Skip to content

พลิกปฐพี 966

ตอนที่ 966

ตอนพิเศษ 7

บ้านในโลก บ้านของเรา

บนท้องฟ้า แม้ว่าจะมีคนเงยหน้าก็ไม่อาจมองเห็น ‘เรือบิน’ รูปร่างพิเศษหนึ่งลำกำลังเคลื่อนผ่านอยู่เหนือศีรษะพวกเขาช้าๆ

เร็วอย่างยิ่ง เรือต้าเซียนก็แล่นไปถึงน่านฟ้าที่มู่ชิงเกอคุ้นเคย

แผ่นดินอันเป็นที่รักของนางผืนนั้น

หลังจากที่สั่งให้เรือต้าเซียนลงจอดในป่าของชานเมืองเมืองหลวง มู่ชิงเกอก็ยังไม่ได้สติกลับมาจากความตกตะลึง

“ข้าใช้ชีวิตไปมากมายเพียงนั้น ผ่านไปหลายปีเพียงนั้น คาดไม่ถึงว่าที่โลกผ่านไปเพียงแค่ปีเดียว เช่นนี้ก็พูดได้ว่า เวลาของจักรวาลขนาดใหญ่แต่ละแห่งไม่เท่ากันใช่หรือไม่” มู่ชิงเกอมองซือมั่วข้างกายอย่างอดไม่ได้

ในป่า นอกจากต้นไม้ใบหญ้าก็ไม่มีของอย่างอื่นที่ทำให้สองพ่อลูกประหลาดใจ

ดังนั้น ความคิดในตอนนี้ของพวกเขาจึงรวมอยู่ที่มู่ชิงเกอ

“จะพูดเช่นนี้ก็ได้” ซือมั่วพยักหน้า

มู่ชิงเกอตาลุกวาว จู่ๆ ก็เข้าใจแล้ว เหมือนกับปีแสงของโลกใบนี้ อวกาศก็เหมือนกล่องดำใบหนึ่ง มองไม่เห็นขอบเขต ระยะห่างระหว่างดาวแต่ละดวง ต้องใช้ปีแสงมาคิดคำนวณ

ที่เรียกว่าปีแสง อธิบายอย่างง่ายๆ ก็คือภาพอวกาศที่มนุษย์สังเกตได้ผ่านกล้องส่องทางไกล อาจจะเป็นลักษณเมื่อแสนปีก่อน หรือแม้กระทั่งล้านล้านปีก่อน

“พูดได้ว่า ในจักรวาล แม้ว่าข้าจะใช้ชีวิตผ่านไปร้อยปี แต่สำหรับโลกบางโลกแล้วกลับผ่านไปเพียงแค่หนึ่งปี” มู่ชิงเกอพึมพำกับตัวเอง ทันใดนั้น นางก็ตาลุกวาวกล่าวอย่างดีใจ “เช่นนั้นก็พูดได้ว่า สำหรับเจียงหลีแล้ว นางอาจจะหายไปแค่หนึ่งปี หรือว่าไม่กี่ปีหรือเพียงแค่ไม่กี่เดือนสั้นๆ ใช่หรือไม่”

หากเป็นเช่นนี้จริงๆ อย่างน้อยเจียงหลีก็ไม่ต้องลำบากมากนัก

ซือมั่วมองนาง รู้ความหมายในใจของนาง แต่ก็ยังคงกล่าวเตือน “แต่ก็เป็นไปได้ว่า นางอาจจะใช้ชีวิตผ่านไปนับพันปี นับหมื่นปีแล้วเช่นกัน”

มู่ชิงเกอเม้มปาก คำพูดของซือมั่วทำให้นางนิ่งเงียบ

ไม่ว่าเรื่องใดๆ ล้วนตรงกันข้าม นางหวังว่า เจียงหลีจะสบายดี แต่ก็ยังมีความเป็นไปได้ว่านางอาจจะทุกข์ยาก

“เสี่ยวเกอเอ๋อร์” เห็นนางเงียบ ซือมั่วจึงเดินเข้าไปใกล้นาง กล่าวเสียงตํ่า “เจ้าต้องเชื่อเจียงหลี นางเป็นถึงเพื่อนของเจ้า ก็ชัดเจนแล้วว่าพวกเจ้าเป็นคนประเภทเดียวกัน ไม่ว่าจะเจอความลำบากแบบใด นางก็จะใช้ชีวิต ได้ด้วยความเข้มแข็ง ต้องมีสักวันหนึ่งที่พวกเจ้าสองคนจะได้พบกันอีกครั้ง”

