Skip to content

พลิกปฐพี 630

ตอนที่ 630

เบาะแสของเคล็ดวิชาเทวะ?

ในเรือนหลังเล็กที่ไม่น่าสนใจ ภายในถํ้าลึกใต้ดิน ผู้เฝ้ามองเดินออกมาจากถํ้าของมู่เทียนอิน ภายในถํ้าเงียบสงบมาก แม้แต่กลิ่นอายของมู่เทียนอินก็มั่นคงมากยิ่งขึ้น

“ผู้อาวุโส” คนผู้หนึ่งมาหยุดที่ด้านข้างของผู้เฝ้ามองแล้วมองถํ้านั้นอย่างระมัดระวัง

ผู้เฝ้ามองส่งสายตา ทั้งสองคนเดินออกห่างจากถํ้าของมู่เทียนอิน

หลังจากเดินไปไกลแล้วคนผู้นั้นจึงถามว่า “ผู้อาวุโส นายน้อยเขา…”

ผู้เฝ้ามองยกมือตัดบทคำพูดเขา “เทียนอินไม่อยากให้เรื่องนี้มีคนรู้มากเกินไป เจ้าเองก็รู้”

คนผู้นั้นฝืนยิ้มพลางสั่นศีรษะ

พวกเขาต่างก็เป็นเหมือนเจ้าไม่มีศาลที่อยู่รอดไปวันๆ แต่เพื่อเรื่องสิทธิ์แห่งเทพครั้งนี้พวกเขาทั้งหมดต่างทุ่มเทความคิดและกำลังของทั้งตระกูลจึงรวบรวมหยกเทพได้เพียงพอที่จะนำไปแลกเปลี่ยนสิทธิ์แห่งเทพของเซิ่งจิ่ง

เรื่องนี้ไม่ได้เป็นความลับอะไรอยู่แล้ว

เขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมนายน้อยของพวกเขายังต้องทำเหมือนเป็นความลับสุดยอดอยู่อีก นี่ยัง เป็นนายน้อยที่แกล้วกล้าปราดเปรื่องของพวกเขาอีกหรือ

ทำไมไปหานชุ่นแค่เที่ยวเดียว กลับมานิสัยก็เปลี่ยนแปลงไปทันที กลายเป็นทารุณโหดร้าย ไม่ฟังความเห็นที่ดีของใครแม้แต่นิด

“ผู้อาวุโส ข้าไม่เข้าใจ นายน้อยเป็นอะไรไป” คนผู้นั้นเดิมนึกจะถามเหตุการณ์หลังหลอมสิทธิ์แห่งเทพของมู่เทียนอิน นี่เป็นโอกาสที่แลกมาด้วยทรัพย์สินเงินทองทั้งหมดเชียวนะ พวกเขาต่างเป็นห่วงว่าจะได้ผลเป็นอย่างไร แต่พอเริ่มคุยก็กลายเป็นเรื่องอื่นไป

ผู้เฝ้ามองพูดเรียบๆ ว่า “นายน้อยเพียงแค่ถูกกระทบกระเทือน รอให้สิทธิ์แห่งเทพได้รับการฟื้นฟูแล้ว ทุกอย่างก็จะดีเอง”

แต่คำตอบเช่นนี้ของผู้เฝ้ามองไม่ได้ทำให้เขาพอใจ เขาพูดอย่างร้อนรนว่า “ผู้อาวุโส พวกเราฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่ตัวนายน้อย เขาจะเป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ได้”

“เรื่องนี้ข้ารู้” ผู้เฝ้ามองพยักหน้านิดๆ

เขาพูดอย่างร้อนรนว่า “เช่นนั้น…”

“ถึงแม้หลายปีมานี้นายน้อยจะอารมณ์ไม่ดี แต่สติปัญญายังคงดีอยู่ เมื่อครู่นี้ยังบอกให้ข้ากระจายข่าวเรื่องที่มู่ชิงเกอเป็นคนตระกูลมู่ออกไป” ผู้เฝ้ามองตัดบทคำพูดของเขา

