วันที่เขียน 15 มกราคม 2567
ฤทัยเทวา
Chapter 1
จักรสำริด
แพรพรรณ บูรณา บุตรสาวของดร.พัน บูรณา และคุณหญิงแพรทอง บูรณา กำลังวิ่งลงบันไดลงไปหาคุณพ่อคุณแม่ด้วยความดีใจ เสียงหวานใสดังนำหน้ามาก่อนเจ้าตัว “คุณพ่อคุณแม่ขา”
ทำให้ดร.พันยิ้มรับด้วยความเอ็นดู ส่วนคุณหญิงพแพรทองเห็นลูกสาววิ่งลงบันไดมาก็ดุด้วยความเป็นห่วงว่า “ยัยพรรณอย่าวิ่งซิลูกเดี๋ยวหกล้มตกบันไดลงมาหรอก”
คุณหญิงดุยังไม่ทันขาดคำ แพรพรรณก็วิ่งมาถึงตัวพร้อมกับโถมเข้ากอดด้วยความคิดถึง “คิดถึงคุณแม่ที่สุดในโลกเลยค่ะ”
เสียงหวานออดอ้อนแม่พร้อมกับยื่นหน้าไปหอมแก้มฟอดใหญ่
คุณหญิงกอดตอบลูกสาวพลางหอมแก้มด้วยความคิดถึง “แม่ก็คิดถึงลูกเหมือนกันจ๊ะ”
“มาให้พ่อกอดด้วยซิ” ดร.พันเดินไปกอดทั้งคู่พร้อมกับก้มลงหอมแก้มลูก “ชื่นใจจริงๆ”
“ของฝากค่ะคุณพ่อไหนล่ะคะของฝากของพรรณที่คุณพ่อโทรมาบอกว่าพรรณจะต้องชอบมากแน่ๆน่ะ” แพรพรรณทวงของฝากทันทีพร้อมกับทำตาอ้อน
“เจอหน้าก็ทวงของฝากเลยเชียวนะไอ้ลูกคนนี้นี่ ไอ้ที่รีบวิ่งมานี่เพราะอยากได้ของฝากมากกว่าคิดถึงพ่อแม่เสียอีก เฮ้อ…มันน่าน้อยใจจริงๆเลย” ดร.พันแกล้งว่าพลางขยี้หัวลูกอย่างเอ็นดู แล้วผละจากทั้งคู่เดินไปเปิดกระเป๋าเอกสารสีดำที่คนรับใช้เอามาวางไว้บนโซฟารับแขก
“เห็นไหมคุณพ่อน้อยใจไปซะแล้ว” คุณหญิงแกล้งว่ายิ้มๆ แล้วรุนหลังลูกให้ไปง้อพ่อ
“แหมคุณพ่อขาอย่างอนนะคะ พรรณคิดถึงคุณพ่อคุณแม่มากที่สุดเลย คุณพ่อคุณแม่ไปเชียงใหม่ตั้งหลายวันพรรณกินข้าวคนเดียวอยู่บ้านคนเดียวเหงามากเลยนะคะ” แพรพรรณเข้าไปโอบเอวพ่อในขณะที่ผู้เป็นพ่อกำลังรื้อของออกจากกระเป๋า ดวงตาคู่สวยมองข้าวของที่ถูกหยิบออกมากองอย่างสนใจ
“อ้าวแล้วพี่ทองไปไหนละลูก? ทำไมปล่อยให้หนูอยู่บ้านคนเดียวล่ะ?” ดร.พันถามถึงลูกชายคนโตของตัวเอง ทั้งๆที่ยังไม่หยุดรื้อของออกจากกระเป๋า แพรพรรณจึงผละจากพ่อไปนั่งที่โซฟา ใบหน้างดงามจิ้มลิ้มงอเป็นม้าหมากรุก “คุณแม่ขาคุณพ่อลืมอีกแล้วค่ะว่าพี่ทองไปออกค่ายอาสา”
เธอฟ้องแม่ยิ้มๆ คุณหญิงเดินไปนั่งข้างลูก แล้วหันไปถามสามีว่า “คุณลืมไปแล้วเหรอคะว่าตาทองไปออกค่ายอาสาที่แม่ฮ่องสอนมะรืนถึงจะกลับน่ะค่ะ”
“เออจริงซิ ผมลืมไปสนิทเลยว่าเจ้าทองไปออกค่ายกับเพื่อน” ดร.พันตบหน้าผากตัวเองเมื่อนึกขึ้นได้ แล้วก็รื้อกระเป๋าต่อ
“แล้วนี่คุณหาอะไรอยู่คะ?” คุณหญิงมองดูสามีรื้อของออกมาวางจนเต็มโต๊ะไปหมด
“ผมหาของฝากยัยพรรณนะซิ” ดร.พันตอบแล้วก็บ่นกับตัวเองว่า “จำได้ว่าเอาใส่ไว้ในนี้นะ เอ…ไปไหนละเนี่ย?”
