Skip to content

พลิกปฐพี 92-3

ตอนที่ 92-3

ลาก่อนป๋ายซีเยวี่ย มีคนรนหาที่ตายอีกแล้ว

หลังจากที่ออกจากตำหนักรุ่ยอ๋อง มู่ชิงเกอก็ขี่เพลิงรัตติกาลมุ่งไปยังวังหลวง ผู้ที่ตามหลังนางคือองครักษ์เขี้ยวมังกรที่นำทัพโดยมั่วหยาง

คนจำนวนยี่สิบกว่าคนขี่อาชาเพลิง เดินอย่างเชื่องช้าอยู่บนถนนสายหลักของแคว้นฉินไม่รบกวนประชาราษฎร์ทว่าเหล่าประราษฎร์ก็ยังคงหลีกทางให้แก่พวก เขา

พอถึงหน้าประตูวังหลวง รถม้าหรูหราสองคันก็มาขวางทางเอาไว้

รถม้าสองคันนั้น มู่ชิงเกอคุ้นเคยเป็นอย่างดี

นางกะพริบตาหลายที แล้วจึงดึงเชือกเพื่อให้เพลิงรัตติกาลหยุดลง แต่ไม่ได้ลงจากหลังม้าแต่อย่างใด

พอนางหยุด มั่วหยางและทุกคนก็หยุดเช่นกัน

บนถนนอันกว้างใหญ่ ทั้งสองฝ่ายมองหน้ากัน โดยไม่มีใครเอ่ยปากพูดอะไรก่อน

ครู่หนึ่ง นางกำนัลที่ยืนอยู่บริเวณข้างประตูรถม้าเดินเข้าใกล้หน้าต่างรถม้า จากนั้นก็เดินเข้าไปหามู่ชิงเกอ

เมื่อมาหยุดอยู่ตรงหน้าเพลิงรัตติกาล นางมองด้วยความหวาดกลัวครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดกับมู่ชิงเกอว่า “คุณชาย องค์หญิงของข้าต้องการคุยกับท่านเป็นการส่วนตัว คงไม่รบกวนเวลาของท่านนานนัก”

มู่ชิงเกอก้มลงมองนาง คิดทบทวนสักพัก แล้วจึงพยักหน้าพลางพูดว่า “ได้”

นางกำนัลได้รับคำตอบจึงเดินกลับไป ครู่หนึ่ง รถม้าจึงค่อยๆ ใกล้เข้ามา

มู่ชิงเกอเองก็ขี่เพลิงรัตติกาลมุ่งไปยังรถม้า พอทั้งคู่เดินเข้ามาเผชิญหน้ากัน นางกำนัลและองครักษ์ที่อยู่บริเวณนั้นก็พลันกระจายออกไปรอบๆ อย่างรู้งาน มู่ชิงเกอเพียงยกมือขึ้น มั่วหยางก็นำองครักษ์เขี้ยวมังกรถอยออกไป คนและม้าของทั้งสองฝ่ายต่างก็ดูสถานการณ์บริเวณโดยรอบอย่างเงียบๆ เพื่อไม่ให้ผู้ใดเข้าไปรบกวน

ไม่นาน ข้างตัวมู่ชิงเกอและบริเวณรอบรถม้าก็ไม่มีใครอยู่เลย

แต่ทว่า นางก็ยังคงไม่ลงจากหลังม้า ยังคงนั่งอยู่บนอานบนหลังของอาชาเพลิง ซึ่งอยู่ภายนอกรถม้า

ภายในรถม้า ในแววตาของฉินอี้เหยาเผยให้เห็นความเจ็บปวดจางๆ รถม้าที่ปิดบังตัวนางอยู่ ปิดกั้นสายตาของทั้งคู่ให้แยกจากกันโดยสิ้นเชิง

“เจ้าเกลียดข้าหรือ?” นางพูดเบาๆ

เลียงอันเย็นเยือกที่อยู่ในความทรงจำได้ดังขึ้น มู่ชิงเกอตอบอย่างเย็นชาว่า “ไม่เลย”

“ถ้าเช่นนั้น เหตุใดจึงต้องถอนหมั้น” นี่เป็นครั้งแรกที่ฉินอี้เหยาถามนางเช่นนี้

มู่ชิงเกอเคยคิดว่า ด้วยความหยิ่งยโสของฉินอี้เหยาแล้ว บางทีชาตินี้นางอาจจะไม่มีวันถามคำถามนี้กับนาง บางทีอาจจะถึงขั้นเห็นนางเป็นคนแปลกหน้าไปเลย