“อะไรนะ! นี่ไม่เหมาะกระมัง!” คนผู้นั้นพอได้ยินก็เบิกตากว้างและเอ่ยห้ามทันที

“มีอะไรไม่เหมาะ” ผู้เฝ้ามองมองมาที่เขา

ทันใดนั้นร่างกายเขาราวกับถูกเข็มทิ่มแทง เขาไม่เข้าใจ ความคิดของผู้เฝ้ามอง ทั้งเดาความคิดของเขาไม่ออก แต่เรื่องที่ควรพูด เขาก็ยังรวบรวมความกล้าพูดออกมา “เรื่อง…การแย่งชิงตำแหน่งนายน้อยของตระกูลมู่เป็นเรื่องภายในของพวกเรา ไม่ว่านายน้อยกับมู่ชิงเกอจะมีปัญหาอะไรกันก็เป็นเรื่องที่พวกเขาแย่งชิงกันเอง พวกเราตระกูลมู่แต่ไหนแต่ไรมาก็มีสมาชิกน้อยกันอยู่แล้ว หากให้พวกเผ่าเทพเข้ามาอีก ไม่ยิ่งเป็นการทำร้ายตัวเองหรือ นายน้อยคิดจะยืมมือเผ่าเทพกำจัดมู่ชิงเกอ นี่เป็นอุบายที่ดี แต่…”

เขาถอนหายใจหนักๆ ไม่ได้พูดต่อให้จบ

ผู้เฝ้ามองกลับรู้ความหมายของเขาพยักหน้านิดๆ “ที่เจ้าพูดก็ไม่ใช่ไม่มีเหตุผล”

คนผู้นั้นชะงักมองไปทางผู้เฝ้ามอง ไม่เข้าใจความหมายในคำพูดเขา

“ทั้งหมดนี้รอให้นายน้อยตื่นขึ้นมาแล้วค่อยว่ากันอีกที” ผู้เฝ้ามองพูดจบก็ถือไม้เท้าเดินจากไป

คนผู้นั้นยังคงนิ่งอยู่กับที่ มองแผ่นหลังของเขาเดินจากไปอย่างไม่เข้าใจ

รอผู้เฝ้ามองจากไปไกลจนไม่เห็นอีกแล้ว ตรงมุมมืดของถํ้าก็มีคนโดดออกมายืนอยู่ต่อหน้าคนผู้นั้น คนที่ปรากฎตัวขึ้นกะทันหันกลับไม่ได้ทำให้คนแรกตกใจแม้แต่น้อย

เขากลับถามคนที่เพิ่งปรากฎตัวว่า “มู่ซาน คำพูดผู้อาวุโสหมายความว่าอย่างไร”

คนที่ถูกเรียกว่ามู่ซานถอนสายตาที่มองออกไปไกลคืนกลับมา บอกเขาว่า “มู่หลิน ดูแล้วผู้อาวุโสชักจะสนใจคนที่มาจากโลกขางล่างเข้าแล้ว”

“สนใจหรือ” มู่หลินพูดอย่างไม่เข้าใจ

มู่ซานพยักหน้า “หลายปีมานี้การกระทำทุกอย่างของนายน้อยล้วนอยู่ในสายตาของผู้อาวุโส ท่าทางความหวังที่มีต่อเขาจะเกิดการแปรเปลี่ยนบ้างแล้ว”

พูดจบ เขาก็ก้าวเดินจากไป

“หมายความว่าอะไรน่ะ” มู่หลินงุนงงแล้ว พึมพำกับตัวเอง

ในเรือนที่ลั่วเฉา มู่ชิงเกอนั่งขัดสมาธิ ที่ยืนอยู่เบื้องหน้านางก็คือสองหุ่นเทพมาร

นางใช้วิธีตามเคล็ดวิชาเทวะส่วนกลาง แบ่งปัญญาเทวะตัวเองออกมาเป็นสองสายแทรกเข้าไปในหุ่นเทพมาร ยกระดับการบำเพ็ญของพวกเขาเพื่อเอาไว้ให้ตัวเองใช้งาน