คุณหญิงยิ้มน้อยๆ อย่างอ่อนใจกับนิสัยขี้ลืมของสามี
“ของฝากยัยพรรณคุณเอาใส่กระเป๋าเสื้อผ้าไว้เองตอนจัดกระเป๋าไงคะ” เธอบอกพร้อมกับชี้ไปที่กระเป๋าเสื้อผ้าใบใหญ่ที่คนรับใช้ยกมาวางไว้ข้างโซฟา
“เออจริงซินะ ผมลืมไปได้ไง” แล้วดร.พันก็หันไปเปิดกระเป๋าเสื้อผ้าทันที
“เออจริงซินะ” คุณหญิงแพรทองกับแพรพรรณพูดล้อประโยคฮิตติดปากของดร.พันพร้อมๆ กัน แล้วสองแม่ลูกก็หัวเราะกันอย่างสนุกสนาน
“ล้อเลียนกันเข้าไป เดี๋ยวเถอะ!” ดร.พันหันมาทำตาดุแกล้งงอน แล้วก็หันกลับไปหาของต่อ
“อ่ะ! เจอแล้วๆ นี่ไงของฝากของยัยพรรณ” เขาบอกอย่างดีใจพร้อมกับหยิบกล่องกำมะหยี่สีแดงออกมาอย่างถนุถนอม แล้วยื่นส่งให้ลูกด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ “ของฝากสุดพิเศษของหนูไง”
“อะไรคะคุณพ่อ” แพรพรรณถาม ยื่นมือไปรับของฝาก ดร.พันยิ้มไม่ยอมตอบ
“เปิดดูเลยซิลูก พ่อว่าหนูต้องชอบมากแน่ๆ” เขาคะยั้นคะยออย่างตื่นเต้น แพรพรรณมองกล่องกำมะหยี่สีแดงในมือก็ทำหน้าแหยงๆ อึ๋ย!…คงไม่ใช่พวกสร้อย…แหวน…กำไล…หรอกนะ
“เปิดดูซิลูก แม่ว่าหนูคงจะชอบ” คุณหญิงคะยั้นคะยออีกคน ทำให้แพรพรรณทำหน้าสงสัย เอ…ข้างในเป็นอะไรล่ะหว่า?
เธอค่อยๆ เปิดฝากล่องออก พอเห็นของข้างในกล่องเธอก็ตาโตทันที “ว๊าว!”
“เป็นไงชอบไหมล่ะยัยพรรณ?” ดร.พันถามพร้อมกับยิ้มหน้าบานที่เห็นลูกทำตาโตชื่นชอบของฝาก
“ขอบคุณค่ะคุณพ่อ” แพรพรรณพูดขอบคุณแล้วยิ้มแย้มอย่างถูกอกถูกใจ “สวยจังเลยค่ะ” เธอค่อยๆ หยิบใบจักรโลหะสีดำออกมาจากกล่องอย่างถนุถนอม
“สวยใช่ไหมละ จ้องตาไม่กระพริบเชียวนะ” ดร.พันแซวพลางหันไปขยิบตากับภรรยา แล้วก็หันไปถามลูกว่า “ถูกใจไหมล่ะลูก?”
