ตอนที่ 738
ราชาเทวะท่านก็งามสุดแสน
“ใบหน้าของเจ้านี้ช่างงามลํ้า”
ในตำหนักนั้น เสียงที่สูงส่งปานเทพธิดาราวกับลอยมาจากที่ใกล้บ้างไกลบ้าง
มู่ชิงเกอชะงักรีบมองไปรอบๆ
หญิงที่นำนางเข้ามาในวังราชาเทวะก้มตัวถอยออกไปเงียบๆ ในเวลานี้
มู่ชิงเกอย่อมเห็นนางจากไปแต่ไม่ได้สนใจ เพียงกำลังแยกแยะหาตำแหน่งของผู้พูด สายตานางตกลงที่ผ้าม่านเป็นชั้นๆ เบื้องหน้า
ผ้าม่านเป็นชั้นๆที่ระไปบนพื้นนี้กั้นตำหนักใหญ่ออกมาเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งก็คือบริเวณที่มู่ชิงเกอยืนอยู่ อีกครึ่งหนึ่งก็อยู่หลังผ้าม่านนั้น
ผ้าม่านนั้นไม่รู้ว่าใช้ไหมชนิดไหนทอขึ้นมา บนนั้นมีรัศมีจางๆ บดบังสายตาของคนภายนอกไว้
แต่หากมองจากภายในกลับสามารถมองเห็นภายนอกได้ชัดเจนราวกับไม่มีผ้าม่านเหล่านี้อยู่
หลังผ้าม่านมีเก้าอี้กุ้ยเฟยตั้งอยู่ คนที่นอนอยู่บนนั้นมีเรือนร่างอรชรชวนให้คนใฝ่คะนึงหา นางใช้มือเท้าศีรษะไว้ แขนเสื้อตกลง เผยให้เห็นท่อนแขนนวลเนียนที่ ราวกับเปล่งกลิ่นอายหอมละมุนออกมา
ด้านหลังร่างนางมีสาวใช้ไม่น้อยต่างทำหน้าที่กันอยู่
คนหนึ่งโบกพัด คนหนึ่งถือผลไม้เทพ คนหนึ่งถือกระถางกำยาน แม้มีสาวงามรายล้อมแต่ไม่อาจลดทอนความงามของนางลงได้แม้แต่น้อย
แววตานางเปล่งประกายวาววับขณะที่มู่ชิงเกอเข้ามาอยู่ในครรลองสายตาและอดพูดออกมาอย่างสะท้อนใจไม่ได้
เมื่อนางรู้ว่าตัวเองหลุดปากไปก็สายเสียแล้ว เสียงกล่าวชื่นชมนั้นได้เข้าไปถึงหูมู่ชิงเกอแล้ว
นี่ทำให้แววตานางมืดดำลงและคิดในใจว่า ‘ใบหน้านี้งามจนตัวข้าเองยังอิจฉาริษยา โชคดีว่าเป็นชาย หากหญิงใดได้ครอบครองใบหน้างดงามเช่นนี้จะต้องถูก ทำลายทิ้ง เพื่อไม่ให้ทำร้ายแผ่นดินเทพทั้งสี่สมุทร’
นางมองมู่ชิงเกอ มู่ชิงเกอเวลานี้ก็มองไปทางผ้าม่าน สายตาทั้งคู่ประสานกันโดยมีผ้าม่านกั้นไว้
หลียวนเห็นชัดถึงนัยน์ตาใสกระจ่างของมู่ชิงเกอ อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงและชื่นชมว่า ‘ช่างเป็นนัยน์ตาที่กระจ่างจนสามารถมองทะลุถึงจิตใจคนได้โดยแท้’
แต่ทันใดนั้น นางก็เกิดอิจฉาริษยาขึ้นมาจนนึกอยากควักลูกตาคู่นี้ออกมา
นอกผ้าม่าน มู่ชิงเกอยืนอยู่กับที่นิ่งไม่ขยับ
นางมองไปทางผ้าม่าน คาดเดาได้ว่าคำพูดนั้นคงมาจากราชาเทวะหลียวน ขณะที่ได้ยินเสียงผู้หญิงคนนี้ นางก็รู้สึกขยะแขยงนัก
นางคิดว่าเป็นครั้งแรกที่นางทำสิ่งใดตามอารมณ์ เพราะซือมั่วจึงทำให้นางนึกเกลียดชังคนคนหนึ่งเข้าได้
