ตอนที่ 929
ฝูของพวกเจ้าเล่า
“ที่นี่คือโลกของเผ่าฝูงั้นหรือ’’มู่ชิงเกอมองประเมิณรอบด้านด้วยความแปลกใจ
ทัศนียภาพรอบด้านที่ไม่แตกต่างกันมาก ทำให้มู่ชิงเกอไม่มั่นใจว่าการทดสอบเดินเรือต้าเซียนครั้งแรกประสบความสำเร็จหรือไม่ พวกเขามาถึงจักรวาลขนาดใหญ่ที่เผ่าฝูอาศัยอยู่จริงหรือไม่
หากไม่ใช่ซือมั่วบอกว่ารู้ถึงปราณของธงวิญญาณมารได้ชัดเจนยิ่งขึ้น นางก็คงจะไม่กล้าเชื่อจริงๆ
“พวกเราออกจากที่นี่ก่อน” ขณะที่ซือมั่วกล่าว ในมือก็มีผ้าคลุมสีดำสองผืนปรากฎขึ้น
เขาคลุมเสื้อตัวหนึ่งในนั้นลงบนร่างมู่ชิงเกอ ดึงหมวกใบใหญ่ขึ้นมาคลุมให้นางดีๆ ดึงขอบหมวกลง หมวกที่กว้างใหญ่ปิดบังใบหน้าของมู่ชิงเกอจนมองไม่เห็นแม้แต่นิดเดียว กระทั่งคางก็ยังถูกเงามืดของขอบหมวกคลุมไว้ เห็นได้ไม่ซัดเจน
เมื่อพยักหน้าด้วยความพอใจแล้วซือมั่วจึงคลุมเสื้อคลุมแบบเดียวกันให้ตัวเอง ใช้หมวกปิดบังหน้าตาของตนเช่นเดียวกัน
“ไปกันเถอะ” ซือมั่วกล่าว
มู่ชิงเกอหยอกล้อ “พวกเราแต่งตัวเช่นนี้ จะยิ่งดึงดูดความสนใจหรือไม่ ”
“เผ่าฝูที่ปรากฎตัวอยู่ต่อหน้าพวกเราเหล่านั้นนอกจากยอดฝีมือ เผ่าฝูผู้นั้นที่รูปลักษณ์ภายนอกไม่ต่างจากพวกเรานัก คนที่เหลือต่างก็มีหน้าตาเป็นเอกลักษณ์อย่างยิ่ง พวกเราออกไปเช่นนี้อย่างน้อยก็ไม่อาจทำให้พวกเขาดูออกตั้งแต่แวบแรกว่าพวกเราไม่ใช่คนที่นี่” ซือมั่วกล่าว
ทว่า เขากลับหยุดครู่หนี่ง จากนั้นจึงกล่าว “แต่ว่าภาษา…”
“ไม่ใช่ปัญหา” มู่ชิงเกอกล่าวไปพลาง มือก็หยิบยาลูกกลอนสองเม็ดออกมา วางไว้ในฝ่ามือซือมั่วหนึ่งเม็ด
ซือมั่วมองดูด้วยความสงสัย “นี่คือยาลูกกลอนอะไร”
“ยาแปลภาษา” ขณะที่มู่ชิงเกออธิบายก็กลืนยาลูกกลอนลงไป “ความหมายตามชื่อ สามารถแปลภาษาต่างๆ ได้ และสามารถเปลี่ยนคำที่พวกเราพูดออกจากปาก เป็นคำที่คนอื่นฟังแล้วเข้าใจได้เอง”
“มียาวิเศษเข่นนี้ด้วยหรือ”ซือมั่วยิ้มน้อยๆกินยาลูกกลอนในมือ
กินยาลูกกลอนแล้ว ก็ไม่ได้แตกต่างเท่าไร
ทั้งสองสบตากันปราดหนึ่งเดินออกไปนอกหุบเขา
หุบเขาแห่งนี้ใหญ่อย่างยิ่งรอบด้านต่างก็เป็นป่าเงียบสงัดอย่างถึงที่สุด แม้แต่สัตว์ป่ายังหาได้ยากมาก
