Skip to content

ราชินีพลิกสวรรค์ 118

ตอนที่ 118

ข้าปกป้องเจ้าเอง

แววตาที่สดใสของเจียงหลีเต็มไปด้วยความยั่วยุ

แววตาเช่นนั้นทำให้ฉู่เฟยชิงต้องขมวดคิ้วขึ้นและปรากฎดวงตาที่ไม่มีความสุขเลย เป็นเพียงนางทาสรับใช้ บังอาจยั่วยุนางเลยหรือ

“เจ้ากำลังมองหาอะไรหรือ” ฉู่เฟยชิงยกคางขึ้นและมองไปที่เจียงหลีโดยจากด้านบนมองลงไปด้านล่าง

สายตาทั้งสองข้างที่เฉียบขาดของมู่เจิ้งเฟิงมืดลงชั่วขณะโดยไม่พูด ดูเหมือนว่าเขาจงใจปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินไปเช่นนั้น เขาซึ่งเป็นฮ่องเต้ยังไม่พูดอะไรเลย คนอื่นยิ่งไม่กล้าพูดหรอก เพียงแต่เมื่อมู่เจิ้งเฟิงมองไปที่ลู่เจี้ยซึ่งยืนอยู่อย่างนิ่งเงียบภายในท้องพระโรง เขาก็สบตากับดวงตาแวววาวคู่นั้นที่คาดเดาไม่ถูก

ฮึ! มู่เจิ้งเฟิงอุทานในใจอย่างเฉยชา เขาคิดไม่ออกว่าคนไร้ประโยชน์ที่ถูกลิขิตว่าต้องตายก่อนวัยอันควรและไม่สามารถฝึกพลังวิญญาณจิตได้มีสิทธิ์อะไรมาสบตากับเขาอย่างยืนหยัดแน่วแน่เช่นนี้

เขาคือฮ่องเต้ แต่ลู่เจี้ยเป็นใครหรือ เพียงคนไร้ประโยชน์คนหนึ่งเท่านั้น!

งดงามนั้นก็งดงามอยู่ แต่น่าเสียดายที่เป็นเพียงผู้ชาย! แววตาแห่งความเสียใจฉายผ่านดวงตาที่ดุดันของมู่เจิ้งเฟิง

“ก็ต้องมองท่านอยู่แล้ว” เจียงหลีโค้งริมฝีปากขึ้นอย่างเล่นหูเล่นตา

พอได้ยินคำตอบของนางแล้ว ฉู่เฟยชิงก็ยิ่งขมวดคิ้ว “เจ้าเป็นแค่บ่าวรับใช้ผู้ต้อยต่ำ บังอาจดูหมิ่นข้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ”

คำพูดที่มีเจตนาเหยียดหยามเช่นนี้ มิได้ทำให้เจียงหลีโกรธเคืองเลยแม้แต่น้อย นางยังคงยิ้มกริ่ม และมองไปที่คนหยิ่งผยองอย่างฉู่เฟยชิง “ข้าเป็นบ่าวรับใช้’แห่งตระกูลลู่ มิใช่นางทาสขององค์หญิง จะไม่กล้าได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น ต่อหน้านายน้อยของข้า ข้าก็พูดแบบนี้เช่นกัน นับประสาอะไรกับคนนอกเล่าเพคะ”

เฮือก!

ทุกคนที่อยู่ในท้องพระโรง ต่างแอบกลืนนํ้าลายเนื่องด้วยคำพูดของเจียงหลีเช่นนี้

เป็นที่โปรดปรานจึงหยิ่งผยองเช่นนี้หรือ!