แต่แพรพรรณไม่ได้ฟังพ่อเลย เธอจ้องมองใบจักรสีดำอย่างชื่นชอบเหมือนเด็กๆ ได้ของเล่นถูกใจ
“เก่าด้วยนะลูก พ่อไปเจอในร้านขายของเก่าที่เชียงใหม่ คนขายเขาว่าอายุมากกว่าร้อยปีเชียวนะ” ดร.พันบอกแล้วเดินไปนั่งข้างๆ ลูก “แต่เนื้อโลหะยังดูใหม่อยู่เลยพ่อว่าน่าจะอายุซัก 70 ปีขึ้นไปแต่ไม่น่าจะเกิน 100 ปีแน่ๆ”
แพรพรรณไล้นิ้วไปตามลวดลายบนใบจักรพร้อมกับฟังพ่อพูดไปด้วย
“แต่เนื้อโลหะคล้ายๆ กับจะเป็นสำริด แต่ก็ไม่ใช่สำริดล้วนๆ หรอกนะ เหมือนกับสำริดผสมเงินผสมทองคล้ายๆ กับวิธีตีกริชของเกาะชวาอย่างงั้นแหละ”
คนรับใช้เดินเข้าไปบอกกับคุณหญิงว่า “ตั้งโต๊ะเสร็จแล้วค่ะ”
คุณหญิงพยักหน้ารับแล้วก็หันไปขัดคอสามีว่า “เอาไว้ค่อยบรรยายต่อหลังทานอาหารดีไหมคะคุณ ตอนนี้ไปกินข้าวกันก่อนดีกว่า เด็กๆเขาตั้งโต๊ะเสร็จแล้วค่ะ”
เธอรู้ดีว่าถ้าไม่ขัดคอเช่นนี้รายการสาธยายเกี่ยวกับของฝากชิ้นนี้จะยื้ดเยื้อต่อไปอีกนาน
“ถ้างั้นพรรณเอาของไปเก็บบนห้องก่อนนะคะคุณแม่” แพรพรรณบอกแล้วรีบเก็บของฝากลงกล่อง
เธอลุกขึ้นยืนแล้วหันไปบอกพ่อกับแม่เมื่อนึกขึ้นได้ว่า “วันนี้ป้าพิมทำข้าวหมกไก่กับกล้วยเชื่อมมาให้ด้วยค่ะ”
“จ้าลูก แล้ว…” คุณหญิงบอกยังไม่ทันจบแพรพรรณก็รีบถือของฝากวิ่งขึ้นบันไดไปข้างบนซะแล้ว “เฮ้อ…ยัยพรรณนี่จริงๆเลยนะ”
เธอส่ายหน้าระอากับความใจร้อนของลูก ดร.พันหันไปสั่งคนรับใช้ “เอ้า…เด็กๆ มาเอากระเป๋าไปเก็บบนห้องได้แล้ว”
จากนั้นเขาก็หันไปโอบเอวภรรยา “แหมวันนี้พี่พิมทำข้าวหมกไก่มาให้ยังกับรู้ว่าพวกเราจะกลับมาเลยนะ”
“จะไม่รู้ได้ไงคะก็คุณโทรบอกพี่พิมเองว่าจะกลับมาวันนี้ ลืมอีกแล้วนะคะ คุณเนี่ยขี้ลืมจริงๆ เลย” คุณหญิงเลยตีแขนสามีทีนึงด้วยความหมั่นใส้
“เออจริงซินะ แหะๆๆๆ” ดร.พันนึกขึ้นได้แล้วก็หัวเราะเขินๆ
แพรพรรณวิ่งขึ้นบันไดไปจนถึงห้องนอนตัวเอง เธอก็รีบเปิดประตูห้องเอาของฝากวางไว้บนโต๊ะทำงาน ขณะที่กำลังจะหมุนตัวออกจากห้องก็ได้ยินเสียงดังมาจากข้างหลัง เป๊าะ!