ซือมั่วส่งกระแสจิตตามทิศทางของธงวิญญาณมาร พามู่ชิงเกอเดินออกไปข้างนอก โชคดี ตบะบำเพ็ญของคนทั้งสองที่นี่ไม่ได้สูญเสียไป หลังจากผ่านการสืบหาระยะแรก พวกเขาพบว่าไม่มีคนเผ่าฝู จึงใช้วิชาควบคุมลม ทะลุผ่านป่าไป
“ป่าผืนนี้ใหญ่ยิ่งนัก พวกเราเดินมาไกลเพียงนั้น เหาะมาไกลเพียงนั้นไม่นึกว่ายังมองไม่เห็นเค้าโครงกำแพงเมือง” มู่ชิงเกอกล่าวอย่างตกใจ
“เป็นไปได้ว่าประชากรของเผ่าฝูมีไม่เยอะ” ซือมั่วคาดการณ์
ตัวประหลาดตัวเล็ก แยกร่างออกมาจากตัวประหลาดเหล่านั้น ก็คล้ายต่างจากเผ่าฝูอื่นๆ ที่พวกเขาเคยเห็น
โลกใบนี้…แปลกประหลาดจริง
กรรร
ทันใดนั้น ห่างไปไม่ไกลก็มีเสียงร้องคำรามเสียงหนึ่งดังเข้ามาในหูคนทั้งสอง
ซือมั่วคว้าข้อมือของมู่ชิงเกอไว้ทั้งสองหยุดลงกลางอากาศ มองไปตามที่มาของเสียงอย่างระมัดระวัง
“เหมือนเป็นเสียงของสัตว์” มู่ชิงเกอมองไปทางนั้นแล้วคาดเดา
ดวงตาซือมั่วแปรเปลี่ยนหลายรอบ กล่าว “พวกเราไปดูกัน”
มู่ชิงเกอพยักหน้า ทั้งสองเปลี่ยนทิศทาง ไล่ตามเสียงคำรามที่ดังออกมาจากป่า
ยังไม่ทันเข้าใกล้ กิ่งไม้เศษหินที่ถูกตัดทำลายหนึ่งกองก็พุ่งกระจายออกมารอบด้าน จำนวนหนึ่งในนั้นสวนกลับปะทะมายังมู่ชิงเกอและซือมั่ว ชั่วพริบตา ก็ประชิดคนทั้งสอง
ซือมั่วยกมือ กิ่งไม้ เศษหินที่พุ่งเข้ามา ก็กลายเป็นฝุ่นผงทันที
ระหว่างที่ม้วนแขนเสื้อ ก็พัดฝุ่นผงกระจาย และเปิดเส้นทางไปต่อข้างหน้า
ทั้งสองวิ่งเข้าไป มองเห็นเหตุการณ์ล่าสัตว์รูปแบบใหม่
หลังจากที่คนสองคนไม่เผยตัว วิ่งเข้าไปใกล้ ก็เลือกต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งกำบังร่าง กำบังปราณของตนลง ไม่ให้คนข้างล่างสังเกตเห็นตัวเอง
บนพื้น ตาข่ายสีเขียวอันใหญ่ คลุมอยู่บนร่างสัตว์ตัวมหึมาตัวหนึ่ง สัตว์มหึมาตัวนั้น รูปลักษณ์ภายนอกใกล้เคียงมนุษย์ แต่กลับใหญ่ยักษ์ราวกับภูเขาสูง หากเขาลุกขึ้นยืนจากพื้น เกรงว่าจะสูงพอๆ กับต้นไม้รอบด้าน
กล้ามเนื้อบนร่างมัน แข็งแกร่งอย่างถึงที่สุด กล้ามเนื้อแต่ละส่วนนูนขึ้นมาบนหลังมัน ประหนึ่งภูเขาสูงใหญ่
“อัปลักษณ์จริงๆ” ยักษ์ในตาข่าย เผยใบหน้าออกมาท่ามกลางการดิ้นพล่าน มู่ชิงเกอวิจารณ์ตรงจุดอย่างถึงที่สุด
“เร็วเข้า! จับมันไว้!”
“เจ้านี่ไม่เลว จะต้องพากลับไปฝึกให้ได้!”
