ตอนที่ 84-2
องครักษ์เขี้ยวมังกรพลิกฟ้า!
เมื่อมู่ชิงเกอมาถึงค่ายพักของกองทัพตระกูลมู่ ขบวนของทหารที่จะกลับไปยังเมืองอี้ก็พร้อมเดินทางแล้ว มู่ซงและมู่เหลียนหรงเองก็อยู่ที่นี่ เพื่อที่จะใช้เวลาอยู่กับนางในคํ่าคืนนี้และจากลากันในวันรุ่งขึ้น เพราะกว่าจะพบกันอีกครั้งก็อีกสิบเดือนให้หลัง “เกอเอ๋อร์มานี่เร็ว ดูชิว่าอาเตรียมอะไรให้เจ้าบ้าง” มู่เหลียนหรงดึงมือของมู่ชิงเกอและพานางมายังกระโจมหลังหนึ่ง ทันทีที่เข้าไปในกระโจมมู่ชิงเกอก็อึ้งไป อึ้งจนอ้าปากค้างเพราะของที่กองเป็นภูเขาอยู่ภายในกระโจมนั่น ท่าทางมู่เหลียนหรงเหมือนกำลังให้ของมีค่าแก่เด็กน้อย พลางแนะนำสิ่งของแต่ละอย่างให้แก่นาง “เจ้าดูสิ ขนมกินเล่นพวกนี้เป็นของที่มีชื่อเสียงของลั่วตู อาซื้อให้กับเจ้าอย่างละนิดอย่างละหน่อยและผ้าไหมพวกนี้ล้วนมาจากทางตอนใต้และมีบางส่วนที่มาจากแคว้นถูเชียวนะ ดูสิว่าสวยแค่ไหน เมื่อถึงเมืองอี้แล้วเจ้าต้องเตรียมเสื้อผ้าให้ตนเองเยอะๆ คุณหนูใหญ่ตระกูลมู่ของเราจะไปทนหนาวเช่นนั้นไม่ได้ จริงด้วยที่นี่ยังมีเครื่องประดับต่างๆ และนี้ก็คือเครื่องประทินโฉม”
ทันใดนั้น มือของมู่ชิงเกอที่กำลังตกใจอยู่พลันมีกล่องเครื่องประดับลายทองใบหนึ่งเพิ่มขึ้นมา
แรงนํ้าหนักในมือ ทำให้นางได้สติริมฝีปากกระตุกมองมู่เหลียนหรงที่ยังคงตื่นเต้นมีความสุข
“ท่านอา ข้าเป็นผู้ชายนะ!” มู่ชิงเกออดทนต่อความรู้สึกปวดหัวเอาไว้และเตือนมู่เหลียนหรงที่ลืมตัว เหตุใดนางถึงรู้สึกว่าท่านอาผู้นี้หลังจากที่รู้ว่าตนเองเป็น ผู้หญิงก็ดูเปลี่ยนไปจากเดิมนะ?
คำเตือนจากมู่ชิงเกอทำให้รอยยิ้มตรงมุมปากของมู่เหลียนหรงพลันแข็งค้าง
ความตื่นเต้นได้หายไป มู่เหลียนหรงมองนางอย่างปวดใจ ยื่นมือออกไปลูบผมของนางและไม่เรียกนางว่า ‘ไอ้ เด็กบ้า ไอ้เด็กบ้า’ เหมือนดังเดิม
“ชิงเกอ ลำบากเจ้าแล้ว” คำพูดในใจของมู่เหลียนหรงใช้เวลากลั่นกรองมาเนิ่นนานกว่าจะพูดออกมาได้ คำพูดนับร้อยนับพันราวกับหลอมรวมเป็นประโยคนี้เพียงประโยคเดียว
มู่ชิงเกอส่ายหน้า “ท่านอา ข้าไม่ได้ลำบากอะไร แบบนี้ค่อยดูอิสระมากหน่อย” หากนางเป็นผู้หญิงไม่เพียงแต่ต้องอยู่แต่ในตระกูลมู่ทั้งวัน ยังต้องใช้ชีวิตแบบประตูใหญ่ไม่ออกประตูรองไม่ย่าง เมื่อถึงอายุที่ต้องแต่งงานก็ต้องถูกโยนให้ชายคนใดคนหนึ่งอย่างนั้นน่ะสิ