นางรู้ว่าหลียวนกำลังมองดูนางอยู่ แต่ฐานะของนางถูกต้องจริงแท้จึงไม่ได้เกรงว่านางจะสงสัยอะไร
นัยน์ตามู่ชิงเกอเปล่งประกายแล้วก้มศีรษะว่า “มู่ชิงเกอดินแดนฮ่วนเยวี่ย คารวะราชาเทวะเฟิ่งเทียน”
“ราชาเทวะน้อยฮ่วนเยวี่ยข้าเคยได้ยินชื่อมาก่อนแล้ว ได้ข่าวว่าระยะนี้มีชื่อเสียงมาก ทั้งแผ่นดินเทพตะวันออก แผ่นดินเทพใต้แล้วยังมีแผ่นดินเทพตะวันตก
ล้วนแต่ทำเรื่องโด่งดังมามากมาย เวลานี้มาถึงแผ่นดินเทพเหนือแล้วหรือ” เสียงหลียวนเอ่ยลอดออกมาอีกครั้ง
น้ำเสียงนางยังฟังไม่ออกถึงอารมณ์ใดๆ ท่าทางยังคงสูงส่งอยู่เช่นเดิม
แต่มู่ชิงเกอกลับไม่ได้ใส่ใจ
ราชาเทวะย่อมต้องมีการวางท่าแบบราชาเทวะ
ราชาเทวะที่นางได้พบมาแล้วทั้งหมด นอกจากราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยเฒ่าแล้ว ไม่มีคนไหนเลยที่ให้ความรู้สึกว่าใกล้ชิดได้ง่าย
แม้แต่ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยก็ให้ความรู้สึกที่คาดเดาได้ยาก
คำพูดของหลียวนมีความหมายอะไรกัน มู่ชิงเกอยิ้มพูดว่า “เดิมข้าคิดจะไปป่าอสูร เพียงเดินทางผ่านเมืองชิงหลวนเท่านั้น ไม่ได้มีความคิดจะรบกวนความสงบของราชาเทวะเลย”
“เจ้าจะไปป่าอสูรก็เป็นความจริงที่ต้องผ่านเมืองชิงหลวนของข้า” หลียวนกล่าว
เวลานี้นางที่อยู่หลังผ้าม่านได้ยืดตัวขึ้นนั่งอย่างเรียบร้อยบนเก้าอี้กุ้ยเฟย โดยมีสาวใช้คอยดูแลความเรียบร้อยช่วยนางใส่รองเท้าใส่ถุงเท้าให้ นางนั่งนิ่งไม่ขยับตามแต่สาวใช้จะกระทำใดๆ แม้จะแสนงามแต่ราวกับเป็นรูปปั้นที่ขาดชีวิตชีวา “ลูกศิษย์ดินแดนเฟิ่งเทียนของข้าได้สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าหรือไม่” หลียวนถาม
มู่ชิงเกอเลิกคิ้วยิ้มตอบว่า “หามิได้”
“อืม ก็ดีแล้ว จะได้ไม่แพร่ออกไปทำให้คนในแผ่นดินเทพ ทั้งสี่สมุทรนึกว่าเหล่าลูกศิษย์ดินแดนเฟิ่งเทียนข้าไร้มารยาท” หลียวนพูดช้าๆ
แต่ทำให้คนรู้สึกถึงการเสแสร้งทำเป็นสูงส่ง มู่ชิงเกอเพียงแค่ยิ้มโดยไม่ได้พูดต่อ ในที่สุดหลังจากหลียวนพูดประโยคนี้จบแล้ว มู่ชิงเกอก็เห็นว่าภายในม่านมีการเคลื่อนไหว
ครู่หนึ่งสาวใช้สองคนก็เดินออกมาจากภายใน พวกนางดึงผ้าม่านทั้งสองด้านให้ค่อยๆ เปิดออกมาปรากฎภาพภายในนั้น
มู่ชิงเกอมองตรงเข้าไปโดยไม่ได้กริ่งเกรงใดๆ