ในตอนนี้ ดูเหมือนว่าทุกอย่างที่นางคิดไว้จะเหนือความคาดหมาย

“กระหม่อมไม่คู่ควรกับพระองค์’ ครู่หนึ่ง มู่ชิงเกอก็พูดขึ้น

‘เจ้าไม่ใช่ข้า เจ้าจะรู่ใจข้าได้อย่างไร?’ ฉินอี้เหยาอยากจะตะโกนคำนี้ออกมาดังๆ แต่ทว่าสุดท้ายคำพูดเหล่านี้ก็ ถูกนางเก็บเอาไว้ และแล้วความเงียบก็ได้ครอบงำพวกนางทั้งคู่

หลังจากที่จิตใจของฉินอี้เหยาสงบลง นางจึงเอ่ยว่า “ก็ดี การหมั้นหมายในครั้งนี้ เป็นความต้องการของเสด็จย่ามาตั้งแต่แรก”

“ถ้าเช่นนั้น ก็ขอให้องค์หญิงทรงมีความสุข” เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ แต่มู่ชิงเกอกลับพูดกลั่นกรองคำพูดออกมาได้เพียงเท่านี้

นัยน์ตาของฉินอี้เหยาเอ่อล้นไปด้วยนํ้าตาในทันที นางกัดฟันแน่นกว่าจะสามารถห้ามนํ้าตาไม่ให้ไหลลงมาได้ นางกำกระโปรงของตนเองไว้แน่นพลางพูดว่า “เจ้ารู้ หรือไม่ว่าราชทูตที่มาจากแคว้นถูนั้นมีจุดประสงค์อันใด”

มู่ชิงเกอก้มหน้าลง “ท่านปู่บอกข้าแล้ว”

‘เขารู้จริงๆ ด้วย แต่ก็ไม่เคยคิดที่จะไปหานาง’

ฉินอี้เหยาไม่สามารถอธิบายความรู้สึกในตอนนี้ของตนเองได้ ทำได้เพียงพูดอย่างทุกข์ใจว่า “พวกเขามาเพื่อสู่ขอองค์หญิงแคว้นฉิน หากสำเร็จและมีการอภิเษกสมรสเกิดขึ้น แคว้นถูและแคว้นฉินก็จะพักรบกันเป็นเวลา 50 ปี ชีวิตองค์หญิงองค์หนึ่งแลกกับความสงบตลอด 50 ปี ของประชาราษฎร์การแลกเปลี่ยนนี้ถือว่าคุ้มค่าแล้ว ใช่หรือไม่”

คำพูดที่ราวกับเป็นคำถามนี้ ทำให้มู่ชิงเกอใช้ความเงียบในการตอบกลับ

นางดูถูกวิธีการใช้ผู้หญิงในการแลกกับสันติเช่นนี้ แต่ทว่าจะทำอย่างไรได้จะให้ฉินอี้เหยาปฏิเสธอย่างกล้าหาญ แล้วเรื่องราวต่อจากนี้ล่ะ นางจะต้องรับผิดชอบ โดยการตอบรับความรู้สึกที่ฉินอี้เหยามีต่อนางหรือ

“ในแคว้นฉิน ผู้ที่เหมาะสมแก่การอภิเษกสมรสก็มีเพียงข้าผู้เดียว หากเปรียบเทียบกับหย่งฮวนแล้ว ข้าสมควรที่จะไปมากกว่า” ฉินอี้เหยาพูดขึ้นอีกครั้ง

มู่ชิงเกอแอบพยักหน้า ยอมรับว่าสิ่งที่ฉินอี้เหยาพูดนั้นเป็นความจริง

หากจำเป็นจะต้องอภิเษกสมรส นางเป็นคนที่เหมาะสมที่สุดจริงๆ ทั้งรูปลักษณ์รวมถึงความสามารถ อุปนิสัย ล้วนสมบูรณ์แบบทุกด้าน

ความสงบของมู่ชิงเกอ ทำให้ฉินอีเหยารู้สึกใจหายและพูดว่า “คืนนี้ภายในงานเลี้ยง เสด็จพ่อของข้าจะตัดสินใจเรื่องนี้”