หากเป็นเช่นนั้น นางยอมใช้ชีวิตเป็นผู้ชายต่อไปดีกว่า อย่างน้อยใต้หล้าอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ก็ยังรอนางไปผจญภัย
“เจ้านี่มัน…” คำพูดจากใจจริงของมู่ชิงเกอ กลับทำให้มู่เหลียนหรงคิดว่านางยังคงมีความคิดเป็นเด็กเล็กๆ
ราวกับว่ามู่ชิงเกอยิ่งรู้กาลเทศะมากเพียงไหนในใจของ นางก็ยิ่งเจ็บปวดมากเพียงนั้น
นางยังไม่ได้แต่งงานและไม่มีลูก สำหรับนางแล้วมู่ชิงเกอก็ถือเป็นลูกแท้ๆ พ่อแม่บนโลกใบนี้ใครบ้างที่ไม่หวังให้ลูกของตนเองได้ดี ทันทีที่มู่ชิงเกอเกิดมาก็ได้กลายเป็นความยินดีของวงศ์ตระกูลโดยไม่รู้ตัวและต้องแบกรับภาระที่ไม่ใช่ของนาง สิบห้าปีมานี้ต้องอดทนเพื่อรักษาความลับนี้ไว้เพียงผู้ เดียว เมื่อคิดถึงเรื่องเหล่านี้ มู่เหลียนหรงก็รู้สึกว่าตนเองนั้นปวดใจอย่างหาที่สุดไม่ได้
“รอจนตระกูลมู่ของเราปลอดภัยแล้ว ข้ากับท่านปู่ของเจ้าจะหาวิธีทำให้เจ้าคืนสู่ฐานะที่แท้จริง” ม่เหลียนหรงรับประกันกับมู่ชิงเกออย่างมุ่งมั่น สำหรับเรื่องนี้แล้วมุ่ชิงเกอไม่ได้ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย
แต่พอเห็นความมุ่งมั่นของท่านอา นางก็ไม่ได้ปฏิเสธทั้งยังยิ้มและพูดว่า “จริงด้วยท่านอา ความสัมพันธ์ของป๋ายซีเยวี่ยและรุ่ยอ๋องนั้นท่านต้องคอยระวังไว้”
“ซีเยวี่ยกับรุ่ยอ๋องอย่างนั้นหรือ?” มุ่เหลียนหรงราวกับไม่อยากจะเชื่อ
มู่ชิงเกอพยักหน้าพลางพูดว่า “ท่านรู้หรือไม่ว่าเหตุใด องค์หญิงถึงรู้ว่าข้าไปที่เมืองอี้”
คำถามข้อนี้เป็นสิ่งที่มู่เหลียนหรงเองก็สงสัยเช่นกัน แต่ว่าเรื่องราวต่างๆ เกิดขึ้นมากมายเหลือเกิน นางจึงไม่มีเวลาไปขบคิดทบทวนและไม่ทันได้ไต่ถาม
ตอนนี้มู่ชิงเกอพูดออกมาเอง นางจึงนึกขึ้นได้และถามว่า “เกี่ยวกับซีเยวี่ยหรือ”
มู่ชิงเกอยอมรับอีกหน
แต่ครั้งนี้มู่เหลียนหรงกลับขมวดคิ้ว “เป็นไปไม่ได้ เรื่องที่เจ้าไปเมืองอี้นั้นข้าไม่เคยบอกซีเยวี่ย นางจะรู้ได้อย่างไรกัน”
เรื่องนี้ มู่ชิงเกอเองก็ยังสงสัย ตอนแรกนางคิดว่าหลังจากที่กลับจากเมืองอี้แล้วจะมาหาคำตอบ แต่ตอนนี้นางก็ต้องกลับไปที่เมืองอี้อีกครั้ง เรื่องนี้จึงต้องให้มู่เหลี ยนหรงเป็นคนไปจัดการแทน
