Skip to content

ราชินีพลิกสวรรค์ 50

ตอนที่ 50

งานประลองชิงเจียว

เมื่อเจียงหลีกลับมาจากถํ้าเก้าปีศาจ ไม่รู้ว่าเรื่องที่นางเป็น ‘บ่าวอุ่นเตียง’ ของลู่เจี้ย ทำให้นางมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั้งจวนตระกูลลู่ ขณะเดียวกันยังทำให้ฐานะของนางสูงขึ้นอีก

ในจวนตระกูลลู่ มีการเล่าขานว่าไม่รู้นางใช้วิธีอะไรดึงดูดใจนายน้อย ทำให้นายน้อยที่มีจิตใจบริสุทธิ์ไม่ถูกเนื้อต้องตัวสตรี กลับมีข้อยกเว้นให้นาง

อีกทั้ง เดิมที่ทุกคนกังวลว่าวันรุ่งขึ้นอาการของนายน้อยจะหนักขึ้น แต่คิดไม่ถึงเลย พอวันรุ่งขึ้น นายน้อยปรากฎต่อหน้าผู้คนด้วยความกระปรี้กระเปร่า จนท่าให้ผู้คนแอบตกตะลึงอ้าปางค้าง

เจียงหลีโด่งดังแล้ว!

ต่อจากที่นางเดินโอ้อวดตามถนนเรื่องที่นางถอนหมั้นสำเร็จ นางก็มีชื่อเสียงอีกครั้งดังออกมาจากจวนตระกูลลู่ แล้วเรื่องทั้งหมดนี้ เจียงหลีที่ทุ่มเทกับการฝึกฝนอยู่ในถํ้าเก้าปีศาจนั้น ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวเลย!

โครม!

โครม! โครม!

รอบๆ เสียงสูดลมหายใจปนกับร้องด้วยความเจ็บปวด

“อดทนไว้พวกเจ้ามีความสามารถเพียงเท่านี้หรือ!” เสียงของลู่จ้านดังก้องทั่วสนามฝึกซ้อม

ในสนามฝึกซ้อม ผู้อารักขาประจำตระกูลที่ได้รับการฝึกฝน ต่างพากันกอดหัวโค้งตัวลง เพื่อหลบหนีการโจมตีจากทุกทิศทาง เจียงหลีก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย เพียงแต่ว่า นางต่างจากพวกที่หนีหัวซุกหัวซุน นางคงยืนหยัดอยู่ที่เดิม ใช้พลังในร่างกายต้านแรงจู่โจมอันรุนแรง สนามฝึกซ้อมถูกล้อมไปด้วยผู้อารักขาประจำตระกูลลู่ พวกเขาเป็นผู้ช่วยของลู่จ้าน และยังช่วยเป็นผู้ฝึกซ้อมให้พวกผู้อารักขาประจำตระกูลอีก

คนเหล่านี้สวมเสื้อสีดำ ถูกห่อหุ้มด้วยเกราะทองแดง ยืนตัวตรงเอามือไขว้หลัง มีสีหน้าเคร่งขรึม โดยที่ทุกคนได้ปลดปล่อยวิญญาณยุทธ์ออกมา เงาสัตว์เปรียบเสมือนภูตผี ส่งเสียงคำรามดังก้องสนามฝึกซ้อม

การโจมตีอย่างต่อเนื่องของวิญญาณยุทธ์ไม่เพียงเป็นการกดดันที่ทรงพลัง แต่ยังรวมไปถึงการโจมตีของเนื้อกายอีกด้วย อย่างไรก็ตามเด็กหนุ่มที่ถูกล้อมไปด้วยพวกเขา ทำได้เพียงยอมรับการถูกกระทำ ไม่ได้รับการอนุญาตให้ขัดขืน

การโจมตีที่ไร้ความปราณีทำให้เสี้อผ้าขาดกระจาย เนื้อหนังฉีดขาด จนหลายคนถึงกับล้มลงกับพื้น แม้ว่าจะกระอัดเลือดออกมา ก็ต้องพยายามยืนหยัดต่อ

“เพิ่มแรงโจมตี” เสียงลู่เจี้ยที่เอ่ยขึ้นมาเหมือนปีศาจ ทำให้เด็กหนุ่มทั้งหลายถึงขั้นหมดความสิ้นหวังเลยทีเดียว

เจียงหลีเงยหน้ามองไปทางลู่เจี้ยที่ยืนอยู่นอกสนาม พยายามกัดฟันสู้ต่อ

นี้คือการฝึกที่เรียกว่า ‘ต้านแรงโจมตี’ ตามที่ลู่จ้านกล่าวเอาไว้หากต้านแรงโจมตีของอีกฝ่ายได้ ก็จะสามารถช่วยชีวิตเอาไว้ จึงจะหาโอกาสโต้กลับได้เช่นกัน ถ้าหากว่าทนความทรมานนี้ได้ จะได้ไม่กลัวการที่ทดสอบที่แสนหฤโหด และจะไม่ทรยศหักหลังตระกูลลู่

เจียงหลีสายตาหรี่ลงเล็กน้อย เก็บความคิดฟุ้งซ่าน เม้มปากแน่น ใช้แผ่นหลังรับแรงโจมตีที่เกิดขึ้น สำนวน ที่ว่า ‘กระบี่ที่แหลมคมมาจากการฝนลับ’ ตอนนี้นางรู้ซึ้งแล้ว

…………………………………..