การแบ่งปัญญาเทวะต้องการความเงียบสงบอย่างที่สุด

ซือมั่ว เฝ้าอยู่นอกประตูด้วยตัวเอง ทั้งยังใช้อาคมลงผนึกไว้ทั้งเรือน เพื่อป้องกันไม่ให้มีอะไรมารบกวนมู่ชิงเกอได้

ที่นอกประตู ร่างสูงสง่ายืนนิ่งไม่ไหวติง ดูไปแล้วออกจะหงอยเหงานัก

แต่ใบหน้าที่คนทั้งโลกหลงใหลกลับไม่มีความเฉยเมยเช่นที่เคยเป็น นัยน์ตาสีอำพันมองคนในห้องด้วยความรักอย่างสุดซึ้งและมั่นคงตลอดเวลา ไม่ ยอมละลายตาแม้เพียงครู่เดียว

เขามองอย่างตั้งอกตั้งใจ ถึงแม้จะเฝ้าอยู่ที่นี่หนึ่งวันหนึ่งคืนแล้วก็ไม่รู้สึกเมื่อยล้าแม้แต่นิด ทั้งยังมองเท่าไรก็ไม่เบื่อ

ทันใดนั้น เบื้องหน้าเขาเกิดกลุ่มควันดำขึ้น

พอควันดำกระจายไปก็กลายเป็นร่างของคนคนหนึ่ง คุกเข่าข้างหนึ่งลงเบื้องหน้าเขา

“นายท่าน” คนที่คุกเข่าเงยหน้า เผยใบหน้าของกู่เย่ออกมา

เสียงของกู่เย่ทำให้ซือมั่วละสายตากลับมา กู่เย่มองซือมั่วแล้วบอกเขาว่า “มีเบาะแสของเคล็ดวิชาเทวะแล้วขอรับ แต่ยังไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จ”

“ไม่รู้จริงหรือเท็จรึ” สองตาของซือมั่วหรี่ลงอย่างน่ากลัว

บรรยากาศที่ทำให้คนอกสั่นขวัญแขวนปรากฎอยู่รอบตัวเขา ราวกับกำลังแล่เนื้อเถือหนังเขา เขารีบพูดว่า “ตั้งแต่ตระกูลมู่ถูกทำลายจนดับสูญ ร่องรอยเคล็ดวิชาเทวะก็เลื่อนลอยไม่แน่นอนมาตลอด มีข่าวเท็จถูกปล่อยออกมาตลอดเวลา ข้าน้อยไม่รู้จริงๆว่า ครั้งนี้เป็นจริงหรือเท็จ”

“เป็นข่าวเช่นไร” เสียงของมู่ชิงเกอดังออกมากะทันหัน

ซือมั่วกับกู่เย่มองไปพร้อมกัน เห็นชายเสื้อสีแดงแวบผ่านมาตรงหน้าพวกเขา มู่ชิงเกอเดินเอามือไพล่หลังออกมา

“เสี่ยวเกอเอ๋อร์เจ้าทำสำเร็จแล้วหรือ” สายตาซือมั่วผุดความยินดีออกมา ท่าทางผิดกันเป็นคนละคนกับที่แสดงต่อกู่เย่

ความแตกต่างกันเช่นนี้กู่เย่เคยชินแล้ว เขาเรียกมู่ชิงเกอด้วยความเคารพว่า “พระชายา”

มู่ชิงเกอเอ่ยแก้ให้เขาว่า “ข้าสวมชุดผู้ชาย เจ้าเรียกข้าว่าคุณชายดีกว่า”

กู่เย่รีบเปลี่ยนคำเรียก “คุณชาย”

มู่ชิงเกอผงกศีรษะนิดๆ บอกเขาว่า “มีข่าวอะไร พูดให้ฟังหน่อย”

พูดจบนางก็หันไปหาซือมั่ว ยิ้มให้เขาว่า “สำเร็จแล้ว”

ตามด้วย หุ่นเทพมารของนางก็เดินออกมาจากในห้องราวกับองครักษ์คอยเฝ้าอยู่ทางด้านซ้ายขวาของนาง หุ่นเทพมารเวลานี้ให้ความรู้สึกราวกับว่ามีระดับจิตวิญญาณสูงขึ้น