คนที่รู้จักนางต่างพากันประหลาดใจ บุตรสาวของเจียงหลินเฟิงกลายเป็นคนจองหองเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด หยิ่งผยองหรือ ในความทรงจาของพวกเขา เจียงหลีเคยเป็นบุตรสาวของตระกูลชั้นสูงที่อ่อนโยนและเงียบขรึม ซึ่งแตกต่างจากเจียงหลีคนปัจจุบันนัก

หรือว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของตระกูลนั้นเปลี่ยนนิสัยใจคอของคนๆ หนึ่งได้มากถึงเพียงนี้เลยหรือ

สำหรับคนที่ไม่รู้จักเจียงหลีมาก่อน คงจะตกใจกับความกล้าหาญของหญิงสาวเพียงเท่านั้น ต่อหน้า ฮ่องเต้ยังบังอาจหยิ่งผยองต่อองค์หญิงจากรัฐเพื่อนบ้านเช่นนี้ ช่างกล้าหาญยิ่งนัก…

หลังจากตะลึงงัน ทุกคนต่างจ้องมองเจียงหลีด้วยสายตา ‘รนหาที่ตาย’

ทว่า มีความแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือ บริเวณที่นั่งของพระชายาลู่และคนอื่นๆ กลับมีแววตาที่เป็นกังวล

“เป็นสาวใช้ที่ปากจัดนัก!” แววตาของฉู่เฟยชิงวาวโรจน์และตำหนิอย่างเย็นชา

เจียงหลีกลับยิ้มอย่างดูแคลนและกระซิบถามลู่เจี้ยที่อยู่ด้านหลังว่า “ท่านดูออกหรือไม่ว่านางฝึกถึงขั้นใดแล้ว”

นางรู้ว่าลู่เจี้ยเป็นเนี่ยนซือที่อยู่ในขั้นที่สูงนัก ดังนั้น คงจะรู้ดีกว่าตนมาก

“สู้หลีเอ๋อร์ไม่ได้” มุมปากของลู่เจี้ยโค้งขึ้นเล็กน้อย

ทั้งตามใจ ทั้งรอยยิ้ม ปะปนออกมาจากนํ้าเสียงอย่างไม่รู้ตัว ทำให้คำเหล่านี้ดูอ่อนหวานเล็กน้อย

เจียงหลีราวกับว่ากินนํ้าผึ้งก็ไม่ปาน เพราะในดวงตาดู่นั้นเปี่ยมล้นไปด้วยรอยยิ้มดุจพระจันทร์เสี้ยว สู้หลีเอ๋อร์ไม่ได้? หากเป็นเช่นนั้น ก็จัดการง่ายนัก!

ทันทีที่ความคิดเปลี่ยนแปลงไป เจียงหลีมองไปที่ฉู่เฟยชิงแล้วเอ่ยว่า “องค์หญิงต้องการให้นายน้อยของข้ากลับไปกับท่าน ไม่รู้ว่าท่านจะมีความสามารถพอหรือไม่นะเพคะ”

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร” สีหน้าของฉู่เฟยชิงเริ่มแย่ลง

เมื่อถูกสาวใช้ยั่วยุซ้ำแล้วซ้ำเล่า หากที่แห่งนี้คือรัฐฉู่ของนาง เจียงหลีคงถูกประหารไปไม่รู้กี่รอบแล้ว

พอเจียงหลีเห็นเหยื่ออย่างฉู่เฟยชิงติดกับดักแล้ว จึงยกคางอันเล็กน้อยชี้ขึ้น แววตาอันยั่วยุก็ทวีคูณเช่นกัน”ความหมายนั้นง่ายนัก นั้นคือหากพระองค์หญิงต้องการที่จะนำนายน้อยของข้ากลับไปด้วย อย่างน้อยก็ต้องให้พวกเราดูว่าท่านมีศักยภาพเช่นนั้นหรือไม่ องค์หญิงกล้ารับกระบวนท่าของข้า สักสามกระบวนท่าหรือไม่เพคะ”

หือ?

ฉู่เฟยชิงนิ่งอึ้งไปชั่วครู่

สายตาของมู่เจิ้งเฟิงก็มองไปที่เจียงหลีเชินกัน

ทุกคนต่างมองไปที่ร่างน้อยๆ ซึ่งยืนอยู่ตรงห้าลู่เจี้ยด้วยความสับสน

มีเพียงลู่เจี้ยเท่านั้นที่ยังคงยิ้มบางๆ ที่มุมปากอยู่ ราวกับว่าไม่ว่าเจียงหลีจะทำอะไรก็ตาม ล้วนต้องได้รับอนุญาตจากเขาก่อน

