ตอนที่ 123
เสี่ยวเสวียนที่ทุกข์ระทม!
เหอะๆ!
เมื่อเผชิญหน้ากับการถูกถาม การตอบกลับของเจียงหลีคือเพียงชักมือของตนออกจากมือลู่เสวียน
ส่วนลู่เสวียน กลับลุกลนรีบจับมือเจียงหลีอีกครั้ง
ครั้งนี้ เขาจับแน่นกว่าเดิม ไม่ให้โอกาสเจียงหลีสลัดหลุดมือได้
เจ้าทำอะไรน่ะ เจียงหลีขมวดคิ้ว หันหน้าไปจ้องเจ้าเด็กน้อยคนนี้
ลู่เสวียนกลับใช้สายตาอ้อนวอนขอร้องเจียงหลีในมุมที่สาวน้อยมองไม่เห็น ช่วยหน่อย เถิด! ช่วยชีวิตหนึ่งคนดีกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น!
อะไรกัน ขนาดนั้นเชียวหรือ
ยังไม่ทันให้เจียงหลีได้ตัดสินใจเลือกว่าจะตกลงช่วยหรือไม่ช่วย ก็ได้ยินเจ้าเด็กนี่กล่าว ขึ้น”โจวยวนเจ้าอย่าตามตื๊อข้าอีกเลย ในเมื่อเจ้าก็เห็นแล้ว ก็ควรจะตัดใจได้แล้วข้ามีคนที่ข้าชอบอยู่แล้ว แล้วข้าก็ไม่ได้ชอบเจ้าด้วย”
“…”
คำประกาศนี้ ทำเอาสาวน้อยสองคนถึงกับอึ้งตะลึงงันไป
เจียงหลีตกตะลึงอ้าปากค้างมองดูลู่เสวียน ในใจมีคำด่านับหมื่นคำวิ่งผ่านไป
ส่วนโจวยวน กลับโวยวายขึ้นมาหลังจากอึ้งไปสักพัก “เป็นไปไม่ได้! เจ้าจะชอบหญิงอื่น ได้อย่างไร ข้าชอบเจ้าตั้งแต่สามปีที่แล้ว แต่เจ้าบังอาจชอบหญิงอื่นหรือ!”
“ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้หรอก เจ้าตามตื๊อข้ามาสามปีแล้ว ข้าก็บอกเจ้ามานับครั้งไม่ถ้วน แล้วว่าเรื่องของเราเป็นไปไม่ได้ ถึงแม้จะไม่มีนาง ข้าก็ไม่ชอบเจ้าอยู่ดี!” ลู่เสวียนตะคอก กลับเสียงดัง
คำพูดของลู่เสวียน ทำให้ใบหน้าของสาวน้อยผู้นี้ดุร้ายขึ้นมา
นางชี้ไปทางเจียงหลีที่เป็นผู้บริสุทธิ์อย่างโมโห “ใครก็ได้สังหารนางเสีย!”
เอ้า เวร!
เจียงหลีตกใจขีดสุด หนาวยะเยือกขึ้นมาทันที อะไรกัน นางไม่ได้ทำอะไร กลับจะสังหาร นางอย่างนั้นหรือ
“โจวยวน เจ้าอย่าทำอะไรบุ่มบ่าม! หากเจ้าทำอะไรนาง ข้าจะต้องแก้แค้นแทนนางเป็นแน่! อีกอย่าง จากนี้เป็นต้นไป จวนอ๋องลู่กับตำหนักองค์หญิงก็จะอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้อีก ต่อไป!” ลู่เสวียนยืนขวางหน้าเจียงหลี ขัดขวางเหล่าองครักษ์ของโจวยวนมิให้เข้ามาใกล้
“เจ้า!” โจวยวนตกใจ ตาแดงขึ้นมาทันใด นางยอมอ่อนข้อ มองลู่เสวียนอย่างน่าสงสาร “อาเสวียน เจ้าอย่าทำกับข้าเช่นนี้ได้หรือไม่ สามปีก่อนข้าแรกพบเจ้า ก็สาบานว่าชาตินี้จะไม่แต่งกับใครหากไม่ใช่เจ้า”
ขณะพูดอยู่นั้น นางก็มองเจียงหลีอย่างเจ็บใจ สายตาทุกข์ทนทุรนทุราย “หากเจ้าชอบนางจริ่ง ก็รอให้ข้าแต่งเข้าเรือนก่อน ข้าตกลงยอมให้เจ้ารับนางมาเป็นภรรยารอง”
พูดจริง!?