มู่ชิงเกอยิ้มบางๆ พยักหน้าเงียบๆ

ซือนาจายืนอยู่ตรงกลางคนทั้งสอง เงยหน้ามองสองคน เขารู้ว่าเจียงหลีคือใคร นางคือเพื่อนที่ดีที่สุดของท่านแม่ และยังรู้อีกว่า จุดประสงค์ที่สำคัญที่สุดที่พวกเขาออกจากโลกใบหลักครั้งนี้ก็เพื่อต้องการจะตามหานาง

แต่ว่า…

“ท่านแม่ พวกเราจะยืนอยู่ตรงนี้ไปถึงเมื่อไร” ซือนาจาอดไม่ได้ดึง ชายกระโปรงของมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอก้มหน้ามองตาลูกชาย เก็บความคิด แย้มยิ้มให้เขา “พวกเราจะไปเดี๋ยวนี้แหละ”

พูดจบ นางก็เก็บเรือต้าเชียน เหลือบตาขึ้นมองซือมั่วแล้วยิ้มกล่าว “ผ่านไปเพียงหนึ่งปีก็ดีเหมือนกัน อย่างน้อยข้าก็ไม่รู้สึกแปลกตากับโลกที่คุ้นเคยใบนี้ แต่ว่า ตอนนี้เสื้อผ้าของพวกเราแปลกเกินไป ต้องหาที่เปลี่ยนใหม่ก่อน”

“แปลกหรือ” ซือมั่วมองประเมิณเสื้อผ้าบนร่างตนอย่างไม่เข้าใจ

อืม เหมาะสมอย่างยิ่ง ไม่มีตรงไหนไม่สุภาพ เหตุใดเสี่ยวเกอเอ้อร์ ถึงบอกว่าแปลกเล่า

ข้อสงสัยนี้ได้รับการคลี่คลายหลังจากที่คนทั้งสามเก็บปราณพรางตัวเดินออกจากป่า มองเห็นมนุษย์นับไม่ถ้วนบนดาวโลก

ซือมั่วจูงซือนาจา ยืนอยู่บนถนนที่มีการจราจรขวักไขว่ คนทั้งสองตกตะลึงจนอ้าปากค้าง ส่วนลึกในดวงตาปรากฎความเหลือเชื่อ

ไม่ต้องพูดถึงตึกสูงระฟ้าที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อนเหล่านั้น รวมถึงกล่องเหล็กที่ขับเคลื่อนอยู่บนพื้นด้วยความรวดเร็ว แสงไฟต่างๆ นานา เหล่านั้น เพียงแค่คนเหล่านี้..

ซือมั่วสูดหายใจเข้าลึก ดวงตาเริ่มมีพายุฝนเกาะตัว

เขามองมู่ชิงเกอที่จมดิ่งอยู่ในความทรงจำตามจิตใต้สำนึก กล่าวในใจ หรือว่า เสี่ยวเกอเอ๋อร์ก็เคยสวมชุดที่เปิดเผยเนื้อหนัง เดินไปเดินมาต่อหน้าฝูงชนเช่นนี้เหมือนกัน

ตอนที่เขามองมู่ชิงเกอ กลิ่นนํ้าหอมแตะจมูกหนึ่งกลุ่มก็โชยผ่านปลายจมูกเขาไป หญิงสาววัยรุ่นสองสามคนที่สวมชุดเปิดเผยเนื้อหนัง สวมเสื้อยืดรัดรูป กระโปรงสั้นรัดรูป แสดงท่าทียั่วยวนในสายตาเขา พูดคุยเฮฮา เดินผ่านหน้าคนทั้งสามไป

แน่นอน พวกนางมองไม่เห็นคนทั้งสามที่เก็บปราณ

ซือนาจาอ้าปากตาค้างจ้องมองแผ่นหลังของหญิงสาวหลายคน แต่ภายใต้ความไม่ระวัง กลับถูกมือใหญ่ข้างหนึ่งบังสายตาไว้

เขาโมโหเล็กน้อย มือเล็กๆ ตุ้ยนุ้ยจับมือใหญ่ไว้คิดจะดึงออก

แต่ว่า เสียงเย็นเยียบของท่านพ่อผู้อหังการกลับดังเข้ามาแล้ว “ของไม่ดีห้ามมอง”

พรืด!