“รับสามกระบวนท่า? เจ้าคู่ควรเช่นนั้นหรือ” ฉู่เฟยชิงถูกปลุกให้ลุกเป็นไฟจริงๆ เสียแล้ว ขณะนี้ การแต่งหน้าที่ละเอียดละออของนาง ก็เสียรูปไปบ้างแล้ว

“องค์หญิงไม่กล้าหรือเพคะ” แววตาของเจียงหลีเป็นประกายทะเล้นเชิงสัพยอก

“เหอะๆ” ฉู่เฟยชิงหัวเราะเยาะ “หากข้ารับสามกระบวนท่าของเจ้าแล้วอย่างไรต่อเล่า เจ้าตัดสินใจแทนนายน้อยของเจ้าได้หรือ”

พอพูดจบเพียงเท่านั้น นางก็แอบมองลู่เจี้ย ความงดงามเช่นนี้หายากในโลกแห่งนี้นัก ยังคงทำให้ใจเต้นแรงโดยมิได้ลดน้อยถอยลงเลย

“หากท่านชนะหลีเอ๋อร์ ข้าจะกลับรัฐฉู่พร้อมกับท่าน”

ใครจะไปคาดเดาได้ว่าพอฉู่เฟยชิงพูดจบ ลู่เจี้ยที่นิ่งเงียบมาโดยตลอดกลับเอ่ยขึ้นทันที ทำให้ทุกคนตะลึงงันกับคำพูดที่เสียงดังสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น

อะไรนะ! เขาพูดเช่นนั้นได้อย่างไร

“เจี้ยเอ๋อร์…” พระชายาลู่กระซิบอย่างเป็นห่วง

ซึ่งแม้แต่เจียงหลีก็ทันกลับมามองหน้าเขาด้วยความประหลาดใจเช่นกัน แน่นอนว่าการมองครานี้ กลับถูกดูดเข้าไปในที่ส่วนลึกในดวงตาของนางแล้ว

“เจ้าพูดจริงหรือ!” เสียงของฉู่เฟยชิงซ่อนความตื่นเต้นไว้โดยขัดจังหวะความรู้สึกที่จมดิ่งลงของเจียงหลี

นางหันกลับมอง โดยมองไปที่เจียงหลีเหมือนเช่นเคย

เพียงแต่ความสนใจของฉู่เฟยชิงในขณะนี้ไม่ได้อยู่ที่นางแล้ว แต่อยู่ที่ลู่เจี้ยแทน

เมื่อมองไปที่ความตื่นเต้นของนางแล้ว ก็เก็บซ่อนแววตาแห่งการครอบครองไว้ไม่อยู่ ความไม่พอใจภายในจิตใจของเจียงหลี ทำให้นางต้องการเอาชนะคนตรงหน้าให้ได้

“จริงอย่างแน่นอน” นํ้าเสียงของหลู่เจี้ยยังคงสงบนิ่งตามเดิม

ฉู่เฟยชิงรู้สึกตื่นเต้นอย่างมากและไม่ลังเลอีกต่อไป “ได้! เห็นแก่หน้าเจ้า ข้าให้โอกาสนาง”

สายตาของนางเปลี่ยนไปจ้องที่เจียงหลีแทนและกล่าวอย่างมั่นใจว่า “ข้าจะรับสามกระบวนท่าจากเจ้า หากข้ารับได้ ถือว่าข้าชนะ”

“หากท่านแพ้ล่ะเพคะ” เจียงหลีกลอกตาซ่อนความเจ้าเล่ห์เอาไว้

“ข้าจะแพ้ได้อย่างไร ตั้งแต่เล็กจนโต ข้าไม่เคยประลองยุทธ์แล้วแพ้เลยแม้แต่ครั้งเดียว” ฉู่เฟยชิง กล่าวอย่างภาคภูมิใจ

ทำทางภาคภูมิใจนั้นทำให้เจียงหลีหัวเราะอย่างเงียบๆ

ฉุนกุ้ยเฟยวิตกกังวลอยู่ในใจ ทว่า ฉู่เฟยขิงกลับไม่รู้ เพราะนางรู้ดีว่าสิ่งที่เรียกว่าไม่เคยแพ้ เพียงเพราะสถานะของฉู่เฟยชิง จึงทำให้คู่ฝึกของนางไม่กล้าต่อสู้กับนางได้อย่างเต็มที่