นอกตาข่ายยักษ์มีคนไม่น้อยกำลังดึงอย่างสุดแรง
พวกเขาสวมอาภรณ์สีเขียว มองใบหน้าไม่ชัดเจน แต่คำที่พูดออกมา ภายใต้ฤทธิ์ยาแปลภาษา กลับฟังแล้วเข้าใจ
มู่ชิงเกอสบตาซือมั่วปราดหนึ่ง ในแววตามีความประหลาดใจ
พวกเขาเข้าใจแล้วว่า การล่าสัตว์ครั้งนี้ ล่าเพื่อจับกลับไปฝึกในโลกของพวกเขา อาชีพของอาจารย์ทะลวงสวรรค์เหมือนว่าจะคล้ายคลึงกันเล็กน้อย
มู่ชิงเกอถ่ายทอดเสียงกล่าว ‘ยักษ์ตนนี้คล้ายเคยปรากฎตัวในสนามรบแดนมารเมื่อปีนั้น’
ที่นางหมายถึง คือครั้งนั้นที่ซือมั่วหายสาบสูญแล้วนางเข้าแดนมารไปควบคุมสถานการณ์สู้รบกับเผ่าอี้
ตอนนั้น นอกจากสัตว์ประหลาดตัวเล็กใหญ่ที่นางคุ้นเคยจะปรากฎตัวแล้ว ก็มีสัตว์ประหลาดตัวใหญ่แบบนี้หลายตัวอยู่ด้วย ผิวหนัง กล้ามเนื้อทั่วร่างหยาบหนา กำลังไร้ขีดจำกัด
‘ตาข่ายล่าสัตว์ที่พวกเขาใช้คล้ายพิเศษอย่างยิ่ง’ ซือมั่วสังเกตเห็น ตาข่ายเขียวที่แผ่คลุมยักษ์นั้น คล้ายมีอักษรฝูปรากฎรางๆ อีกทั้งยักษ์ที่มีกำลังไร้ขีดจำกัด ถูกตาข่ายคลุมไว้ ยักษ์กลับดิ้นไม่หลุด
‘กรรรจ์’
ทันใดนั้น ยักษ์ที่ถูกตาข่ายคลุมตนนั้นก็ส่งเสียงร้องเจ็บปวดออกมา เนื้อตัวดวงตาทั้งคู่เริ่มเฉื่อยชา
“เร็วเข้า! ตอนนี้แหละ!”
คนบนพื้น ตะโกนหนึ่งประโยค
มีคนผู้หนึ่งกระโดดออกมาทันที โผเข้าไปที่ส่วนหัวของยักษ์ตนนั้น ฉากฉากนี้ทำให้มู่ชิงเกอเลิกคิ้ว
หลังจากนั้น พวกเขาก็เห็นฉากที่มหัศจรรย์คนที่โผเข้าไปผู้นั้น คุกเข่าอยู่บนร่างยักษ์หว่างคิ้วคล้ายยิงแสงออกมา ส่องเข้าไปในดวงตาทั้งคู่ของยักษ์
ต่อมา ยักษ์ก็หมดแรงต่อต้านอย่างสิ้นเชิง ทำตามคำสั่งอย่างเชื่อฟัง ลุกขึ้นยืน ไม่ดิ้นอีกแม้แต่นิดเดียว
ผู้ที่โผออกมาผู้นั้น นั่งลงบนบ่ายักษ์ กล่าวกับคนอื่นๆ “วันนี้ล่ามาได้ไม่น้อย ไปเถอะ กลับเมือง!”
มู่ชิงเกอส่งสายตากับซือมั่วปราดหนึ่ง ตามไปอย่างรู้ใจ
ขอเพียงติดต่อกับคนของเผ่าฝูได้พวกเขาก็สามารถรู้ได้ว่าแท้จริง เผ่าฝูเป็นเผ่าแบบใด วิธีการโจมตีของพวกเขา รวมถึงจุดอ่อนของพวกเขาคืออะไร
ทั้งสองตามไปเงียบๆ ไม่ได้ดึงดูดความสนใจของกลุ่มคนข้างหน้า
ตามไปครึ่งค่อนวัน ในที่สุดพวกเขาก็เดินออกจากป่า เข้าไปในทุ่งหญ้าแห่งหนึ่ง
ที่นี่ ไม่มีที่กำบัง แต่โชคดีที่ยักษ์ตนนั้นสูงใหญ่ อาศัยร่างของมันคนทั้งสองก็ยังคงไม่ถูกพบเห็น
ตอนที่ฟ้ามืด พวกเขาจึงมองเห็นโครงของกำแพงเมือง
มู่ชิงเกอกับซือมัวไม่ได้ตามต่อ แต่อ้อมไปข้างหน้า เตรียมจะเข้าเมือง
เพียงแต่ เมื่อมาถึงกำแพงเมือง พวกเขากลับพบว่าหน้าประตูมีการคุ้มกันที่เข้มงวด
“เอ้…ฝูของพวกเจ้าสองคนเล่า” ทันใดนั้น เสียงเด็กน้อยที่อ่อนนุ่มเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นข้างกายคนทั้งสอง
มู่ชิงเกอกับซือมั่วหันไปมองพร้อมกัน จึงพบว่าไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร มีเด็กอายุสามสี่ขวบปรากฎตัวอยู่ตรงหน้าพวกเขา เงยหน้าขึ้นท่าทางคงมองเห็นพวกเขาจากข้างล่างได้พอดี
ฝูหรือ
สายตาของมู่ชิงเกอกับซือมั่วต่างก็ตกลงบนอักขระสีแดงตรงหน้าผากของเด็กน้อยผู้นั้น