มู่ชิงได้ยินเสียงเย็นเยียบนี้ของซือมั่วก็อดไม่ได้หัวเราะออกมา หันกลับมามองสองพ่อลูกที่สีหน้าแปลกประหลาด นางก็หัวเราะพลางอธิบาย

“โลกแต่ละใบต่างก็มีวัฒนธรรมของโลกนั้นๆ ที่นี่ไม่มีการฝึกฝนวิทยายุทธ์อะไร ไม่มีเทพมาร แต่กลับมีวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและอารยธรรมที่ทันสมัย ความประพฤติอันผิดหลักธรรมนองคลองธรรมในสายตาพวกเจ้า สำหรับที่นี่แล้วเป็นเรื่องธรรมดาที่สุด”

“เสี่ยวเกอเอ๋อร์ก็เคยใส่ชุดไม่สุภาพอย่างยิ่งเช่นนี้ด้วยหรือ” ซือมั่วอดไม่ได้ กัดฟันกล่าวถาม

รับรู้ถึงไอเย็นที่ลอยผ่านมาบนร่างตน มู่ชิงเกอก็กล่าวสีหน้าจริงจัง “ข้าเป็นทหาร สวมเครื่องแต่งกายของทหาร ไหนเลยจะมีโอกาสสวมชุดลำลอง”

หลังจากสัมผัสได้ว่าไอเย็นจางหายไปแล้ว นางก็กล่าวต่อในใจ เว้น แต่ว่าจะออกจากหน้าที่

“เสื้อผ้าเหล่านี้ไม่เหมาะกับเจ้า ตอนนี้ดูดีกว่า” ซือมั่วมองมู่ชิงเกอด้วยสายตาลุกวาว กล่าวหนึ่งประโยค

ความคิดนั้นของชายหนุ่ม มู่ชิงเกอรู้ดีแก่ใจ

มู่ชิงเกอไม่อยากวกวนอยู่กับปัญหาเล็กๆ เหล่านี้แล้ว นางลูบสันจมูก กล่าว “ไปกันเถอะ”

“ไปไหน”

สองพ่อลูกกล่าวขึ้นพร้อมกัน

ความรู้ใจที่หาได้ยาก ทำให้ชายสองคนนี้มองหน้ากันปราดหนึ่ง มีความรู้สึกที่เรียกว่า ‘รู้ใจกัน’ เป็นครั้งแรก

“กลับบ้าน” มู่ชิงเกอดีดนิ้ว

กลับบ้าน?

ซือมั่วเลิกคิ้วเบาๆ สายตาคลุมเครือ

ทว่าซือนาจากลับกล่าวด้วยความสงสัย “กลับบ้านหรือ พวกเราเพิ่งจะถึง จะกลับโลกเทพมารแล้วหรือ”

“แน่นอนว่าไม่ได้หมายถึงโลกเทพมาร” มู่ชิงเกอตบหัวเขาเบาๆ

“คือที่ไหน” ซือนาจาลูบหัวที่โดนตีของตัวเองไล่ถามต่อ

คำสามคำทำให้มู่ชิงเกอหวนรำลึก นางกล่าวช้าๆ “บ้านที่นี่ของเรา”

ตอนที่นางยังเป็นมู่เกอ ตลอดทั้งปีฝึกฝนอยู่ในกองทัพ แม้ว่าจะลาพักร้อน บางครั้งก็อยู่แต่ในห้องที่กองทัพจัดสรร หรือไม่ก็ท่องเที่ยวไปทั่ว ข่าวการตายของนางแจ้งกลับมา ห้องที่จัดสรรห้องนั้นย่อมต้องถูกยึดคืน แต่ว่ากลับไม่มีใครรู้ว่า ในสถานที่ที่มีราคาแพงทุกตารางนิ้วในเมืองหลวงแห่งนี้ นางยังมี ทรัพย์สินส่วนตัวอยู่หนึ่งแห่ง