นางตั้งใจจะขัดขวาง แต่กลับได้ยินมามาคนสนิทกระซิบข้างหูว่า “พระสนมเพคะ ก่อนที่เจียงหลินเฟิงจะเกิดเรื่อง ได้ยินมาว่าหญิงสาวคนนี้ไม่เคยเบิกเนตรญาณสำเร็จมาก่อนเลยเพคะ ยิ่งไปกว่านั้น นางกล้าลงมือรุนแรงกับองค์หญิงน้อยหรือเพคะ”

ประโยคแรกนั้นบ่งบอกว่าเจียงหลีเบิกเนตรญาณมาเพียงระยะสั้นเท่านั้น ประโยคหลังบ่งชี้ถึงสถานะของฉู่เฟยชิงซึ่งวางให้เห็นอยู่ทนโท่แล้ว เจียงหลีคงมิกล้าลงมือจริงๆ หรอก

ดวงตาของฉุนกุ้ยเฟยกระตุกเล็กน้อยแล้วแอบชำเลืองมองลู่เจี้ย หากพูดจากก้นบึ้งของหัวใจแล้ว นางไม่เต็มใจให้หนุ่มรูปงามต้องย้ายจากโฮ่วจิ้นไปไกล

“เจี้ยเอ๋อร์” แววตาของพระชายาลู่เต็มไปด้วยความกังวล รู้สึกว่าการตัดสินใจของลู่เจี้ยนั้นประมาทเกินไปนัก

แต่ทว่า ลู่จ้านกลับกระซิบว่า “พระชายาอย่าได้กังวลใจไปเลย นายน้อยมีแผนการไว้อยู่แล้วขอรับ”

พระชายาลู่ถอนหายใจและทำได้เพียงพยักหน้า

“ในเมื่อเป็นการเดิมพัน ก็จงพูดให้กระจ่าง หากชนะ นายน้อยของข้ากลับไปกับท่าน หากแพ้ ก็ล้างเท้าให้ข้าด้วยตัวของท่านเอง ตกลงหรือไม่เพคะ”ในรอยยิ้มของเจียงหลีนั้นเก็บซ่อนความชั่วร้ายไว้

“อะไรนะ ให้ข้าล้างเท้าให้เจ้าหรือ” ใบหน้าของฉู่เฟยชิงดูเคร่งขรึมนัก

“จะจองหองเกินไปแล้ว” มู่เจิ้งเฟิงพูดด้วยเสียงเรียบ

ทุกคนในท้องพระโรงต่างมองไปที่เจียงหลีด้วยความตะลึงงัน รู้สึกว่านางช่างกล้าพูดอะไรเช่นนี้

ให้องค์หญิงล้างเท้าให้นางหรือ

จุ๊ๆๆ!

แววตาดุดันที่แอบซ่อนปลายมีดไว้ ลอยมาทางเจียงหลีตลอดเวลา นางกลับจ้องมองไปที่ฉู่เฟยชิงเพียงเท่านั้น “กล้าหรือไม่ หรือว่าท่านแพ้ไม่เป็น”

“ข้าจะไม่มีทางแพ้!” ฉู่เฟยชิงพูดอย่างแน่วแน่ “ได้ข้าตกลงตามนั้น แต่ข้าจะเพิ่มอีกข้อหนึ่ง หาก เจ้าแพ้ เจ้าต้องมาเป็นบ่าวผู้ต้อยต่ำข้างกายข้า”

“ตกลงเพคะ” เจียงหลีตอบรับอย่างมุ่งมั่น

“ดี!” ฉู่เฟยชิงพยักหน้าตกลง คนอื่นๆ จึงมิได้พูดต่อ

นางก้าวลงบันได้ทีละขั้นอย่างหยิ่งผยองและหยุดอยู่ตรงหน้าเจียงหลี

“กระบวนท่าแรก ท่านเตรียมตัวรับให้ดี…” เจียงหลียิ้มเยาะ พร้อมกับกำหมัดแน่นและมุ่งตรงไปที่ฉู่เฟยชิง…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!