยนะวันนี้” ถงเถิงเสนอ “เช่นนี้ดีไหม พวกเราลงเขาเข้าเมืองไปซื้อพวกสุราอาหารกลับมาแล้วไปเชิญศิษย์พี่จวง พวกเราสามคนมาดื่มกินฉลองกันดีไหม”
หลังเข้ามายังดินแดนฮ่วนเยวี่ยแล้ว พวกเขาจึงรู้ว่าเกาะที่ลอยอยู่บนผืนน้ำเซียนถูกเรียกว่าเมืองล่าง เป็นที่พักอาศัยของมนุษย์เทพบริวารดินแดนฮ่วนเยวี่ย คล้ายกับเมืองของมนุษย์ธรรมดามาก มีทั้งภัตตาคาร ร้านค้า ที่เล่นสนุกต่างๆ ส่วนสถานที่ที่พวกลูกศิษย์ดินแดนฮ่วนเยวี่ยพักอาศัยจะถูกเรียกเป็นเมืองบน
มู่ชิงเกอส่ายหน้าว่า “กินเลี้ยงได้ แต่อย่าไปรบกวนศิษย์พี่จวงซานเลย เจ้าก้าวหน้าไวเกินไป เพียงไม่กี่วันก็ทะลวงขอบเขตไปได้หนึ่งชั้น ศิษย์พี่จวงซานจากไป ขณะนี้กำลังรีบบำเพ็ญอย่าไปรบกวนเขาเพราะเรื่องนี้เลย”
ได้ยินคำพูดของมู่ชิงเกอแล้ว ถงเถิงก็ผงกศีรษะติดๆ กัน “ลูกพี่พิจารณารอบคอบ ข้าห่วงแต่ตัวเองดีใจจนลืมเรื่องนั้นไป เช่นนั้นวันนี้พวกเราฉลองกันสองคน รอศิษย์พี่จวงซานมาแล้ว พวกเราสามคนค่อยฉลองกันอีก”
มู่ชิงเกอพยักหน้ายิ้มๆ
วันนี้นางบำเพ็ญได้ก้าวหน้า อารมณ์จึงดีด้วย ไปเมืองล่างเดินเล่นกับถงเถิงเองก็ไม่เลวเหมือนกัน
เมืองล่างของดินแดนฮ่วนเยวี่ย พวกเขาเพิ่งเคยมาครั้งแรก รู้สึกแปลกใหม่นัก
ลงมาครั้งนี้ พวกเขาไม่ต้องใช้บันไดสู่ฟ้า แต่ใช้ทางลงเขาที่ลูกศิษย์แดนฮ่วนเยวี่ยใช้กันมาถึงเมืองล่างที่มีผืนน้ำเซียนล้อมรอบได้อย่างสบายๆ
“เมืองนี้ ไม่ต่างอะไรกับเมืองมนุษย์ธรรมดาเลย” ถงเถิงมองซ้ายมองขวาแล้วพูด
“คล้ายกันจริงๆ” มู่ชิงเกอก็เห็นด้วย
ที่นี่เหมือนกับเมืองมนุษย์ธรรมดามาก ไม่มีกำแพงเมืองล้อมรอบ สร้างตามพื้นที่ดั้งเดิม ภายในเมืองก็คล้ายกับเมืองมนุษย์ธรรมดา
“แต่ว่า พวกเขาดูเหมือนจะเคารพพวกเรามาก” ถงเถิงสังเกตเห็นสายตาของผู้คนรอบๆ ก็อดไม่ได้ที่จะแหงนหน้ายืดอกขึ้นมา
มู่ชิงเกอยิ้มว่า ”ที่นี่ถึงแม้เป็นเมืองล่าง แต่ผู้อยู่อาศัยต่างเป็นมนุษย์เทพ การเคารพของพวกเขาต่อพวกเรา ก็เพราะเสื้อผ้าที่เราสวมใส่”
มู่ชิงเกอชี้ตัวนางกับถงเถิง บอกที่มาของสายตาเคารพเหล่านั้น