ที่นางเห็นนั้นเป็นแท่นที่ยกขึ้นจากพื้นทีละชั้นราวกับชั้นนกยูงรำแพน ที่บนแท่นนั้นมีสาวใช้หน้าตาสวยงามยืนอยู่มากมาย แต่ต่อให้พวกนางสวยงามเท่าไรก็ตามก็ล้วนเทียบไม่ได้กับคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้นอนบนแท่นนั้น คิ้วตาของนางนั้นงามราวกับภาพวาด ทั้งใบหน้าคมชัดสวยงามยิ่งนัก หากเปรียบเปรยว่าเป็นหนึ่งในหมื่นก็คงไม่เกินจริงนัก หางคิ้วเฉียงยิ่งเพิ่มบารมีและความห้าวหาญให้นางมากขึ้น แต่สิ่งเหล่านี้เกิดจากการแต่งเติมไม่ใช่ธรรมชาติของนางเอง
ที่มู่ชิงเกอรับรู้ได้นั้นมีเพียงความรู้สึกยโสโอหังราวกับทั้งฟ้าดินมีเพียงนางเท่านั้นที่พิเศษที่สุด สูงส่งที่สุด ทั้งบริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์มากที่สุด
‘หลียวน’ มู่ชิงเกอเรียกชื่อที่ฝังอยู่ในใจมาเป็นเวลานาน ด้วยเสียงเครียดในใจ
นางกับอีกฝ่ายเดิมทีก็ไม่มีความแค้นใดๆ ต่อกัน
แต่นางไปตามตอแยซือมั่ว คิดจะยึดครองผู้ชายของนาง ทำให้ซือมั่วแทบจะลืมนางไป…ไม่สิ ลืมไปแล้วด้วยซํ้า เพียงแต่โชคดีที่ซือมั่วฉลาดเสิศลํ้า ถึงแม้จะจำไม่ได้ถึงอดีตระหว่างนางกับเขา แต่ก็ยังคงจดจำนางได้จากการพบเพียงแวบเดียว ทั้งยึดนางไว้มั่นไม่ยอมปล่อยวาง
เพียงแค่ข้อนี้ก็เพียงพอให้มู่ชิงเกอสังหารนางเป็นหมื่นครั้งระบายแค้นแล้ว
‘มู่ชิงเกอ ไม่ต้องรีบร้อน นี่ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมที่สุดในการแก้แค้น อย่าได้วู่วามจนเสียการใหญ่ เวลานี้เจ้ารู้ว่านางเป็นใคร แต่นางไม่รู้ว่าเจ้าเป็นใคร นี่เป็นความได้เปรียบอยู่แล้ว’ มู่ชิงเกอบอกตัวเองในใจ
เพียงพริบตา นางก็เก็บงำความคิดจะสังหารหลียวนไปจนหมดจดจนไม่มีใครสังเกตเห็น
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม นางก็ได้รู้แล้วว่าผู้หญิงที่ต้องการยึดครองซือมั่วนั้นมีหน้าตาอย่างไร ทั้งยังเข้ามาถึงรังของนางได้อีกด้วย
“เจ้ามองข้าเช่นนี้เพราะรู้สึกว่าข้างามเกินไปหรือ” หลียวนถามขึ้นกะทันหัน
แววตามู่ชิงเกอเปล่งประกายวูบหนึ่งแล้วยิ้มเล็กน้อย “ราชาเทวะงดงามเหลือแสนจริงๆ”
มุมปากหลียวนมีรอยยิ้มพาดผ่านไปแวบหนึ่งราวกับพอใจปฏิกิริยาของมู่ชิงเกอมาก ยิ่งเป็นคนที่ลํ้าเลิศด้วยแล้ว นางยิ่งชอบมากเข้าไปใหญ่
“ใบหน้าเจ้านี้…” หลียวนยกมือ เงามือมายาปรากฎอยู่เบื้องหน้ามู่ชิงเกอและวาดผ่านใบหน้านางไป
“มาอยู่ในร่างบุรุษ ช่างน่าเสียดายนัก” ขณะที่นางพูด มู่ชิงเกอรู้สึกถึงความเจ็บที่ใบหน้าของตัวเองได้อย่างชัดเจน แต่ไม่ได้บาดเจ็บแม้แต่น้อย
หลียวนเพียงวาดมือผ่านแล้วก็เก็บมือคืนไป นางมองดูมู่ชิงเกอ “น่าเสียดาย หากเจ้าไม่ใช่ราชาเทวะน้อยของดินแดนฮ่วนเยวี่ยจะดีเพียงใดกันนะ”