เธอหันไปดูทันที
“เฮ้ย!” เธอตกใจยืนตะลึงค้าง เมื่อเห็นฝากล่องของฝากเปิดอ้าออกพร้อมกับใบจักรในกล่องค่อยๆ ลอยขึ้นมาอยู่กลางอากาศ
ฉับพลัน! ใบจักรก็หมุนวนติ้วๆ พร้อมกับเปล่งแสงสีรุ้งออกมา แล้วสรรพสิ่งรอบๆ ตัวแพรพรรณก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป รอบๆ ตัวเต็มไปด้วยผู้คนแต่งกายงดงาม แต่ละคนมีแสงรัศมีสีเงินจางๆ ระยิบระยับล้อมรอบร่างกายเอาไว้ ผู้คนเหล่านั้นวิ่งวุ่นขวักไขว่กันไปหมด
“เอ๊ะ อะไรกันเนี่ย?” แพรพรรณมองตามคนเหล่านั้นอย่างงุนงง
“ทางนี้ไม่มี”
“ทางนั้นมีหรือไม่?”
“ทางนั้นล่ะพบรึไม่?” เสียงอึงอลดังก้องไปทั่วประหนึ่งดั่งว่าพวกเขาเหล่านั้นกำลังตามหาอะไรซักอย่างกันอยู่
“พวกเจ้าหาเจอรึยัง?” เสียงถามก้องกังวานทรงอำนาจดังมาจากผู้ชายคนหนึ่งซึ่งสวมอาภรณ์สีแดงอ่อน รอบๆ ตัวชายคนนั้นเปล่งรัศมีสีแดงทับทิมเจิดจ้า แล้วผู้คนที่วิ่งขวักไขว่กันอยู่ต่างก็พากันหมอบลงกับพื้น
“ขอเดชะองค์เทวะ พวกข้าเพียรหาแล้วแต่ก็ไม่พบจักรอัคคีเลยพระเจ้าข้า” ผู้ชายคนหนึ่งที่หมอบอยู่ใกล้กับชายผู้ซึ่งมีรัศมีสีทับทิมบอกด้วยน้ำเสียงสั่นสะท้าน
“ช่างเถอะเรื่องจักรอัคคีเดี๋ยวค่อยหาต่อ ตอนนี้มีเรื่องสำคัญกว่า พระศุกร์กำลังจะเสด็จมาที่นี่ พวกเจ้าเตรียมการต้อนรับพระองค์เร็วเข้าเถิด” ชายผู้สวมอาภรณ์สีแดงอ่อนสั่งแล้วก็หมุนตัวเดินลับตาไป
“เอ๋!..องค์เทวะ จักรอัคคี พระศุกร์…” แพรพรรณได้แต่งุนงงกับสิ่งที่ได้ยิน ฉับพลัน! ก็มีเสียงดัง เป๊าะ!
เธอสะดุ้งเฮือก “เอ๊ะ!”
ไม่มีผู้คนแต่งกายงดงามระยิบระยับอีกแล้ว มีแต่ห้องนอนของตัวเอง เธอมองไปรอบๆ ห้องอย่างงุนงง “เมื่อกี้นี้มันอะไรหว่า?”