มู่ชิงเกอเงยหน้าขึ้น พลางถามว่า “ที่องค์หญิงมาหากระหม่อม มีเรื่องอันใดหรือพ,ะย่ะค่ะ” หากฉินอี้เหยาไม่ยินยอมที่จะอภิเษกสมรสก็ดี นางจะช่วยให้นางหนี ออกไปจากที่นี่ ออกจากวังหลวงที่เต็มไปด้วยการหลอกใช้แห่งนี้

คำพูดนี้ ทำให้ฉินอี้เหยาเงียบลง ท่ามกลางการรอคอยของมู่ชิงเกอ ในที่สุดนางก็พูดขึ้นว่า “ข้าเพียงอยากถามว่า เจ้าจะยอมพาข้าหนีไปหรือไม่ ไปที่แห่งใดก็ได้ที่มีเพียงข้ากับเจ้า”

คำพูดนี้ ราวกับได้ใช้ลมหายใจทั้งหมดในชีวิตนี้ของนางในการพูดมันออกมา

นางรอคอยคำตอบของมู่ชิงเกอด้วยความกระวนกระวายใจ

มู่ชิงเกอยังคงเงียบ นางเข้าใจในสิ่งที่ฉินอี้เหยาพูด สำหรับฉินอี้เหยาแล้ว สิ่งที่นางต้องการมากที่สุดไม่ใช่ความอิสรเสรี แต่คือตัวนางมู่ชิงเกอ แต่ทว่านี่กลับเป็น สิ่งเดียวที่นางไม่สามารถให้ได้

ความเงียบของนาง ทำให้ความหวังของฉินอี้เหยาค่อยๆ เลือนรางลง “ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าไปเสียเถอะ” นางรีบตัดบทและรีบส่งแขก นางไม่อยากให้มู่ชิงเกอเห็นด้านที่โศกเศร้าของนาง

มู่ชิงเกออ้าปาก แต่ทว่า กลับไม่รู้ว่าควรพูดอะไร

ในที่สุด ก็พูดออกมาเพียงแค่ว่า ‘ทรงถนอมพระวรกายด้วย’ ก่อนจะขี่ม้าออกไป

หลังจากที่มู่ชิงเกอจากไป ฉินอี้เหยาก็กัดริมฝีปากปากแน่น จนปากเริ่มจะมีเลือดซึมออกมา

นางกลืนเลือดลงไป ปาดนํ้าตาที่อาบแก้มทั้งสองออก แล้วจึงเรียกตัวนางกำนัลและเหล่าองครักษ์ของตนเองกลับไป จากไปในทิศทางที่ตรงกันข้ามกับมู่ชิงเกอและเข้าวังหลวงไป

‘ดูเหมือนว่าต่อไปต้องรักษาระยะห่างระหว่างชายหญิงให้มาก’ มู่ชิงเกอเอามือกุมขมับอย่างเหนื่อยใจและแอบพึมพำในใจ

นางคิดทบทวนถึงภาพความใกลhชิดระหว่างนางกับฉินอี้เหยา แต่ก็ไม่คิดว่าตัวเองทำอะไรดูมากไป ที่จะทำให้องค์หญิงผู้เย็นชาตกหลุมรักนาง โชคดีที่ว่า นางถอนหมั้นได้ทันเวลาในทันทีที่รู้เรื่องนี้และตัดขาดความสัมพันธ์ของนางทั้งสองลง

แต่ทว่า ฉินอี้เหยายังคงไม่ลืมมัน

ในขณะที่คิดทบทวน มู่ชิงเกอก็ได้เดินทางมาถึงประตูหลักของวังหลวง

ลงจากหลังเพลิงรัตติกาลและใช้การเดินแทน นางพามั่วหยางเข้าวังหลวงไป องครักษ์เขี้ยวมังกรที่นางพามาด้วย ทำได้เพียงรออยู่บริเวณภายนอกวังหลวง

ทั้งสองเดินตามขันทีน้อยที่ทำหน้าที่นำทางไป พวกเขาเดินอยู่ภายในวังหลวงเป็นเวลานาน จึงถูกนำให้เดินเข้าสู่ภายในเขตตำหนักใหญ่แห่งหนึ่ง

งานเลี้ยงในค่ำคืนนี้ ถูกจัดขึ้นในตำหนักอันกว้างใหญ่แห่งนี้

มู่ชิงเกอกวาดสายตามองครู่หนึ่ง พบว่างานเลี้ยงในวันนี้แตกต่างกับตอนต้อนรับคุณตัวประหลาดเป็นอย่างมาก แต่พอนึกถึงฐานะของใครคนนั้นในหลินชวนแล้ว นางก็กระจ่างในทันที

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!