ชั่วพริบตาเดียว เหลือเวลาอีกเพียงหนึ่งเดือนก็จะถึงงานประลองชิงเจียว

เจียงหลีได้หายตัวไปจากถํ้าเก้าปีศาจ แม้ว่าเซียวเซียวไปหานางถึงบ้านหินหลายครั้งก็ยังไม่พบตัวนาง เขาเองก็สงสัยว่าเจียงหลีจะไปไหนได้ แต่เขาก็ไม่ถามอะไรมากนัก

ภายในไม่กี่วัน เขาถึงจะสังเกตเห็นว่าลู่จ้านก็หายตัวไปพร้อมกับเจียงหลีเหมือนกัน

ขณะที่เซียวเซียวแปลกใจอยู่นั้น ลู่จ้านได้พาเจียงหลีเข้าไปในป่าลึกของหุบเขาปู้กุย ทำการฝึกซ้อมขั้นสุดท้ายของเจียงหลี

บรู้ววววว!

เสียงคำรามของฝูงหมาป่ารัตติกาลได้ปรากฎตัวขึ้น

ร่างบอบบางของเจียงหลีได้ยืนอยู่กลางป่า แล้วมองไปรอบๆ ฝูงหมาป่าที่วิ่งเข้ามาหานาง ด้วยสายตาที่เฉียบคม

“ฝูงหมาป่ารัตติกาลแม้ว่าต่อตัวแล้วจะเป็นเพียงหลิงซื่อระดับที่สาม แต่พวกมันเชี่ยวชาญการต่อสู้เป็นกลุ่ม แม้หลิงซื่อระดับที่หกมาเจอกับพวกมัน ก็ทำได้เพียงวิ่งหนีเท่านั้น พวกมันจะเป็นคู่ซ้อมของเจ้าในวันนี้ จงฆ่า พวกมันซะ ไม่เช่นนั้น จะเป็นพวกมันเองที่ฉีกกัดเจ้าทิ้ง” น้ำเสียงเย็นชาของลู่จ้านดังมาจากบนต้นไม้

ลู่จ้านยืนอยู่บนกิ่งไม้ที่มีขนาดใหญ่สองมือกอดอก หลังพิงกับต้นไม้มองเจียงหลีด้วยสายตาที่นิ่งเฉย

เจียงหลีฟังอย่างเงียบๆ โดยไม่มีการโต้เถียงและประทวงใดๆ

ความท้าทายอย่างนี้สิ เป็นสิ่งที่นางต้องการ ณ ตอนนี้! แม้ว่านางจะมีประสบการณ์ต่อสู้เมื่อภพที่แล้ว แต่ภพนี้มีการฝึกพลังที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นนางจึงต้องการการต่อสู้ที่หลากหลายเพื่อคุ้นเคยกับวิธีการต่อสู้ใหม่

โครมมม ครามมม

เจียงหลีปลดปล่อยวิญญาณยุทธ์แรกของนางออกมา

เงาร่างใหญ่โตของเลี่ยเทียนซื่อปรากฎตัวกลางป่า กลิ่นไอความบ้าคลั่งแผ่ออก ราวกับพายุที่ครอบคลุมเขา มีเจียงหลีที่เป็นจุดศูนย์กลาง

ดวงตาของลู่จ้านสว่างขึ้นทันที มองไปทางเจียงหลี สายตาจับอยู่ที่ตัวเลี่ยเทียนซื่อ เต็มไปด้วยความคาดหวัง

ไฟเชื้อเพลิงแห่งการต่อสู้ได้เริ่มขึ้น

พลังเนตรญาณทำลายพืชพันธุ์ในป่าอย่างไร้ปราณี เสียงโจมตีดังขึ้นข้างหูลู่จ้าน ซากศพของหมาป่ารัตติกาล กระเด็นกระทบกับพื้นอย่างแรง

เวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป เสื้อผ้าเจียงหลีฉีกขาดเล็กน้อย และผมที่ยุ่งเหยิง กับลมหายใจที่หอบเร็วเกินกว่าปกติ

รอบๆ ตัวนางเต็มเกลื่อนไปด้วยซากศพหมาป่ารัตติกาล กลิ่นคาวเลือดแผ่กระจายไปทุกทิศทาง แสงวูบวาบในดวงตาเจียงหลี นางเดินตามหลังลู่จ้าน เพื่อเข้าไปในป่าลึกของหุบเขาปู้กุย

……………………………….

