ตอนที่ 90-7
สารพัดวิธีรนหาที่ตาย คงมิอาจห้ามได้!
ในอ้อมแขนของพวกเขาต่างมีกระดาษจำนวนมาก นอก จากนี้ยังมีเครื่องลายครามอีกจำนวนหนึ่ง
บนร่างกาย ต่างก็มีร่องรอยเผาไหม้จากเปลวเพลิงที่ส่งเสียง ‘ซือๆ’ พร้อมด้วยควันเขม่า สภาพดูแย่มากและท่าทางที่เหมือนกำลังช่วยเอาของจำนวนหนึ่งออกจากกองไฟ
ท้นทีที่พวกเขาพุ่งตัวออกมาก็พลันทิ้งของที่อยู่ในอกของตนลงบนพื้นทันที
หลังจากที่คารวะมู่ซงอย่างเร่งรีบ ก็พุ่งเข้าไปในกองไฟอีกหน
เปลวเพลิง รุนแรงมากกว่าที่มู่ซงคาดคิด หากใช้เพียงกำลังคนธรรมดา คงไม่อาจดับไฟได้ภายในเวลาอันสั้น เพื่อไม่ให้เปลวเพลิงลุกลามต่อไปจนอาจเกิดผลกระทบต่อเรือนที่อยู่บริเวณรอบ มู่ซงจึงก้าวเท้ายาวเดินเข้าไป ยกมือและดึงแขนเสื้อขึ้น พลังกลุ่มหนึ่งถูกส่งออกมา ทันใดนั้นพลังนั้นก็พลันห่อหุ้มเปลวเพลิงเอาไว้จึงทำให้เปลวเพลิงลดลงและบังคับให้หยุดลงในที่สุด เพียงครู่เดียว เปลวเพลิงที่ลุกโหมรุนแรงพลันเบาลงทันตาเห็น สุดท้ายมู่ซงก็ดับไฟทั้งหมดด้วยสองฝ่ามือ
ยอดฝีมือสายม่วงดับไฟ เป็นเพียงแค่เรองง่ายดาย โชคดีที่มู่ซงไม่ลืมที่จะอำพรางความสามารถไว้มิได้เปิดเผยความสามารถสายม่วงให้ทุกคนได้รับรู้
“ท่านผู้เฒ่าช่างปรีชาสามารถยิ่งนัก สามารถดับไฟที่รุนแรงเช่นนี้ได้ในคราเดียวภายในแคว้นฉินยังมีผู้ใดอีกที่สามารถทำเช่นนี้ได้”
“ไม่เลวๆ! ชื่อเสียงเทพสงครามแห่งแคว้นฉินของท่านผู้เฒ่านั้นไม่ได้มีแต่ชื่อจริงๆ วันนี้ได้พบเจอกับตัว ชาตินี้ไม่เสียแรงที่ได้เกิดมาจริงๆ!”
“มีท่านผู้เฒ่าคอยคุ้มครองแคว้นฉิน จะมีใครผู้ใดกล้าโจมตีได้?”
“ท่านผู้เฒ่าเป็นเทพผู้คุ้มครองของแคว้นฉินโดยแท้! ทุกวันที่มีท่านผู้เฒ่าก็คือวันที่แคว้นฉินของเราจะอยู่อย่างปลอดภัย”
เสียงแห่งความยินดี ดังขึ้นเซ็งแซ่ไม่ขาดสาย
มู่ชิงเกอได้ยินแล้วก็พลันขมวดคิ้ว ตอนเริ่มต้นถือว่ายังดี แต่ทว่ายิ่งฟังถึงตอนท้ายก็ยิ่งรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลและแฝงด้วยกลิ่นไอสังหาร
นางหรี่ตาสายตาอันสว่างสดใสแต่ในขณะเดียวกันก็แฝงความเย็นเอียบและไอสังหารค่อยๆ กวาดตามองผู้พูด
ทุกคนที่นางกวาดสายตามอง คล้ายดั่งถูกนํ้าแข็งปกคลุมร่างในทันที จนรู้สึกเหมือนไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ ทุกคนต่างค่อยๆ เงียบลง ในขณะที่สบตากับมู่ชิงเกอนัยน์ตามีความหวาดกลัวปรากฏอยู่
“ทุกคนก็ชมกันเกินไป รับเบี้ยของทางราชการก็ต้องทำงานเพื่อประเทศชาติ ทุกสิ่งทุกอย่างที่มู่ซงทำ ล้วนเป็นไปตามที่ฮ่องเต้ทรงมีพระบัญชา ประมุขของเราคือ ฮ่องเต้ต่างหาก มิหนำซํ้ายังเป็นผู้ที่คอยคุ้มครองแคว้น และประชาราษฎรของเรา” มู่ซงพูดขึ้นอย่างกะทันหัน ไม่มีความดีใจที่ได้รับคำชื่นชมและแจกแจงทุกอย่างให้กระจ่าง
มู่ชิงเกอเองสัมผัสได้ถึงนํ้าเสียงที่แฝงเจตนาร้ายของคนพวกนั้น ท่านปู่คลุกคลีอยู่ในวงราชการมานานนับสิบปี เหตุใดจะไม่รู้?