แล้วพอมองไปที่โต๊ะทำงาน กล่องของฝากยังวางอยู่ที่เดิม ฝากล่องก็ไม่ได้เปิดออก
“อะไรกันเนี่ยฉันฝันกลางวันรึไง?” เธอถามตัวเองพลางนิ่งคิด แล้วก็ตอบเองว่า “ก็ไม่ได้หลับซักหน่อยจะฝันได้ไงล่ะ”
“เอ…หรือว่าจะเห็นภาพหลอนกันนะ” เธอคิดหาเหตุผลอย่างงงๆ แล้วเธอก็ว่าตัวเองทันที “โอ้ยตาย…ท่าจะบ้าแล้วเราเนี่ย”
ครั้นพอนึกขึ้นได้ว่า “อุ้ย!…คุณพ่อคุณแม่รออยู่นี่น่า”
เรือนร่างระหงก็รีบลงไปข้างล่างทันที
พอไปถึงโต๊ะรับประทานอาหาร ดร.พันกับคุณหญิงแพรทองนั่งรออยู่แล้ว แพรพรรณจึงรีบไปนั่งข้างแม่
“ช้าจังเลยลูกมัวทำอะไรอยู่ล่ะ” คุณหญิงต่อว่าไม่ได้คิดจะดุจริงจัง แพรพรรณจึงรีบประจบว่า “อย่าดุนักซิคะคุณแม่ เดี๋ยวจะแก่เร็วนะคะ”
“เดี๋ยวเถอะ ยัยพรรณนี่ ดูพูดจาเข้าซิ แก่แดดใหญ่แล้วนะเรา” คุณหญิงแกล้งดุแล้วเงื้อมือจะตีลูก ดร.พันจึงรีบหันไปสั่งคนรับใช้ว่า “เอ้า ตักข้าวได้แล้วล่ะ มัวชักช้าเดี๋ยวคุณหญิงจะกลายเป็นนางยักษ์ไปซะก่อน”
แล้วเขาก็หันไปยิ้มล้อภรรยา ทำให้คุณหญิงเบนเข็มไปตีแขนสามีแทน เพี๊ยะ!
“นี่แน่ะ! คุณนี่ล่ะก็…” คุณหญิงค้อนขวับ
“อู้ย! ผมเจ็บนะคุณ” ดร.พันรีบลูบแขนตัวเองใหญ่
“นางฟ้าเริ่มกลายเป็นนางยักษ์ไปซะแล้ว” เขาพูดลอยๆ ทำให้ทุกคนหัวเราะคิกคัก ยกเว้นคุณหญิงคนเดียวที่ไม่ขำ วงหน้างามสง่าเชิดขึ้นอย่างนึกเคืองสามี “เดี๋ยวเถอะคุณ!”
คนรับใช้จึงรีบตักข้าวเสิร์ฟ
“รีบๆ กินข้าวเถอะค่ะเดี๋ยวอาหารจะเย็นซะหมด” คุณหญิงบอกพร้อมกับตักกับข้าวให้สามีกับลูก
สามคนพ่อแม่ลูกกินข้าวไปก็คุยกันไป ดร.พันเล่าถึงงานแต่งของลูกสาวเพื่อนที่เชียงใหม่ว่าจัดงานใหญ่โตหรูหราขนาดไหนให้ลูกฟัง แล้วก็กระเซ้าว่า “เอ แล้วเมื่อไหร่พ่อจะได้จัดงานให้หนูซักทีละ?”
“คุณพ่อก็รอให้พรรณหาแฟนให้ได้ก่อนเถอะค่ะ” แพรพรรณตอบแล้วก็จิ้มผลไม้เข้าปาก
“ก็นั่นแหละ เมื่อไหร่หนูจะหาแฟนได้ล่ะลูก อายุก็ 22 แล้วนะ เรียนก็จบแล้วเลือกมากเดี๋ยวก็ขึ้นคานหรอก” ดร.พันแกล้งว่า
“ไว้รอให้พรรณจบโทก่อนดีกว่าค่ะคุณพ่อค่อยพาแฟนมาอวด” แพรพรรณบอกแล้วก็หันไปหากองสนับสนุนทันที “ดีไหมคะคุณแม่?”
คุณหญิงจึงรีบรับมุขลูกว่า “ดีลูก จบโทแล้วมีแฟน แต่งงานก็ยังไม่สายหรอกลูก อย่าไปเชื่อคุณพ่อมาก เกิดเจอผู้ชายไม่ดีเข้ามีแต่จะช้ำใจ”
แล้วเธอก็ถามต่อว่า “แล้วนี่หนูคิดจะต่อโทที่ไหนล่ะลูก?”