เจียงหลีได้ยินดังนั้น ก็ดึงมือตนออกมาอย่างแรง เอ่ยปากกล่าว “พวกเจ้าสองคน…”
“ไม่มีทาง โจวยวน ข้าพูดกับเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย อย่าตามตื๊อข้าอีก เราไม่มีทางลงเอยกันได้หรอก” ลู่เสวียนขัดจังหวะคำพูดของเจียงหลีอย่างเสียงดัง ดึงเสื้อนางแล้วรีบเดินออกไป
โจวยวนที่ถูกลู่เสวียนตะคอกใส่นั้น อึ้งตะลึงอยู่กับที่ มองดูเบื้องหลังของทั้งสองคนเดิน ออกไปไกลอย่างเหม่อลอย ทันใดนั้นก็นั่งยองๆ ลงบนพื้นร้องไห้โวยวาย
สาวใช้และองครักษ์ที่ติดตามนางมา ยืนอยู่กับที่ทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้จะทำเช่นไร
ด้านหลังนั้น เสียงร้องไห้ลอยมา ทำให้เจียงหลีมองไปยังใบหน้าที่ตึงเครียดของลู่เสวียน “ไม่คิดว่า ไข่มุกบนฝ่ามืออย่างองค์หญิง จะชอบเจ้าได้”
ลู่เสวียนดึงมุมปากเล็กน้อย บีบคั้นรอยยิ้มที่ดูแย่กว่าร้องไห้ “แล้วจะทำอย่างไรได้ พวกเขาเป็นคนของราชวงศ์ ความขัดแย้งของตระกูลลู่กับราชวงศ์นั้น ไม่สามารถทลายได้ตั้งนานแล้ว”
เขามองออกอย่างแจ่มแจ้งเสียจริง เจียงหลีพูดในใจ
สาวน้อยผู้นั้นไม่รู้จักนาง แต่ในความทรงจำเดิมของเจ้าของร่างเดิม กลับรู้จักสาวน้อยผู้นี้ โจวยวน ธิดาเพียงหนึ่งเดียวของน้องสาวแท้ๆ ของฮ่องเต้ องค์หญิงจิ้งเล่อแห่งราชวงศ์ โฮ๋วจิ้น
“หลียาโถ่ว ขอบใจเจ้ามาก” ลู่เสวียนกล่าวขึ้นกระทันหัน
เจียงหลีตกใจไปสักพัก นึกว่าเขาจะขอโทษเรื่องเมื่อครู่นี้ จึงกล่าวว่า “ควรจะขอโทษ มิใช่หรือ”
ลู่เสวียนส่ายหน้า “ข้าหมายถึงเรื่องในวังวันนั้น เจ้าออกหน้าแทนพี่ใหญ่ ต่อยองศ์หญิงเมืองฉู่ เป็นการระบายความโกรธแทนพี่ใหญ่แทนตระกูลลู่เสียจริง”
เจียงหลีแสยะยิ้ม ไม่เป็นไรหรอก ในใจของนาง คำขอบคุณใดๆ ก็เทียบไม่ได้กับคำพูดนั้นของลู่เจี้ย
“แต่เจ้าก็พูดถูก เรื่องเมื่อครู่ ข้าก็ต้องขอโทษเจ้าด้วยจริงๆ” ลู่เสวียนกล่าวพลางฉีกยิ้ม
เจียงหลีถอนหายใจแบบไร้เสียง
ขอโทษจะมีประโยชน์อะไร เกรงว่าตอนนี้ องศ์หญิงจิ้งเล่อนั้นคงจะโกรธแค้นตนเข้าแล้ว ความรู้สึกหลงรักเป็นเวลาสามปีนั้น ใช้ว่าคิดจะปล่อยวาง ก็ปล่อยวางไปเสียได้
เจียงหลีกลอกตามองลู่เสวียน อยากจะถามว่า เขาไร้ซึ่งความรู้สึกต่อองค์หญิงจิ้งเล่อนั่น โดยสิ้นเชิงจริงหรือ หากไม่มีความรู้สึกใดเลยจริง ด้วยนิสัยเขาแล้ว ทำไมถึงได้ตามตื๊อได้ถึงสามปี
………………………………
ทั้งสองกลับจวนอ๋องลู่ เพิ่งจะเข้าตำหนัก ก็มีคนรายงานว่า ลู่เจี้ยกำลังรอพวกเขาอยู่
ลู่เสวียนผิวหนังหดตัวไปชั่วขณะ มองเจียงหลีด้วยความหวาดกลัว “พี่ใหญ่ข้าคงไม่ได้รู้เข้าแล้วว่าข้าใช้เจ้าเป็นเกราะกำบังหรอกนะ”
“…” เจียงหลีถูกเขาถามจนอึ้งไป พูดในใจว่า ลู่เจี้ยคงไม่ได้กว้างขวางเช่นนั่นหรอก
โจวยวนมาหา ยังไม่ถึงสองชั่วยาม
นอกเสียจากว่า ลู่เจี้ยแอบส่งคนคอยติดตามพวกเขาอย่างเงียบๆ!
