ตอนที่ 218
ข้าก็หยิ่งผยองเช่นนี้แหละ!
ข้าเจียงหลีฆ่าคนต้องหลบๆ ซ่อนๆ ด้วยหรือ
นางพูดเพียงเท่านี้ ทุกอย่างล้วนสงบนิ่ง
หลังจากได้ยินคำพูดของหญิงสาว ใบหน้าของผู้คนที่มารวมตัวกันอยู่บริเวณรอบๆ ก็ต่าง ตกตะลึง
ช่าง…หยิ่งผยองยิ่งนัก!
ต่อหน้าฝ่ายยุติธรรมยังบังอาจฆ่าคนได้เช่นนั้น ยิ่งไปกว่านั้น ยังพูดประโยคที่โอหัง เช่นนั้นออกมา ยิ่งเป็นการตอกยํ้ากับฝ่ายยุติธรรมด้วยข้อเท็จจริงที่ว่าคนอย่างเจียงหลี หากจะฆ่าคนก็ฆ่าอย่างโจ่งแจ้ง จะหลบๆ ซ่อนๆ ได้อย่างไร จะแอบเข้าไปในห้องของ ผู้อื่นแล้วลอบสังหารในตอนกลางคืนอย่างนั้นหรือ
หรือถ้าหากนางฆ่าคนจริง นางจะไม่มีทางปฏิเสธ และหากนางมิได้ฆ่าคนตามที่ถูก กล่าวหา ใครก็จะมาใส่ร้ายนางไม่ได้เด็ดขาดเช่นกัน
ช่างเป็นวิธีที่พิสูจน์ความบริสุทธิ์ได้อย่างแปลกประหลาดนัก แต่…จะเท่เกินไปเสียแล้ว!
หลังจากตกตะลึงกันไปชั่วครู่ นัยน์ตาของลูกศิษย์หลายคนต่างผุดดาวดวงเล็กๆ ออกมาให้เห็นและมองไปที่เจียงหลีผู้ที่มีอายุเพียงสิบกว่าปีด้วยความเลื่อมใสศรัทธา
อายุน้อยแล้วอย่างไรเล่า
พรสวรรค์สูงและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เท่ระเบิดไปเลย!
ท่ามกลางฝูงชน ใบหน้าของเฉียนจวิ้นหม่นหมองลง และแววตาที่มองไปหาเจียงหลี โดยมิสามารถคาดเดาได้ โจวยวนที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็มีแววตาของความขมขื่นเช่นกัน แต่ นางไม่รู้ว่าความขมขื่นนี้จะพุ่งเป้าไปที่เจียงหลีหรือลู่เสวียนดี
“เจียงหลี! เจ้ากล้าฆ่าคนต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้เลยหรือ” ใบหน้าของเจียงซย่าก็ดูแย่ไม่ แพ้กัน หญิงสาวคนนี้กล้าหาญและบ้าบิ่นมากเกินไปแล้ว และไม่ไว้หน้าเขาเลย
“ท่านหัวหน้าเจียงซย่า แม้ว่าจะมีพยาน ก็ควรให้โอกาสน้องสาวข้าได้โต้แย้งด้วย” เจียง เฮ่าพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา การที่เขาไม่ถ่อมตัวหรือเอาแต่ใจเป็นที่ขื่นขมของเจียงซย่านัก และเขาก็ตั้งใจคัดเลือกเจียงเฮ่าให้เข้ามาอยู่ในฝ่ายยุติธรรมด้วย
แต่ตอนนี้ เขากลับเข้าข้างน้องสาวเสียเหลือเกิน…
“เจียงเฮ่า มีใครเขาใช้วิธีโต้แย้งเยี่ยงนางกันหรือ” น้ำเสียงของเจียงซย่าหนักแน่น
“ทุกคนมีวิธีไต่สวนคดีที่แตกต่างกัน ใต้เท่าเจียงซย่าได้โปรดฟังคำให้การเสียหน่อย เพราะพวกข้าทุกคนล้วนอยู่ในสถาบันไป๋หยวนกันอยู่แล้ว หนีไปไหนไม่ได้หรอก” ลู่ เสวียนกล่าว
เวลานี้ เจียงหลีไม่สนใจความคิดของทุกคน แต่มุ่งความสนใจไปที่พยานที่เหลือและเดิน เข้าไปอย่างช้าๆ
นางก้าวเท้าช้าๆ มิได้ปลดปล่อยพลังอำนาจใดๆ แต่กลับทำให้คนผู้นั้นสั่นสะท้านไป ทั้งตัว และสายตาก็ยังจ้องมองไปมาระหว่างเจียงหลีกับศพที่อยู่บนพื้น
“เจ้าเห็นข้าฆ่าคนหรือไม่” เจียงหลีกล่าว
“ข้า…”
ชายคนนี้อดไม่ได้ที่จะถอยหลังหนึ่งก้าว ความรู้สึกผิดก็เขียนไว้บนใบหน้าหมดแล้ว
เจียงหลีมองเขาด้วยความรังเกียจ ทันใดนั้นก็ก้าวยาวไปข้างหน้าเช่นเดียวกับตอนที่ฆ่า คนก่อนหน้านี้
“อ๊าก! อย่าฆ่าข้าเลย ข้าพูดๆ…ข้าไม่เห็นเจ้าฆ่าคน…ข้าพูดมั่วซั่วโดยไม่มีหลักฐาน…” ชายผู้นั้นตกใจกับความน่าเกรงขามของเจียงหลีอย่างมากจนทรุดลงไปคุกเข่ากับพื้นและปิดตาตะโกนร้องเสียงดังลั่น นางกล้าลงมือฆ่าคนจริงๆ!