“ขั้นศักดิ์สิทธิ์ขั้นหนึ่ง” นัยน์ตาซือมั่วเป็นประกาย พริบตาเดียวก็รู้ระดับการบำเพ็ญของพวกเขา

ในเวลาเดียวกันเขาก็นึกสะท้อนใจ ‘เพียงแค่วิธีบำเพ็ญของเคล็ดวิชาเทวะส่วนกลางก็สามารถฟื้นคืนตบะบำเพ็ญของหุ่นเทพมารได้ส่วนหนึ่ง เคล็ดวิชาเทวะนี้สมควรเป็นตำราชั้นเยี่ยมของเผ่าเทพจริงๆ”

มู่ชิงเกอมองไปที่กู่เย่ ฝ่ายหลังพูดอย่างตั้งใจว่า “ข้าน้อยรับผิดชอบติดตามข่าวเคล็ดวิชาเทวะส่วนล่าง วันก่อนได้รับแจ้งเบาะแสหนึ่ง แต่ไม่รู้จริงเท็จ ในร่วมหมื่นปีที่ผ่านมา ข่าวเคล็ดวิชาเทวะส่วนล่างจริงเท็จยากจะรู้ได้พวกเราตามหามานานแล้วแต่ที่ได้รับมา ล้วนเป็นข่าวเท็จ”

เขาหยุดลง หลังจากมองซือมั่วกับมู่ชิงเกอ แล้วจึงพูดต่อว่า “ครั้งนี้พวกเราได้รับข่าวอีกว่าในมือของราชาเทวะอู๋หวาของดินแดนอู๋หวา แห่งแผ่นดินเทพใต้ มีเนื้อความส่วนหนึ่งของเคล็ดวิชาเทวะส่วนล่าง”

“แผ่นดินเทพใต้? ดินแดนอู๋หวา?” มู่ชิงเกอเลิกคิ้ว

ซือมั่วมองมู่ชิงเกอ ช่วยอธิบายว่า “ได้ยินว่า เมื่อหมื่นปีก่อน แดนอู๋หวาเคยร่วมเข่นฆ่าตระกูลมู่ เคล็ดวิชาเทวะส่วนล่างก็หายไปอย่างลึกลับระหว่างการเข่นฆ่าครั้งนั้น มีคนบอกว่าราชาเทวะของตระกูลมู่ ใช้เคล็ดวิชาเทวะส่วนล่างเป็นเหยื่อล่อ แต่ก็มีคนว่าอีกว่าเคล็ดวิชาเทวะส่วนล่างมีจิตวิญญาณรู้ว่าตระกูลมู่จะถูกฆ่าล้างตระกูลจึงซ่อนตัวเองไว้ อย่างไรก็ตามมี ข่าวลือมากมาย แต่เคล็ดวิชาเทวะส่วนล่างอยู่ที่ไหนนั้นยังคงเป็นปริศนาอยู่”

มู่ชิงเกอเม้มปาก บอกซือมั่วว่า “ราชครูบอกข้าว่าเคล็ดวิชาเทวะส่วนล่างถูกบรรพบุรุษตระกูลมู่ในขณะนั้นใช้เป็นเหยื่อล่อ ดึงดูดสายตาเหล่าข้าศึก เพื่อถ่วงเวลาถอยร่นให้เหล่าสายเลือดตระกูลมู่”

ซือมั่วพยักหน้านิดๆ เขาสะบัดมือ กู่เย่ก็หายไป “เสี่ยวเกอเอ๋อร์ข้าเคยพูดว่า เคล็ดวิชาเทวะอาจจะซ่อนความลับการทะลวงขอบเขตขั้นสุดท้ายไว้ ความลับนี้ไม่เพียงแค่ข้าที่ค้นหา คนอื่นก็ค้นหา เคราะห์กรรมของตระกูลมู่ก็เกี่ยวข้องอย่างมากกับเรื่องนี้”