“ก็ที่เดิมนั่นแหละค่ะ พรรณไปสมัครไว้แล้ว รอแต่งบประมาณสนับสนุนจากคุณพ่อคุณแม่นี่แหละค่ะ” แพรพรรณตอบพร้อมกับยิ้มประจบแม่
“เท่าไหร่ละลูกบอกมาเลยเดี๋ยวแม่โอนเข้าบัญชีให้” คุณหญิงบอกพร้อมลูบหัวลูกอย่างเอ็นดู
“เย้! รักคุณแม่ที่สุดเลยค่ะ ขอบคุณค่ะคุณแม่” แพรพรรณไหว้ขอบคุณแล้วหอมแก้มแม่ฟอดใหญ่ๆ
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้วดร.พันและคุณหญิงแพรทองก็แยกตัวไปพักผ่อนเพราะเหนื่อยจากการเดินทาง แพรพรรณจึงกลับไปห้องนอนของตัวเอง พอเข้าไปในห้องเธอก็หยิบกล่องของฝากเดินมานั่งบนเตียงนอน มือเรียวสวยเปิดกล่องออกแล้วหยิบใบจักรออกมา
“เอ…จะเอาวางไว้ตรงไหนดีนะ?” เธอมองหาที่ที่จะวางใบจักรไว้ประดับห้อง ใบหน้างดงามหันซ้ายหันขวามองไปรอบๆ
“อ่ะ…ตรงนี้แหละเหมาะที่สุด” แล้วเธอก็หยิบรูปของตัวเองออกจากขาตั้งบนโต๊ะข้างหัวเตียงออกแล้วเอาใบจักรไปวางไว้แทน เธอเก็บรูปของตัวเองใส่ลิ้นชักใต้โต๊ะ หลังจากนั้นก็เดินเข้าห้องน้ำถอดเสื้อผ้าอาบน้ำ “ลัน…ลั๊น…ล้า…”
พออาบน้ำเสร็จเธอก็มานั่งพับเพียบเรียบร้อยบนเตียงนอน เธอพนมมือขึ้นระหว่างอกแล้วก็เริ่มสวดมนต์ก่อนนอน ขณะกำลังสวดมนต์ก็ได้กลิ่นดอกไม้หอมๆ กลิ่นหอมโชยกลิ่นฟุ้งกระจายไปทั่วทั้งห้อง
“เอ๊ะ!…กลิ่นอะไรหอมจังเล…” พูดยังไม่ทันจบเรือนร่างอรชรก็ฟุบหลับไปทันที ฉับพลัน! ใบจักรข้างหัวเตียงก็เปล่งแสงสีรุ้งสว่างเจิดจ้า แสงสีรุ้งลอยเข้ามาล้อมรอบตัวหญิงสาวเอาไว้จนมองไม่เห็นสิ่งใดนอกจากแสงสีรุ้งระยิบระยับ
แพรพรรณค่อยๆ ลืมตาขึ้น ภาพแรกที่สะท้อนเข้านัยน์ตาคือแสงสีเขียวระยิบระยับประดุจประกายแสงมรกต
“เอ๊ะ! แสงอะไรหว่า?” เธอค่อยๆ ยันกายลุกขึ้นนั่งแล้วมองไปรอบๆ ด้วยความงุนงง แล้วก็พบว่าตัวเองกำลังนั่งอยู่บนพื้นหญ้าสีเขียวเปล่งแสงสีเขียวมรกตระยิบระยับ ครั้นพอมองไปรอบๆ ตัวเธอก็อุทานอย่างงุนงงว่า “เอ๊ะ! ที่นี่ที่ไหนหว่า?”
แต่พอเห็นดอกไม้หลากสีสันเปล่งแสงระยิบระยับดุจแสงอัญมณีเธอก็ร้องอุทานอย่างลืมตัวว่า “โห…สวยจัง มีแต่ดอกไม้เต็มไปหมดเลย”
พลัน! เธอก็นึกขึ้นได้ว่า “เอ๊ะ! ก็เรากำลังสวดมนต์ก่อนนอนอยู่นี่น่า”
แล้วเธอก็ก้มลงมองตัวเอง “เอ๋! ก็ชุดนอนตัวเดิมนี่”
มือเรียวสวยลูบไปตามชุดนอนกระโปรงผ้าซาตินสีฟ้าอ่อนที่สวมอยู่บนตัวอย่างงงๆ ฉับพลัน! เธอก็คิดได้ว่า “เอ…สงสัยเราคงกำลังฝันอยู่แน่ๆ เลยเน๊าะ”
พอคิดอย่างนั้นแล้วเธอก็หันไปมองรอบๆ ตัวอย่างชื่นชม “ดอกไม้สวยจังเลย”
แล้วเธอก็ลุกขึ้นยืน เดินเข้าไปหาพุ่มดอกไม้ที่อยู่ใกล้ตัวที่สุดพุ่มหนึ่ง เธอก้มลงสูดดมกลิ่นดอกไม้ “ห๊อม…หอม ดอกอะไรเนี่ยหอมจังเลย?”