เหอะ!
ขี้ขลาดตาขาวเช่นนี้เลยหรือ
สายตาที่เหยียดหยามทุกคู่จับจ้องมาที่เขา
มุมปากเจียงหลีโค้งขึ้นเล็กน้อย ชำเลืองมองเจียงซย่าที่สีหน้าเศร้าหมองเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม
เจียงซย่ากวาดสายตาไปที่คนบนพื้นอย่างเคร่งเครียด “พูดมา! ตกลงเจ้าเห็นอะไรบ้าง เหตุใดถึงต้องมาใส่ร้ายศิษย์ร่วมสำนักด้วย หรือจริงๆ แล้วพวกเจ้าทั้งสองเป็นคนลงมือ สังหารทังจงเฉา”
“ใต้เท้าขอรับ ไม่ใช่ ไม่ใช่ข้า…” ชายผู้นั้นโต้กลับด้วยความหวาดกลัว แต่หางตาของเขา กลับกวาดไปยังตำแหน่งของเฉียนจวิ้นและโจวยวนโดยไม่รู้ตัว
แน่นอนว่าเมื่อเขาได้รับคำเตือนจากดวงตาอันดุดัน เขาก็กลัวมากจนต้องหลบสายตา และหมอบลงบนพื้นด้วยเนื้อตัวสั่นเทา และเมื่อเขาต้องการอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก็ กลับกลายเป็นเสียงครวญคราง
การเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ ของเขา ไม่อาจหลบหลีกสายตาของเจียงหลีไปได้
เพียงแต่แม้นางจะเห็นแล้วก็ตาม แต่กลับไม่เอ่ยปากพูด เพียงแค่แววตาของนางเต็มไป ด้วยรอยยิ้มอย่างเย็นชาเท่านั้น
“พี่ใหญ่ มีกฎข้อบังคับหรือไม่ว่าหากใส่ร้ายศิษย์ร่วมสำนัก จะต้องได้รับโทษเช่นไร” เจียงหลีถามอย่างกะทันหัน
เจียงเฮ่าตอบทันทีด้วยน้ำเสียงที่ดังและทรงพลัง “มีระเบียบข้อบังคับนี้แน่นอน ใครก็ ตามที่ใส่ร้ายศิษย์ร่วมสำนัก ต้องโทษประหาร!”
เจียงหลีโค้งริมฝีปากด้วยความพึงพอใจ และมองไปที่เจียงซย่าด้วยรอยยิ้ม ราวกับจะ บอกว่า คนที่ข้าฆ่าไปนั้น สมควรถูกประหารแล้ว
“ฮึ่ม” เจียงซย่าเข้าใจความหมายภายในดวงตาของนาง และพูดอย่างเย็นชา สั่งฝ่าย ยุติธรรมว่า “พาคนผู้นี้กลับไปสอบสวนอย่างเข้มงวด”
“ขอรับ! ”
พอฝ่ายยุติธรรมได้รับคำสั่ง จึงลากชายผู้นั้นและศพบนพื้นออกไป
หลังจากการแสดงละครสดจบลง คนอื่นๆ ต่างเดินจากไปหลังจากชื่นชมเจียงหลีอย่าง พร้อมเพรียง
เจียงหลีจ้องมองไปตรงเงาด้านหลังที่เดินจากไปของเฉียนจวิ้นพร้อมโจวยวน และ รอยยิ้มที่มุมปากค่อยๆ จางลง
“มีผู้บงการอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้อย่างแน่นอน” เจียงเฮ่าขมวดคิ้ว แววตาแฝงไปด้วยความ กังวล
เจียงหลียิ้มอย่างเมินเฉย “ช่างมันเถอะ”
……………….