ดังนั้น นางจึงพูดว่า “ข้าก็ไม่รู้ว่าเหตุใดนางถึงรู้ แต่เท่า ทีองค์หญิงพูดราวกับว่านางได้ยินบทสนทนาของเรา และไปบอกรุ่ยอ๋องที่ตำหนักขณะนั้นองค์หญิงก็อยู่ในตำหนักรุ่ยอ๋องแล้วได้ขินเข้าโดยบังเอิญ จึงออกมาหาข้า”
“ซีเยวี่ยนาง” มู่เหลียนหรงขมวดคิ้ว สิ่งที่มู่ชิงเกอพูดนั้น นางไม่อยากจะเชื่อเลยแม้แต่น้อย
ป๋ายซีเยวี่ยเป็นเด็กที่เติบโตมาในสายตาของนางตลอด แต่วันนี้นางกลับแอบไปอยู่กับรุ่ยอ๋องลับหลังตระกูลมู่ และยังเปิดเผยความเคลื่อนไหวของมู่ชิงเกออีก
“เหตุใดนางถึงทำเช่นนี้?” มู่เหลียนหรงส่ายหน้า
มู่ชิงเกอมองนางอย่างจริงใจ ความรู้สึกในใจได้ส่งผ่าน ดวงตากระจ่างคู่นั้น “ป๋ายซีเยวี่ยไม่ได้ไร้เดียงสา หรือว่าท่านอาดูไม่ออก?” ม่เหลี่ยนหรงตกใจจนพูดอะไรไม่ออก ตั้งแต่เรื่องที่ป๋ายซีเยวี่ยใส่ร้ายมู่ชิงเกอเมื่อครั้งที่แล้วนาง ก็รู้สึกว่าเด็กคนนี้เหมือนจะเปลี่ยนไป
“ข้ายังรู้อีกว่านางปกปิดความสามารถของตนเองมาโดยตลอด ท่านอารู้หรือไม่ว่าตอนนี้นางอยู่ในสายอะไร” มู่ชิงเกอถือโอกาสตีเหล็กตอนยังร้อนทันที
มู่เหลียนหรงตอบโดยไม่ต้องคิดว่า “นางเป็นสายแดงขั้นสูงที่กำลังจะเข้าสายส้มไม่ใช่หรือ?”
“จริงๆ แล้วนางเป็นสายเหลืองขั้นกลางต่างหาก” ในรอยยิ้มของมู่ชิงเกอนั้นมีความเยาะเย้ยประดับอยู่
ใบหน้าของมู่เหลียนหรงเต็มไปด้วยความตกใจ “เหตุใดนางถึงต้องปิดบัง เด็กคนนี้คิดจะทำอะไรกันแน่?” ทันใดนั้น นางก็เพิ่งรู้ว่าตนเองไม่เข้าใจป๋ายซีเยวี่ยเลย
มู่ชิงเกอไม่ได้ตอบคำถามนี้ของนาง แต่พูดว่า “ข้ารู้สึกว่า ท่านปู่เองก็เหมือนพอจะรู้เรื่องนี้แล้ว แต่เพียงแค่อยากรักษาความสัมพันธ์เอาไว้ข้าก็แค่เป็นห่วงท่านอา ท่านเลี้ยงนางมาตั้งแต่เล็กความรู้สึกที่ท่านมีต่อนางก็ไม่ได้น้อยไปกว่าข้าเลย แต่สถานการณ์ของตระกูลมู่อยู่ในช่วงอ่อนไหว หากเรื่องที่ปิดบังถูกเปิดเผยออกไป เกรงว่าคงจะนำมาซึ่งภัยพิบัติใหญ่หลวง เพราะฉะนั้นข้าจึงขอ
ให้ท่านระวังป้องกันเอาไว้ก่อน!”
“ข้ารู้แล้ว” มู่เหลียนยังคงตกตะลึงแต่ก็จำคำพูดของมู่ชิงเกอเอาไว้
ในขณะที่ทั้งสองสนทนากัน มู่ซงก็เข้ามาภายในกระโจม
เขาเองก็ตกใจกับสิ่งของที่กองอยู่เป็นภูเขาภายในกระโจม จึงขมวดคิ้วแล้วพูดกับมู่ชิงเกอว่า “เกอเอ๋อร์ เจ้ารู้หรือไม่ว่าระหว่างทางที่กลับไปยังเมืองอี้นั้น ไม่ได้ ปลอดภัยมากนัก?”