แน่นอนว่า นอกจากชายผู้นั้น…

มู่ชิงเกอตาลุกวาว ในสมองปรากฎเงาร่างสูงใหญ่ออกมา

“บ้านที่เสี่ยวเกอเอ๋อร์เคยอยู่หรือ” ซือมั่วเอ่ยปาก ขัดจังหวะความทรงจำของนาง

“พวกเรามีบ้านที่นี่ด้วยหรือ” ศีรษะเล็กๆ ของซือนาจาแทรกเข้ามา กล่าวด้วยความประหลาดใจ

มู่ชิงเกอพยักหน้ายิ้มน้อยๆ พาสองพ่อลูกเดินไปยังเขตบ้านหรูที่ถูกคนในเมืองหลวงเรียกว่าเขตคนรวย

ด้วยความเร็วของคนทั้งสาม เดิมก็สามารถไปถึงได้อย่างรวดเร็ว แต่ว่า มู่ชิงเกอตั้งใจจะแนะนำโลกใบนี้ให้ซือมั่ว รวมถึงลูกชาย จึงลดความเร็วลง เดินไปพลาง อธิบายบางสิ่งบางอย่างที่ทันสมัยให้พวกเขาฟัง

อย่างเช่น กล่องเหล็กที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วเหล่านั้น เรียกว่า รถยนต์

หรืออย่างเช่น ไฟที่เดี๋ยวก็เป็นสีเขียวเดี๋ยวก็เป็นสีแดงเหล่านั้น เรียกว่าไฟจราจร

ตึกสูงระฟ้าเหล่านั้นก็คือบ้านที่คนสมัยนี้อาศัยอยู่ รวมถึงห้าง รถไฟฟ้าใต้ดินที่วิ่งใต้ดินเหล่านั้น…

เมื่อคนทั้งสามเดินไปถึงเขตนั้นอย่างน้อยซือมั่วก็เข้าใจโลกใบนี้ได้พอประมาณแล้ว

ผ่านหน้ายามที่เดินกร่างวางท่าออกมาจากทางเข้าเขต ยามไม่มองพวกเขาแม้แต่ปราดเดียว

เข้าไปในเขตแล้ว ซือมั่วก็มองไปรอบๆ พยักหน้าชื่นชมจากใจจริง “แม้ว่าความกว้างใหญ่และทัศนียภาพของที่นี่จะเทียบโลกเทพมารไม่ได้ แต่เทียบกับข้างนอกก็ไม่เลวอย่างยิ่งแล้ว อย่างน้อยก็ไม่เสียงดัง สกปรกอย่างยิ่งเช่นนั้น”

“ชื่อเสียงของเขตอันดับหนึ่ง ไม่ใช่ว่าได้มาอย่างเสียเปล่า” มู่ชิงเกอยิ้มกล่าว

เดินไปถึงข้างหน้าคฤหาสน์หลังเล็กแห่งหนึ่ง ในที่สุดนางก็หยุดลงมองบ้านที่ไม่เปลี่ยนไปแม้แต่นิดเดียว จากนั้นนางจึงเดินไปข้างประตู

เขตคฤหาสน์ที่นี่ มีคฤหาสน์เพียง 25 หลัง มู่ชิงเกอมีหนึ่งหลังในนั้น ตอนที่ซื้อ ราคาอยู่ที่เจ็ดล้านกว่าหยวน นี่ยังเป็นราคาลด ทั้งยังเป็นเหตุผลที่คฤหาสน์มีเนื้อที่น้อยที่สุด

แม้จะบอกว่ามีเนื้อที่น้อยที่สุด แต่ในความจริงแล้วก็มีพื้นที่สองร้อยกว่าตารางเมตร มู่ชิงเกออยู่คนเดียว พื้นที่เหลือเฟืเอ

รหัสผ่านในความทรงจำป้อนเข้าไปในกลอนประตูดิจิตอล ประตูบ้านก็ส่งเสียงดัง ‘แกรก’ เปิดออก

ดวงตาซือมั่วปรากฎความประหลาดใจ กล่าวถาม “นี่คือกลไกอะไร”

“นี่เรียกว่ากลอนประตูดิจิตอล” มู่ชิงเกอหันกลับมายิ้มกล่าว

มู่ชิงเกอผลักประตูออก พาสองพ่อลูกเดินเข้าไปในบ้าน

คฤหาสน์มีโครงสร้างสามชั้น ชั้นแรกเป็นพื้นที่ส่วนรวม ห้องรับแขก ห้องครัว ห้องรับประทานอาหาร ห้องนํ้ารวม และห้องออกกำลังกายเล็กๆ หนึ่งห้อง