คนเหล่านี้ไม่ได้เคารพพวกเขาสองคน แต่เป็นดินแดนฮ่วนเยวี่ยที่พวกเขาอยู่ต่างหาก
ถงเถิงพยักหน้า “มันก็ธรรมดามาก ดินแดนฮ่วนเยวี่ยเป็นดินแดนเทพที่แข็งแกร่งสุดของแผ่นดินเทพตะวันออก คนที่แข็งแกร่งที่สุด ทุกคนย่อมเคารพ”
สองคนเดินอย่างไม่มีจุดหมายอยู่ในตลาด ขณะนี้ยังไม่หิวพวกเขาจึงไม่ได้รีบที่จะไปหาที่กินข้าว
ทันใดนั้น มีเสียง ‘หยุด’ ดังขึ้นทำให้ทั้งสองคนหยุดแล้วหันตัวไป
พอหันไป มู่ชิงเกอก็เห็นใบหน้าสองดวงที่เหมือนกันมองมาทางตัวเอง ไม่สิ ควรบอกว่ามาทางนางกับถงเถิงมากกว่า
‘มีสองคนจริงๆ ด้วย ดูท่าทางแล้วสองคนนี้จะเป็นฝาแฝดกัน’ มู่ชิงเกอพูดในใจ
เสียงที่เรียกให้พวกเขาหยุดนั้นนางจำได้ ก็คือซวนอิ่งที่วันนั้นเจอกันที่หอเคล็ดวิชานั้นเอง อีกคนที่มีท่าทางเย็นชา งดงามเฉิดฉันนั้นเป็นคนที่นางเจอข้างบึงเปลี่ยว
พอกวาดสายตามองไปก็พบว่าสวีปิงเองก็อยู่ด้วย อีกฝ่ายเดินตามอยู่ด้านหลังพวกนางสองคน
สายตามู่ชิงเกอมองไปที่สวีปิงกับหญิงสาวที่เจอริมบึงเปลี่ยว นางกำลังคาดเดาความสัมพันธ์ของพวกนางอยู่ แต่เมื่อตกอยู่ในสายตาคนอื่นกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น
คนอื่นที่ว่านี้ก็คือซวนอิ่ง
นางออกมาเดินเล่นพอดีเห็นมู่ชิงเกอเข้า อารามตื่นเต้นจึงเรียกออกมาไม่นึกว่าคนที่นางคิดถึงทั้งวันทั้งคืนกลับไม่มองนางแต่มองไปทางพี่สาวนางแทน
ซวนอิ่งทนไม่ได้ วิ่งไปเบื้องหน้ามู่ชิงเกอ ยืนบดบังสายตาอยู่ด้านหน้านางพลางพูดอย่างน้อยใจว่า “นี่ เจ้าไม่ใช่บอกว่าชอบข้าหรือ”
พอนางพูดคำนี้ออกมา มู่ชิงเกอก็หน้าเปลี่ยนสีทันที
ทั้งซวนเฉียงกับสวีปิง สาวงามที่นิสัยคล้ายกันนั้นก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันทีเช่นกัน สายตาบ่งบอกถึงความตกตะลึง
ถงเถิงตกใจเบียดมาข้างๆ มู่ชิงเกอแล้วกระซิบว่า “ลูกพี่ ท่านไปหาสาวงามมาตั้งแต่เมื่อไรหรือ”
มู่ชิงเกอหน้าดำคลํ้าลง ไม่ทันอธิบายให้ถงเถิงฟังก็พูดเสียงเครียดกับซวนอิ่งว่า “เจ้าพูดเหลว ไหลอะไร”
ซวนอิ่งกลับพูดอย่างน้อยใจว่า “ข้าพูดเหลวไหลที่ไหนกัน หากเจ้าไม่ได้ชอบข้า จะมาเกี้ยวพาข้าทำไม”