มู่ชิงเกอพยักหน้า
ทำไมนางจะไม่รู้
เห็นนางเข้าใจเรื่องนี้ มู่ซงก็ไม่ได้อธิบายอะไรมาก เพียงถามว่า “แล้วเจ้าจะทำอย่างไรต่อไป”
มู่ชิงเกอยิ้มและพูดอย่างไม่สนใจว่า “นํ้ามาเอาดินกลบ ทหารมาใช้ขุนศึกต้าน” (หมายถึง การแก้ไขเรื่องราวไปตามสถานการณ์) ตั้งแต่ที่รู้ว่าคุณตัวประหลาดทิ้ง องครักษ์ไว้ให้กับนาง นางก็ไม่เคยเป็นห่วงถึงความปลอดภัยของตนเองเลยแม้แต่น้อย
ในตอนแรก นางรู้สึกไม่ชอบใจกับการกระทำของคุณตัวประหลาดนัก แต่หลังจากที่กู่หยาบอกว่า คุณตัวประหลาดก็แค่ให้เขาคอยปกป้องความปลอดภัยให้กับนาง ไม่ให้แอบดูการใช้ชีวิตของนางเด็ดขาดและไม่ต้องรายงานอะไรกับเขา นางก็ยังถือว่ายอมรับได้ในระดับหนึ่ง
อย่างไรเสีย ตนเองไม่ได้ถูกจับตามองอะไร องครักษ์ที่เก่งกาจและบริการฟรีเช่นนี้ทำไมนางต้องเล่นตัวแล้วปฏิเสธด้วย
สิ่งเดียวที่นางสงสัยก็คือ…ทำไมคุณตัวประหลาดถึงทำเช่นนี้
แต่ว่า มู่ซงที่ไม่ได้รู้เรื่องนี้กลับไม่ได้นิ่งนอนใจดังเช่นนาง เขาขมวดคิ้วพลางพูดว่า “เจ้าคิดว่าสายเขียวของตนเองไร้เทียมทานแล้วหรือไร หากไม่ระวังเจ้าไม่มีทางไปถึงเมืองอี้ได้แน่”
ในตอนนี้เองมู่เหลียนหรงก็ได้สติกลับมาจากความตกใจ เมื่อได้ยินคำพูดของท่านพ่อจึงพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นให้ข้าไปส่งเกอเอ๋อร์ที่เมืองอี้เอง”
“ไม่ได้!” คนที่ปฏิเสธเป็นคนแรกคือมู่ชิงเกอ
นางมองท่านปู่และท่านอาของตัวเองแล้วพูดว่า “ตอนนี้ตระกูลมู่ของเราเหลืออยู่เพียงสามคน คนใดคนหนึ่งตายไปก็จะทำให้คนพวกนั้นยินดีจนต้องเฉลิมฉลอง ท่านอาไปส่งข้าที่เมืองอี้ แล้วตอนกลับมาจะทำอย่างไร?”
“ข้าไม่เป็นอะไรแน่นอน” มู่เหลียนหรงยังคงยืนยัน
แต่มู่ชิงเกอเพียงยิ้มแล้วพูดว่า : “ขอยืมใช้คำพูดของท่านปู่ ท่านคิดว่าสายเขียวจะไร้เทียมทานแล้วหรือ”
พูดจบ มู่ซงก็โกรธจนหนวดกระดิกส่วนมู่เหลียนหรงก็พลันหน้าแดง
มู่ชิงเกอพูดทั้งรอยยิ้มว่า “เพราะฉะนั้นพวกท่านอยู่ที่ลั่วตูนี้แหละ ข้าไปเมืองอี้คนเดียวไม่เป็นอะไรแน่นอน”
“ทำไมเจ้าถึงมั่นใจนัก” มู่ซงขมวดคิ้วถาม
เห็นว่าท่านปู่ของตนเองถามทุกอย่างอย่างละเอียด เมื่อไม่รู้จะทำอย่างไร มู่ชิงเกอก็ทำได้เพียงแค่ดึงคุณตัวประหลาดเข้ามาเกี่ยวอีกครั้งแล้วพูดว่า “มหาปราชญ์ ได้ส่งคนที่มีความสามารถมาคอยคุ้มครองข้าอยู่ห่างๆ แล้วพวกท่านคิดว่าใครยังจะกล้าเอาชีวิตข้าโดยไม่กลัวว่าท่านมหาปราชญ์จะโกรธเคือง?”
“มหาปราชญ์ส่งคนมาคุ้มครองเจ้าหรือ”
ครั้งนี้ทำให้ทั้งมู่ซงและมู่เหลียนหรงตกใจมากจริงๆ “แต่ว่าเหตุใดมหาปราชญ์ต้องส่งคนมาคุ้มครองเจ้าด้วย” มู่เหลียนหรงถามด้วยความสงสัย
มู่ชิงเกอกระตุกยิ้ม พูดอย่างหลงตัวเองว่า “บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าข้าน่ารักที่สุดในปฐพีนี้ หล่อเหลาจนสวรรค์ยังทนไม่ได้กระมัง”
ป้าบ—!
ฝ่ามือหนึ่งฟาดลงมายังหัวของมู่ชิงเกอ
นางเอามือกุมหัวและเงยขึ้นมองมู่ซงที่เป็นเจ้าของฝ่ามือด้วยสายตาขุ่นเคือง