ชั้นสอง ก็เป็นห้องนอนสามห้อง ใช้เป็นห้องรับแขก ห้องเด็ก ห้องคนชราได้ ชั้นสาม มีเพียงห้องนอนเจ้าบ้าน แต่ว่าในห้องนอนยังแบ่งเป็น ห้องสมุด ห้องแต่งตัว ห้องอาบนํ้า ห้องนํ้าต่างๆ

ในบ้าน ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนจัดวางได้อย่างสะอาดสะอ้านเป็นระเบียบอย่างยิ่ง ไม่มีฝุ่นแม้แต่นิดเดียว

มู่ชิงเกอรู้ดี นี่เป็นเพราะว่ามีคนมาทำความสะอาดเป็นประจำ

บ้านหลังนี้ นางมาไม่บ่อย ตอนแรกที่ซื้อก็เพราะว่าทนการหว่านล้อมของชายผู้นั้นไม่ไหว ดังนั้น จึงมีป้าคนหนึ่งมาทำความสะอาดครึ่งเดือนครั้ง รักษาความเป็นระเบียบภายในบ้าน คฤหาสน์ด้านหน้าด้านหลังก็ฝากให้บริหารจัดการ

ตอนนี้ช่วงเวลาที่นางสละชีพก็ผ่านไปเพียงหนึ่งปี

ซํ้าในกองทัพก็ไม่รู้ว่านางมีทรัพย์สินบ้านเรือนที่นี่ เกรงว่า นอกจากหน่วยภายใต้บังคับบัญชาและเพื่อนร่วมรบของนางแล้วก็คงจะไม่มีใครรู้เรื่องการพลีชีพของนางอย่างสิ้นเชิง

“การจัดวางภายในห้อง แปลกประหลาดยิ่งนัก” เมื่อซือมั่วเข้ามา ปัญญาเทวะก็สำรวจบ้านทั้งหลัง ทุกซอกทุกมุมไม่ปล่อยผ่าน

มู่ชิงเกอยิ้มกล่าว “ความจริงแล้ว เขตนี้เป็นทรัพย์สินของเพื่อนข้าคนหนึ่ง ตอนที่เปิดตัว เขาใช้วิธีกึ่งขายกึ่งให้ มอบบ้านหลังนี้แก่ข้า ในความจริงแล้ว เงินก้อนนั้นที่จ่ายไป ก็ยังเป็นเงินที่เขาสำรองให้”

“เอ เพื่อนหรือ” ในดวงตาสีอำพันของซือมั่ว ท่าทางคลุมเครือ มองมู่ชิงเกอ คล้ายสนใจคำว่าเพื่อนที่ออกจากปากนางอย่างยิ่ง

มู่ชิงเกอพยักหน้ากล่าว “ตอนนั้นข้าถวายชีวิตปฏิบัติภารกิจคุ้มกันภารกิจหนึ่ง ได้รู้จักกับเขา แม้ว่าฐานะทางครอบครัวของเขาจะดีเลิศ มีกลิ่นอายลูกคุณหนูเล็กน้อย แต่กลับมีนิสัยจริงใจต่อเพื่อนฝูง ให้ความสำคัญกับมิตรภาพ ข้าช่วยชีวิตเขาไว้ครั้งหนึ่ง เขาจึงกลายเป็นเพื่อนหนึ่งในไม่กี่คน นอกเหนือจากกองทัพของข้า บ้านหลังนี้ เขาบอกว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณช่วยชีวิต ไม่ว่าข้าจะรับไว้หรือไม่ ในสัญญาซื้อขายบ้านก็เป็นชื่อข้าทั้งหมด เดิมข้าอยากปฏิเสธ แต่เขากลับบอกว่า ไม่ช้าไม่เร็วข้าก็ต้องปลดประจำการ เขาไม่อยากให้ถึงตอนนั้นแล้วข้าไม่มีแม้แต่ที่จะอยู่”

“ฟังแล้ว กลับเป็นเพื่อนที่ไม่เลวเลย” ซือมั่วกล่าว

มู่ชิงเกอไม่ได้พูดเรื่องในอดีตต่อ ถอยไปข้างหลังหนึ่งก้าว มองประเมินซือมั่วที่ยืนอยู่ข้างหน้า สำหรับซือนาจาก็เข้าไปในห้องๆ หนึ่งก่อนแล้ว ไปสำรวจบ้านหลังใหม่อย่างไม่รีรอ