ทุกคนถูกประโยคนี้ ทำให้รู้สึกกระอักกระอ่วนไป
สุดท้ายฉินจิ่นห้าวจึงเข้ามาพูดไกล่เกลี่ย สถานการณ์การสนทนาอันน่าอึดอัดนี้จึงได้จบลง ในขณะที่ทุกคนคิดว่าเรื่องราวทั้งหมดได้จบสิ้นลงแล้ว ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงที่แฝงความฉงนใจเสียงหนึ่งดังขึ้น
“หืม นี่มันอะไร”
ราวกับตั้งใจ ทุกคนต่างจ้องมองหญิงสาวผู้เอ่ยคำพูด
ทันใดนั้น ป๋ายซีเยวี่ยที่ตกเป็นเป้าสายตาพลันตื่นตระหนกขึ้นมา อับอายจนกัดริมฝีปากเล็กของตน
“ซีเยวี่ย เกิดอะไรขึ้น?” มู่เหลียนหรงเดินเข้ามาถามนาง
ป๋ายซีเยวี่ยรีบเดินไปอยู่ข้างๆ หลายก้าว ในชั่วขณะที่กระโปรงกำลังปลิวราวกับว่าได้แอบซ่อนอะไรบางอย่างเอาไว้ด้านหลัง จากนั้นจึงอธิบายอย่างอ่อนโยนว่า
“ไม่…ไม่มีอะไร”
ทว่า ท่าทางอันร้อนรนของนาง จะปิดบังทุกคนที่อยู่ในที่ นี้ได้อย่างไรเล่า
มู่เหลียนหรงมองนางด้วยสายตาประดับด้วยโหดเหี้ยม แต่นางกลับหลบสายตาที่เต็มไปด้วยคำถามคาดคั้นคู่นั้น
“หืม ด้านหลังของหญิงสาวผู้นี้ราวกับบังอะไรบางอย่าง ไว้ขอให้แม่นางขยับหน่อย ให้ข้าดูว่ามันคืออะไร” ท่ามกลางผู้คนชายแก่ท่าทางเจ้าเล่ห์ผู้หนึ่งได้เอ่ยขึ้นมา
ฐานะของป๋ายซีเยวี่ยนั้นไม่ได้ถูกเปิดเผยต่อสาธารณชน ผู้ที่สนิทสนมกับตระกูลมู่ก็เป็นปกติที่จะรู้ที่มาและฐานะของนาง ผู้ที่ไม่ค่อยได้ใปมาหาสู่กันมากนักก็มักจะไม่รู้ว่านางเป็นใคร
แต่ว่า ผู้ที่ได้รับการปรนนิบัติดูแลอย่างมีมารยาทจากคนในครอบครัวตระกูลมู่ ฐานะก็คงจะไม่ธรรมดา พวกเขาจึงไม่กล้ากล่าวล่วงเกินส่งเดช
“ไม่มีอะไรจริงๆ พวกท่านโปรดเชื่อข้าเถิด” ป๋ายซีเยวี่ยมิได้เดินจากไป การอธิบายที่ย่ำแย่ ยิ่งเพิ่มความสงสัยให้แก่ทุกคน
“ในเมื่อไม่มีอะไร เหตุใดแม่นางจึงส่งเสียงร้องออกมา แต่ตอนนี้กลับไม่ให้พวกข้าดูว่าเกิดอะไรขึ้น” ชายแก่เจ้าเล่ห์อีกคนออกโรงแล้ว
ใบหน้าของป๋ายซีเยวี่ยดูตื่นตระหนก ราวกับสาวน้อยที่ไม่ประสา เมื่อเผชิญหน้ากับคำถามของทุกคน นางไม่รู้จะทำอย่างไรจึงจับผ้าเช็ดหน้าไว้แน่น อํ้าๆ อึ้งๆ อธิบายว่า “เมื่อครู่นี้ ข้า ข้า แค่ตาฝาดไป” พูดจบนางก็
เงยหน้าขึ้นมองมู่ซงด้วยสายตาอันไร้เดียงสาและน่าสงสาร
แววตาที่แฝงการขอร้องนั้นชัดเจนมาก ราวกับกำลังหวังให้มู่ซงออกปากช่วยนางสักหน่อย
แต่ว่าผู้ที่สนิทสนมกับมู่ซงต่างก็รู้นิสัยของเขาดีว่าในสถานการณ์เช่นนี้ เขาที่มีความเที่ยงธรรมในทุกเรื่องจะปล่อยเรื่องนี้ให้ผ่านพ้นไปได้อย่างไรกัน
เพราะฉะนั้น มู่ซงจึงเปิดปากพูดว่า “ซีเยวี่ย เจ้าหลบไป จวนตระกูลมู่แห่งนี้ไม่มีอะไรที่จะต้องปิดบัง”
ในแววตาของป๋ายซีเยวี่ยฉายแววความตื่นตระหนก ราวกับอยากจะหยุดคำพูดของมู่ซง
และมู่ชิงเกอที่มองนางเงียบๆ มาโดยตลอด กลับมองเห็นรอยยิ้มอันเยือกเย็นที่แอบแฝงอยู่ในท่ามกลางความตื่นตระหนกนั้น
ท่าทางอันไร้เดียงสาของป๋ายซีเยวี่ย ท่ามกลางสายตาของมู่ซง นางขยับออกไปข้าง ๆอย่างสั่นๆ เผยให้เห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ข้างหลังตัวนาง เหมือนดั่งว่านางได้คาดการณ์ เอาไว้แล้วว่ามู่ซงจะพูดเช่นนี้ และราวกับว่าทุกอย่างจะดำเนินไปตามเหตุการณ์ที่นางได้วางเอาไว้
ข้างหลังตัวนาง สิ่งที่ถูกปิดอยู่ค่อยๆ เผยออกมา
แต่ว่าก็เป็นเพียงแค่กองหนังสือ กระดาษที่เอาออกมาจากกองไฟเท่านั้น
แต่ทว่า มีคนตาดี เห็นถึงความแตกต่างบางอย่าง
คนผู้นั้นเดินออกมา ชี้จดหมายหลายฉบับที่อยู่ในหนังสือด้วยความสงสัย “หือ? นี่มันอะไร? เหตุใดบนนั้นถึงได้มีตัวอักษรแคว้นถูด้วย?”