มู่ชิงเกอฟังอย่างนิ่งสงบ

แต่ซือมั่วกลับมองนางด้วยสายตาไม่สบายใจนัก “เสี่ยวเกอเอ๋อร์เจ้าตำหนิข้าไหมที่ค้นหาเคล็ดวิชาเทวะส,วนล่างมาโดยตลอด’

มู่ชิงเกอชะงัก เข้าใจถึงที่มาของความไม่สบายใจในสายตาเขา นางส่ายหน้ายิ้มว่า “จะตำหนิ ทำไมเล่า หากข้าเป็นเจ้าคงดิ้นรนตามหายิ่งกว่าเจ้าเสียอีก”

พูดจบนางก็ขยิบตาให้เขา

ท่าทีมีชีวิตชีวาของนางทำให้ซือมั่วยิ้มออกมา

มู่ชิงเกอกลับหุบยิ้มแล้วบอกซือมั่วว่า “อามั่ว ข้าจะไปดินแดนอู๋หวาแห่งแผ่นดินเทพใต้” นางอยากไปดูเองว่าข่าวเคล็ดวิชาเทวะส่วนล่างเป็นจริง

ตาดำซือมั่วหดลงถามว่า “เจ้าไม่รอข่าวมู่เทียนอินแล้วหรือ”

มู่ชิงเกอสั่นศีรษะ “ไม่ใช่ไม่รอ เพียงแค่ไม่อยากรอที่นี่ ข้าอยากไปดินแดนอู๋หวา ทางนี้หากเจ้ามีข่าวมู่เทียนอินก็ให้บอกข้าทันที ข้าจะกลับมาให้ไวที่สุด

“ข้าจะไปเป็นเพื่อนเจ้าด้วย” ซือมั่วพูดโดยไม่ลังเล

แต่มู่ชิงเกอกลับปฏิเสธ “ไม่ต้องหรอกลำบากเกินไป แผ่นดินเทพตะวันตกใกล้กับแดนมาร

มาก เจ้ากลับไปปิดประตูบำเพ็ญเถอะ”

“แต่…”

“ชู่ว’’” มู่ชิงเกอใช้นิ้วปิดลงที่ริมฝีปากซือมั่ว ไม่ให้เขาพูด “ฟังข้า เจ้ารีบไปปิดประตูบำเพ็ญจะได้รีบออกมา ข้าจะรอเจ้า”

สายตาของนางไม่อนุญาตให้ปฏิเสธซือมั่ว แข็งขืนอยู่นาน สุดท้ายแล้วยอมพ่ายแพ้ต่อสายตานาง เขาสั่นศีรษะอย่างหมดหนทาง “ตามใจเจ้า แต่ว่าเจ้าต้องระวัง จะวู่วามไม่ได้ฐานะราชาเทวะน้อยดินแดนฮ่วนเยวี่ยของเจ้าจะช่วยให้เจ้าเคลื่อนไหวสะดวกขึ้นไม่น้อย”

“อืม” มู่ชิงเกอพยักหน้ายิ้มออกมา

ในโพรงถํ้าที่ตระกูลมู่ที่เหลือหลบซ่อนอยู่นั้น มู่เทียนอินได้ตื่นขึ้นมาจากการบำเพ็ญแล้ว

พอเขาลืมตา นัยน์ตาก็เปล่งประกายร้อนผ่าวออกมา

“ไม่เลว ถึงแม้หลายปีนี้สิทธิ์แห่งเทพของเจ้าจะเสียหาย การบำเพ็ญหยุดชะงักไป แต่การหลอมรวมสิทธิ์แห่งเทพครั้งนี้ได้ระเบิดส่วนที่สะสมไว้ออกมาได้ ทะลวงขอบเขตสองชั้น อยู่ในชั้นถํ้าวิญญาณชั้นเจ็ด” ผู้เฝ้ามองผงกศีรษะด้วยความพอใจ

มุมปากมู่เทียนอินยิ้มอย่างโหดร้าย แววตาเย็นเฉียบ

“ใช่แล้ว ดินแดนอู๋หวามีข่าวมาแล้ว” เสียงของผู้เฝ้ามองดังขึ้นอีก

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!