“เจ้าต้องเปลี่ยนโฉม ที่นี่ ผู้ชายไว้ผมยาวไม่เยอะ โดยเฉพาะยาวเช่นเจ้า แม้แต่เสื้อผ้า…ที่นี่ ข้าเคยเก็บเสือผ้าของตัวเองไว้บ้าง แต่ไม่มีเสื้อผ้า ผู้ชาย แต่ว่ามีกางเกงขาสั้นชุดฝึกหลายตัวที่ค่อนข้างใหญ่ เจ้าไปลองดูก่อน อีกประเดี๋ยวข้าจะพวกเจ้าไปซื้อเสื้อผ้า” มู่ชิงเกอกล่าว

“เสี่ยวเกอเอ๋อร์จะให้ข้าตัดผมหรือ” แววตาซือมั่วแปลกใจขึ้นมา

เขายังไม่เคยตัดผมสั้นมาก่อน

“เจ้าใช้บัญญัติอาคมเปลี่ยนให้สั้นก็ได้” มู่ชิงเกอกล่าวอย่าง ตรงไปตรงมา

“สั้นแบบใด” ซือมั่วถามด้วยความสงสัย

มู่ชิงเกอมองซ้ายมองขวา พบนิตยสารที่วางอย่างเป็นระเบียบอยู่บนโต๊ะกินข้าว หน้าปก มีดาราดังชายผู้หนึ่งพอดี เครื่องหน้าทั้งห้าที่หล่อเหลา รอยยิ้มที่น่าหลงใหล ท่าทางสบายๆ น่าจะทำให้คนใจเต้นได้

แต่น่าเสียดาย ที่ซือมั่วอยู่ที่นี่

มีเขาอยู่ ผู้ชายทั้งหมดในสายตาของมู่ชิงเกอ ใบหน้าต่างก็คลุมเครือ เสน่ห์ก็เลือนราง

“ทำตามเขาก็ได้” มู่ชิงเกอชี้ดาราชายบนหน้าปก

ซือมั่วเลิกคิ้วเล็กน้อย พยักหน้า ทำผมตามดาราชายคนนั้น ใช้บัญญัติอาคมพรางตาให้ตัวเอง

ชั่วพริบตา ทรงผมของเขาก็เหมือนกับดาราชายคนนั้น แต่ว่า พลังโจมตีวิสัยทัศน์ที่หล่อเหลาเหนือผู้ใดชนิดนั้นกลับมากกว่าดาราชายถึงสิบเท่า

ในดวงตาที่ใสกระจ่างของมู่ชิงเกอ ปรากฎความตกตะลึง

ความหลงใหลชนิดนั้นทำใหซือมั่วยกยิ้มอย่างพอใจ

ชั่วขณะ มู่ชิงเกอก็รู้สึกได้ว่าโลกทั้งใบของตน ถูกรอยยิ้มของซือมั่ว เติมเต็มหมดแล้ว นางเดินไปหาเขาอย่างไม่รู้ตัว มือทั้งคู่ประคองใบหน้าเขาไว้กล่าวด้วยเสียงตํ่าลึก แต่กลับเด็ดขาด “ผู้ชายของข้า มีเพียงคนเดียวเท่านั้น”

ความจริงใจที่เข้มข้นในดวงตาทำให้แววตาซือมั่วมืดครึม

เขายื่นแขนยาวๆ ออกไป มือคู่ใหญ่โอบเอวของมู่ชิงเกอไว้ดึงนาง เข้ามาในอ้อมอกตน

ทว่าตอนนี้มู่ชิงเกอกลับได้สติขึ้นมา ยิ้มให้เขา ยื่นมือดึงมือที่ล้อมรอบเอวตนของเขาไว้ “ตามข้าขึ้นมา”

ซือมั่วถูกมู่ชิงเกอพาขึ้นมาที่ห้องนอนชั้นสาม ระหว่างทาง มู่ชิงเกอก็ลากซือนาจาที่อยู่ชั้นสองขึ้นมาด้วย