ในเมืองซูหนาน นับวันก็ยิ่งครึกครื้น

ทางเจ้าเมืองได้จัดเตรียมสถานที่สำหรับงานประลองชิงเจียวเรียบร้อย

ในเมืองซูหนาน หัวข้อของการสนทนาทั้งหมดล้วนหนีไม่พ้นงานประลองชิงเจียว โรงเตี๊ยมในเมืองมีผู้คนจองไว้เต็มแล้ว คนที่มาสายก็ต้องเช่าจวนชาวบ้านธรรมดา สำหรับคนที่มีกำลังไม่พอหรือว่ายากจนก็ได้เพียงไปขออาศัยในวัดวาอารามหรือไม่ก็สถานที่รกร้าง

อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครอยากพลาดงานประลองชิงเจียวครั้งนี้ เพราะเป็นโอกาสที่จะสามารถอยู่เหนือกว่าผู้อื่นและเปลี่ยนแปลงโชคชะตาชีวิตได้!

ไม่ว่าใครต่างก็คาดหวังที่จะสามารถเปล่งประกายในงานประลองชิงเจียว เผื่อจะเตะตาสำนักหลิงอู๋ที่มาจากเมืองหลวงหรือสถาบันไป๋หยวน ก้าวขึ้นสู่เส้นทางแห่งความสำเร็จ จากไก่กาจะกลายเป็นหงส์บ้าง

ในจวนเจ้าเมืองเมืองซูหนาน เฮ่อเหลียนเฟิงกำลังต้อนรับแขกผู้ทรงเกียรติ ในงานประลองชิงเจียวเช่นนี้ หลิงเจี้ยงระดับแปดได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี คนเหล่านั้นเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากคนของสำนักหลิงอู๋กับสถาบันไป๋หยวน

สำนักหลิงอู๋เป็นสำนักที่ราชวงค์โฮ่วจิ้นได้ก่อตั้งขึ้น เป็นแหล่งสร้างและฝึกฝนหลิงซือให้แก่อาณาจักร ลูกศิษย์ส่วนมากมาจากขุนนางและเชื้อพระวงค์ชั้นสูง เมื่อสำเร็จการศึกษา จะได้เข้าไปรับใช้ในกองทัพ สร้างผลงานดีเด่น ได้รับยศถาบรรดาศักดิ์ กล่าวได้ว่าถ้าได้เข้าไปในสำนักหลิงอู๋ มีทั้งความร่ำรวยและตำแหน่ง

ส่วนสถาบันไป๋หยวนจะพิเศษกว่าตรงที่ว่าไม่ได้อยู่ภายใต้อำนาจของราชวงค์โฮ่วจิ้น การดำรงอยู่ของสถาบันไป๋หยวนมีก่อนหน้าราชวงศ์ไม่ว่าราชวงศ์จะผ่านไปกี่ยุคสมัยสำนักนี้ยังคงยืนหยัดบนแผ่นดินนี้ไม่เปลี่ยน แม้ว่าสถาบันไป๋หยวนไม่มีภูมิหลังเกี่ยวข้องกับราชวงศ์ แต่ก็ยังคงมีสถานะเหนือกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการรับสมัคร ไม่ว่าจะเป็นศิษย์ที่มาจากชนชั้นสูงหรือต่ำ เพียงมีพรสวรรค์ที่ได้รับการยอมรับจากสถาบันไป๋หยวน ต่างก็สามารถมาร่ำเรียนได้

“ผู้เฒ่าอู๋ ท่านอาจารย์หนาน เฮ่อเหลียนเฟิงเชิญชวนท่านสองร่วมดื่มฉลองให้กับสำนักหลิงอู๋และสถาบันไป๋หยวน หวังว่าในงานประลองชิงเจียว พวกท่านจะเลือกต้นกล้าที่ดีได้” เฮ่อเหลียนเฟิงยกจอกสุราที่วางอยู่บนโต๊ะ พร้อมกล่าวกับแขกอันทรงเกียรติตรงหน้า

คนที่นั่งร่วมด้วยในวงรอบนอก นอกจากคนของจวนเจ้าเมืองเองแล้ว ยังมีคนของสำนักหลิงอู๋กับสถาบันไป๋หยวนอีกด้วย แน่นอน เขาเป็นถึงเจ้าเมืองของราชวงศ์โฮ่วจิ้น กล่าวต้อนรับเพียงผู้เฒ่าอู๋และท่านอาจารย์หนานที่รับผิดชอบคัดเลือกรอบนี้ก็พอ

แขกผู้มีเกียรติท่านอื่นต่างยกจอกเพื่อดื่มร่วมกับเฮ่อเหลียนเฟิง

ทว่าทันใดนั้น มีเสียงดังเข้ามาว่า “เรียนท่านเจ้าเมือง องค์หญิงอันผิงเสด็จขอรับ”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!