เฉียนจวิ้นพาโจวยวนไปยังดินแดนที่ไร้ผู้คนแล้วตบไปที่แก้มของนาง “นังคนโง่ ต้องให้ ข้ามาจัดการกับปัญหาที่ตามมาภายหลังอีก”
โจวยวนยกมือปิดแก้มที่เจ็บปวด และกลั้นความเกลียดชังในดวงตาเอาไว้ แล้วกล่าวด้วย เสียงทุ้มต่ำ “ทังจงเฉารู้ทั้งรู้ว่าข้าเป็นคนของท่าน กลับยังมาประจบเอาใจข้าอย่างลับๆ และนินทาท่านลับหลังอย่างหยาบคาย ข้าแค่โมโหเกินไป…”
เหมือนกับว่าเฉียนจวิ้นจะไม่ฟังคำอธิบายของนางเลย และพูดอย่างผิดหวังว่า “น่า เสียดาย โอกาสอยู่แค่เอื้อม กลับคว้าเอาไว้ไม่ได้ข้าอยากเห็นใบหน้าอันหยิ่งผยองของ นางเผยความตกใจจนทำอะไรไม่ถูกออกมาให้เห็นเสียจริง คงจะน่าสนใจและน่า หลงใหลยิ่งนัก”
เสียงคำอธิบายของโจวยวนค่อยๆ จางหายไป นางเงยหน้าขึ้นมองดวงตาของเฉียนจวิ้น ด้วยความขยะแขยงที่พุ่งขึ้นทะยานสู่หางตา
“ช่วงนี้ เสด็จพี่ของข้าเคลื่อนไหวมากแล้ว ข้าต้องจับตาทางนั้นก่อน เจ้าอยู่ที่สถาบันไป๋ หยวนอย่าได้สร้างปัญหาให้ข้าอีก ได้ยินหรือไม่” เฉียนจวิ้นหันหน้ามาสบตานางและ กล่าวเตือนอย่างเย็นชา
โจวยวนก้มศีรษะ ลดสายตาลง และกล่าวด้วยความเคารพ “เจ้าค่ะ”
รูปลักษณ์ภายนอกที่ดูเรียบร้อยของนางนั้นตรงกันข้ามกับความเย่อหยิ่งและเย็นชาที่คน นอกมองเห็น เฉียนจวิ้นโค้งริมฝีปากขึ้นด้วยความพอใจ แล้วเดินเข้าไปยืนตรงหน้านาง อย่างช้าๆ ยกคางนางขึ้น เผยให้เห็นถึงลำคอเรียวยาว
“อย่างนี้สิถึงจะน่ารัก” เขาโน้มตัวเข้าไปใกล้และสูดดมคอของนางซํ้าๆ
โจวยวนอดกลั้นฝืนทนต่อความสะท้านใจที่น่าขยะแขยงนี้ ปล่อยให้เขาทำตามอำเภอใจ ขณะที่เฉียนจวิ้นไม่ทันสังเกตเห็น ความเกลียดชังของนางที่มีต่อสู่เสวียนและเจียงหลีก็ เพิ่มขึ้นไม่น้อย
……………….
สถาบันไป๋หยวนซีเฉียนเงียบสงบลงอีกครั้ง
เหตุการณ์ใส่ร้ายเจียงหลีและการตายของทังจงเฉา เป็นเพียงก้อนกรวดเล็กๆ เท่านั้น หลังจากถูกโยนลงไปในทะเลสาบแล้ว ได้กระเพื่อมเป็นวงก้วางและจางหายไปในที่สุด
คนที่ถูกเจียงซย่านำตัวกลับไป ไม่เคยปรากฏตัวขึ้นอีกเลย เป็นตายร้ายดีเช่นไร ก็มิอาจ ทราบได้
ขณะที่ทางฝั่งเจียงหลีดูเหมือนจะลืมเหตุการณ์นี้ไปแล้วและอุทิศตนให้กับการฝึกฝน ไม่ ค่อยปรากฏต่อหน้าผู้คนนัก เจียงเฮ่าและสู่เสวียนต่างเพียรฝึกฝนอย่างหนัก โดยเฉพาะลู่ เสวียน หลังจากมาถึงซีเฉียนได้เพียงสามเดือน การฝึกฝนอยู่ที่หลิงซื่อระดับขั้นที่เก้า แล้ว ขอเพียงแค่ประสานกับวิญญาณยุทธ์เท่านั้น ก็จะได้เลื่อนขั้นเป็นหลิงเจี้ยง
เมื่อเรื่องราวของพวกเจียงหลีทั้งสามสงบนิ่งลงชั่วคราว ทางด้านหนานฮวงกลับปรากฏ เหตุการณ์ที่น่าอัศจรรย์ขึ้น
ราขวงศ์จยาเซียนซึ่งเข้ามาแทนที่ราชวงศ์โฮ่วจิ้นกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดดใน การปรับเปลี่ยนสถานะของหนานฮวงด้วยความเร็วที่น่าตกใจนัก และทำให้นานาแคว้น ตระหนักถึงความทะเยอทะยานของราชวงศ์จยาเซียนได้เป็นครั้งแรกอีกด้วย…