สองพ่อลูกยืนอยู่ในห้องนอน มองหน้ากันและกัน

แต่มู่ชิงเกอกลับเข้าไปในห้องแต่งตัว เริ่มรื้อหาของ

“ท่านพ่อ นี่ใคร” จู่ๆ ซือนาจาก็เดินไปหน้าตู้ลิ้นชัก ชี้กรอบรูปที่วางอยู่บนตู้แล้วกล่าวถาม

ซือมั่วได้ยินเสียงก็เดินเข้าไป มองเห็นหญิงสาวท่าทางองอาจผ่าเผยผู้หนึ่งในกรอบรูป สวมชุดทะมัดทะแมง ยืนมือไพล่หลัง

นั้นคือใบหน้าที่แปลกตาใบหนึ่ง แต่ว่า ภายใต้เครื่องหน้าที่มีชีวิตชีวา ซือมั่วกลับเห็นท่าทาง รวมถึงรอยยิ้มที่คุ้นเคยเป็นอย่างดี

“ดูท่าแล้วจะต้องเปลี่ยนแผน” มู่ชิงเกอเดินออกมาจากห้องแต่งตัว มือเปล่า

ซือมั่วเหลือบตามองนาง กล่าวถาม “นี่คือเสี่ยวเกอเอ๋อร์เมื่อก่อนหรือ”

มู่ชิงเกอตกตะลึง สายตาตกลงบนกรอบรูปในมือซือมั่ว

ผู้หญิงในรูป สวมชุดทหาร ไม่แต่งหน้า กระทั่งบนใบหน้ายังมีคราบเหงื่อ นางเดินเข้าไปรับกรอบรูปในมือซือมั่วมาอย่างใจลอยเล็กน้อย “ใช่แล้ว ข้าเกือบจะจำหน้าตาตัวเองเมื่อก่อนไม่ได้แล้ว”

ทันใดนั้น มือใหญ่หนึ่งข้างก็หยิบกรอบรูปในมือนางไป ควํ่าไว้บนตู้ลิ้นชัก

มู่ชิงเกอเหลือบตามองเขาด้วยความสงสัย แต่เขากลับกล่าว “เจ้า เป็นเจ้าเสมอมา”

ไม่ว่ารูปร่างภายนอกจะเปลี่ยนไปเช่นไรจิตวิญญาณที่ไม่ย่อท้อนั้นกลับเป็นนางเสมอมา

ถ้าหากไม่ใช่เพราะจิตวิญญาณนั้น เขาจะรักคุณชายลูกผู้ดีจอมเสเพลอย่างมู่ชิงเกอในตอนนั้นลงหรือ

มู่ชิงเกอยิ้มอย่างสบายใจ ไม่ต่อหัวข้อสนทนานี้อีก นางกล่าวอย่างจนใจท่ามกลางแววตาที่สงสัยของซือนาจา “คาดการณ์พลาด แม้ว่าจะเปลี่ยนเสื้อผ้าของเจ้าได้ แต่ของลูกกลับไม่ได้ ที่นี่ไม่มีเสื้อผ้าเด็ก”

“ทำอย่างไรดีเล่า” ซือมั่วยิ้มถาม

มู่ชิงเกอคิดครู่หนึ่งแล้วกล่าว “ข้าจำได้ว่าแถวนี้มีศูนย์การค้าขนาดใหญ่ เอาอย่างนี้ พวกเจ้ารอข้าอยู่ที่บ้าน ข้าเปลี่ยนชุดแล้วก็จะไปที่นั้นเที่ยวหนึ่ง ไปซื้อเสือผ้าให้พวกเจ้าสองพ่อลูกก่อน หลังจากนั้นพวกเราค่อยออกไปเดินเล่นด้วยกัน”

“ตกลง” ซือมั่วพยักหน้ารับปาก

ซือนาจาอยากตามมู่ชิงเกอไปด้วย แต่กลับถูกนางใช้สายตาปฏิเสธ

“ข้ามาเลือกชุดให้เสี่ยวเกอเอ๋อร์” จู่ๆ ซือมั่วก็พูด จากนั้นก็เดินไปยังห้องแต่งตัว

มู่ชิงเกอตะลึงงันชั่วขณะไม่ได้ตอบสนองกลับมา

กระทั่งซือมั่วหยิบเสื้อสูทแบบสตรีตัวหนึ่งเดินออกมา นางจึงเข้าใจแล้วว่า ชายผู้นี้กำลังคิดอะไรอยู่