นิ้วเรียวสวยค่อยๆ ลูบไล้ไปตามกลีบดอกไม้สีชมพูที่เปล่งประกายแสงสีชมพูระยิบระยับดั่งอัญมณีดอกนั้น พอลูบไล้ไปถึงโคนดอก ดอกไม้งามดอกนั้นก็หลุดร่วงจากต้นลงสู่ฝ่ามือเรียวงาม
“อุ้ย!” เธอใช้สองมือประคองดอกไม้เอาไว้ไม่ให้หล่นลงพื้น แล้วเธอก็ถือดอกไม้ดอกนั้นไว้ แล้วยืดกายขึ้นมองไปรอบๆ อย่างชื่นชม “สวยจังเลย”
“เอ๊ะ!? เจ้าเป็นใคร เข้ามาในนี้ได้อย่างไรกัน!?” เสียงทุ้มกังวานทรงอำนาจดังขึ้นด้านหลัง
“อุ๊ย!” แพรพรรณสะดุ้งตกใจ เธอรีบหมุนตัวไปมองทันที เธอเห็นผู้ชายคนหนึ่งยืนห่างจากตัวเองไปประมาณ 5 เมตร ผู้ชายคนนั้นสวมเสื้อผ้าสีแดงอ่อน รอบๆ ตัวเขาเปล่งแสงรัศมีดั่งแสงทับทิมสีแดงเจิดจ้า เมื่อชายคนนั้นเห็นหญิงสาวชัดเจน เขาก็ตะลึงไปชั่วอึดใจ
“เจ้าเป็นมนุษย์นี่! เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไรกัน?” เขาถามแล้วก็เดินเข้าไปหาเธอ จนกระทั่งยืนห่างจากหญิงสาวประมาณ 1 เมตร แต่ก่อนที่แพรพรรณจะได้ตอบคำถามของเขา ก็มีผู้ชายอีกคนหนึ่งสวมชุดสีแดงอิฐเข้ามาคุกเข่าพนมมืออยู่ด้านหลังผู้ชายสวมชุดสีแดงอ่อน ผู้ชายที่เข้ามาใหม่พูดกับชายที่สวมชุดสีแดงอ่อนว่า “ขอเดชะองค์เทวะ พระศุกร์เสด็จมาถึงแล้วพระเจ้าข้า”
ผู้ที่ถูกเรียกว่า ‘องค์เทวะ’ จึงหันไปตรัสกับผู้ชายคนนั้นว่า “ปฐพี เจ้าไปกราบทูลพระศุกร์ว่าเดี๋ยวข้าจะตามไป”
“พระเจ้าข้า” ชายที่ชื่อปฐพีรับคำแล้วก็ลุกขึ้นเดินกลับไปตามทางเดิม ‘องค์เทวะ’ ในชุดสีแดงอ่อนจึงหันไปมองหญิงสาวแล้วตรัสว่า “เจ้าคงจะเป็นวิญญาณที่พลัดหลงมาที่นี่ล่ะซิ”
เขามองหญิงสาวด้วยสายตาอ่อนโยนเปี่ยมไปด้วยเมตตา แพรพรรณทำหน้างงๆ “เอ๋!? วิญญาณเหรอ?” เธอชี้ที่ตัวเองพร้อมกับถามเขาว่า “ฉันเนี่ยนะเป็นวิญญาณ?”