เจียงหลีดวงตาเป็นประกาย ในใจคาดเดาเรื่องราวได้คร่าวๆ
หากลู่เจี้ยเรียกพวกเขาเข้าพบเพราะเรื่องนี้จริง ก็เกรงว่าจะเป็นเพราะหลังจากการลอบ สังหารที่หุบเขาโยวโยว เขาไม่วางใจความปลอดภัยของลู่เสวียน จึงได้ส่งคนคอยคุ้มภัย อย่างลับๆ
เดินตามบ่าวรับใช้มายังที่พำนักของลู่เจี้ย ลู่เสวียนเพิ่งจะยกเท้าขึ้นมากำลังจะก้าวเข้าไป ก็ได้ยินเสียงลู่เจี้ยลอยออกมาจากด้านใน “มีเรี่ยวแรงออกไปก่อเรื่องข้างนอกได้แล้ว ดู เหมือนว่าร่างกายของเจ้าจะหายเป็นปกติดีแล้วสินะ เช่นนั้น ก็ไปผ่าฟืนที่เขาด้านหลังสัก ห้าชั่วยาม เติมฟืนในตำหนักให้เต็มก็แล้วกัน”
“พี่ใหญ่…” ลู่เสวียนได้ยินดังนั่น ก็ร้องโอดครวญออกมาทันใด
“อีกอย่าง หลีเอ๋อร์เป็นคนของข้า เจ้าในฐานะน้องชายข้า ก็ต้องระวังรักษาระยะห่าง
เอาไว้ด้วย” ลู่เจี้ยที่หาตัวไม่พบในห้องกล่าวเสริมขึ้นมา
“…” เจียงหลีตกตะลึง
“ทราบแล้วขอรับ” ลู่เสวียนหดหู่ใจ ก้มหน้ายอมรับชะตากรรม หันหลังกลับแล้วเดินไปยัง เขาด้านหลัง
“หลีเอ๋อร์เข้ามา” หลังลู่เสวียนเดินจากไป ด้านในก็มีเสียงของลู่เจี้ยลอยออกมาอีก เจียงหลีละสายตาอันเห็นใจลู่เสวียนมา แล้วเดินเข้าห้องไป
ในห้องนั้น แสงไฟมืดสลัว แสงสว่างทั้งหมดเหมือนว่าจะส่องบนร่างที่สวมเสื้อผ้าสีม่วง หรูหรานั้น ลู่เจี้ยวางตำราลง ยกตาขึ้นมองสาวน้อยชุดดำที่ค่อยๆ เข้ามาใกล้
“ครั้งก่อนที่เจ้าถามข้าว่าจะซ่อนพรสวรรค์เนตรญาณของเจ้าได้อย่างไร ข้ารู้วิธีแล้ว” ลู่เจี้ยกล่าวอย่างไม่อ้อมค้อม
เจียงหลีแววตาลุกวาว “ทำอย่างไรหรือ”
หลายวันก่อนนางถามคำถามนี้ ไม่คิดว่าจะได้คำตอบเร็วเพียงนี้ ถามเรื่องนี้หลักๆ แล้วก็ เพื่อป้องกันไม่ให้จำนวนเนตรญาณของนางถูกเปิดเผยออกมาหากวันใดมีการทดสอบ พรสวรรค์เนตรญาณที่ได้มาแต่กำเนิด
ลู่เจี้ยพยักหน้า “การเปลี่ยนแปลงเนตรญาณแต่กำเนิด หลิงไซว่ทำไม่ได้ แต่ระดับเนี่ยนจงทำได้ หากบำเพ็ญจนเลื่อนขั้นขึ้นมาเป็นเนี่ยนจงแล้ว จะสามารถสร้างค่ายกลขึ้นมา ปกปิดเนตรญาณส่วนหนึ่งไว้ได้หากบำเพ็ญตนไม่ถึงระดับขั้นนี้ ก็จะไม่สามารถจับได้”
“เนี่ยนจง!” เจียงหลีเอ่ยถามอย่างรีบร้อน “ลู่เจี้ย ตอนนี้เจ้าบำเพ็ญถึงขั้นเนี่ยนจงแล้วหรือ”