“ชุดนี้ไม่เลว” ซือมั่วยัดเสื้อผ้าเข้ามาในอ้อมอกมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอพูดไม่ออกชั่วขณะ ย่อมต้องไม่เลว เสื้อเชิ้ต กางเกงขายาว ปกคลุมร่างมิดชิด ไม่เปิดเผยแม้แต่นิดเดียว

โชคดี ตัวนางเองก็ไม่ชอบใส่กระโปรงที่ดูผู้หญิงเกินไปเหล่านั้นเช่นกัน เสื้อผ้าในห้องแต่งตัว ส่วนใหญ่ล้วนเป็นเสื้อกางเกงเพศกลางๆ สวมใส่ง่าย

เมื่อเปลี่ยนเสื้อกางเกงอย่างคล่องแคล่วรวดเร็วแล้ว มู่ชิงเกอก็มัดผมทางม้า

นางหยิบเสื้อคลุมสีชมพูอ่อนหนึ่งตัวออกมาจากตู้เสื้อผ้า คลุมไว้ข้างนอก ร่างทั้งร่างดูสบายๆ แต่กลับไม่มีความอ่อนโยน

เห็นนางเปลี่ยนเสื้อผ้าออกมาแล้ว ในแววตาซือมั่วก็มีความใจลอยแวบผ่าน

“รอข้ากลับมาพาพวกเจ้าไปกินของอร่อย” มู่ชิงเกอตบแก้มสองพ่อลูกเบาๆ จากนั้นจึงออกจากคฤหาส์นไป

เดินออกมาจากเขตแล้ว มู่ชิงเกอเกิดความรู้สึกเสมือนอยู่ในโลกอีกใบหนึ่ง

นางเดินไปยังศูนย์การค้าตามความทรงจำ ในกระเป๋าเสื้อนาง มีบัตรเอทีเอ็ม รวมถึงกระเป๋าเงินที่หยิบมาจากตู้เซฟในบ้าน

เร็วอย่างยิ่ง มู่ชิงเกอก็มาถึงศูนย์การค้า

สถานที่ซื้อขายในยุคปัจจุบันทำให้นางไม่คุ้นชินในวินาทีแรก

หลังจากนั้น ก็ยังคงหาชั้นเครื่องแต่งกายบุรุษและเครื่องแต่งกายเด็กได้จากป้าย นางซื้อชุดผู้ใหญ่และเด็กสองชุดด้วยความรวดเร็วอย่างยิ่ง

มีอะไรให้ต้องเลือก

ขอร้องล่ะ ด้วยหน้าตาอันหล่อเหลาของผู้ชายสองคนในครอบครัวนาง ไม่จำเป็นอย่างสิ้นเชิง

“คุณผู้หญิงคะ ทั้งหมด 1,245 หยวน สะดวกจ่ายบัตรหรือเงินสดคะ ทางห้างเรายังใช้อาลีเพย์และวีแชทจ่ายได้ด้วยนะคะ” พนักงานเก็บเงิน ยิ้มแย้มได้มาตรฐานกล่าวกับมู่ชิงเกอ

นางพยายามแสดงท่าทีสงบนิ่งและความเป็นมืออาชีพ แต่กลับยากจะซ่อนความตื่นเต้นในแววตา

“บัตรค่ะ” มู่ชิงเกอคล้ายมองไม่เห็นความตื่นเต้นนั้น หยิบบัตรออกมาอย่างสุขุม

“ได้ค่ะ ขอบัตรด้วยค่ะ เซ็นชื่อบนใบเสร็จด้วยค่ะ” หลังจากพนักงานรูดบัตรด้วยความถูกต้องแม่นยำและรวดเร็วแล้วก็พิมพ์ใบเสร็จออกมา วางไว้ตรงหน้ามู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอจับปากกา คิดครู่หนึ่ง เขียนลงไปบนใบเสร็จว่า ‘มู่เกอ’

มู่ชิงเกอเดินออกมาจากศูนย์การค้า เร่งฝีเท้า เดินข้ามเขตไป

จู่ๆ เสียงเครื่องยนต์มอเตอร์ไซด์ที่แสบแก้วหูเสียงหนึ่งก็ดังมาจากข้างหลัง ทันใดนั้น นางก็ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือที่แหลมเปรียวเสียงหนึ่ง “กรี๊ด! ขโมย!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version