Skip to content

ฤทัยเทวา 4

Cover Rt For Web

Chapter 4

เจอโจรร้าย

“ฮือๆๆๆๆๆ…” มณีรัตนายิ่งร้องไห้หนัก “ฮือๆๆ ข้าคิดถึงเสด็จพ่อเสด็จแม่…ฮือๆๆๆๆ ข้าอยากกลับวัง ฮือๆๆๆ”

แพรพรรณรีบดึงเด็กหญิงไปกอดพลางพูดปลอบว่า “โอ๋ๆ…หยุดร้องไห้นะคนดี๊…คนดี พี่จะพาน้องไปส่งเองนะ หยุดร้องไห้นะจ๊ะ”

มณีรัตนาเงยหน้ามองพร้อมกับถามปนสะอื้นว่า “ฮือๆ…ท่านจะพาข้ากลับวังจริงๆนะ ฮือๆๆๆ”

“จริงซิจ๊ะ” แพรพรรณพยักหน้า มณีรัตนายกมือปาดน้ำตาทิ้งแล้วพูดว่า “ฮือๆ…สัญญานะ”

“จ้ะ…สัญญาจ้ะ” แพรพรรณรับปาก มณีรัตนาค่อยๆ หยุดสะอึกสะอื้น “อึก…อึก…”

แพรพรรณช่วยเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้าจิ้มลิ้มพริ้มเพราพลางถามว่า “แล้วน้องรัตนาพอจะจำทางกลับบ้านได้รึเปล่าจ๊ะ?”

มณีรัตนาส่ายหน้าแล้วตอบว่า “ข้าจำไม่ได้หรอก ไอ้นักพรตชั่วนั่นมันพาข้าเหาะมาจากอมรานครจ้ะ”

“เหาะ!” แพรพรรณตกใจ! เธออุทานในใจ ‘โอ๊ยตาย!’

แล้วเธอก็ถามย้ำให้แน่ใจว่าตัวเองฟังไม่ผิด “เหาะมางั้นเหรอจ๊ะ?”

เธอนึกอยากให้ตัวเองฟังผิดไป แต่เด็กหญิงพยักหน้าหงึกๆ “จ้ะพี่พรรณ เหาะมาจ้ะ แต่ข้าจำได้แต่ว่ามันพาข้าเหาะมาทางทิศประจิมจ้ะ”

“ทิศประจิมเหรอ!?” แพรพรรณถามย้ำ มณีรัตนาก็พยักหน้าตอบ “จ้ะพี่พรรณ”

แพรพรรณนึกชื่อทิศแล้วก็พึมพำกับตัวเอง “ทิศประจิมก็ทิศตะวันตกซินะ”

เธอครุ่นคิดวาดทิศทางคร่าวๆ ในใจ “ถ้างั้น…ถ้าจะไปอมรานครก็ต้องไปทางทิศตะวันออกหรือทิศบูรพาซินะ”

มือเล็กกลมป้อมเอื้อมมาจับมือหญิงสาวประหนึ่งว่าเธอคือความหวังเดียวที่มี ณ ขณะนี้

“ถ้างั้นพวกเราคงต้องหาทางออกจากป่านี้กันก่อนล่ะจ้ะ” เธอบอกพร้อมกับลูบศีรษะเล็กทุย พลัน! เสียงกรีดก็ร้องดังแว่วมา “กรี๊ด!…ปล่อยข้านะ! ได้โปรดปล่อยข้าเถิด”

“เอ๊ะ!…เสียงอะไรน่ะ!?” แพรพรรณตกใจสะดุ้งเฮือก มณีรัตนาก็ตกใจโผเข้ากอดหญิงสาวไว้ทันที

“พี่พรรณ นั้นเสียงอะไรหรือ?” เด็กหญิงถามเสียงสั่นกลัว แพรพรรณจึงเงี่ยหูฟังเสียง

เคร้ง!…เคร้ง!…เคร้ง!… เสียงโลหะกระทบกันดังแว่วอยู่ไม่ไกลนัก พร้อมกับเสียงตะโกนว่า “ฆ่าพวกมันให้หมด!”

แล้วก็มีเสียงกรีดร้องโหยหวน “กรี๊ด!…”

ผสมกับเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด “โอ๊ย!”

หลังจากนั้นก็มีเสียงตะโกนสั่ง “ลากตัวสตรีออกมา! นอกนั้นฆ่าให้หมด!”

จากนั้นก็มีเสียงกรีดร้องขอความช่วยเหลือดังแว่วมา “กรี๊ด!…ช่วยด้วย!”

เสียงทั้งหมดผสมปนเปดังแว่วมาให้ได้ยิน

“เสียงเหมือนคนฆ่ากันนะน้องรัตนา” แพรพรรณบอก แล้วชะเง้อชะแง้หันไปมองตามทิศทางที่ได้ยินเสียง

“ใกล้ๆ นี่เอง” เธอคำนวณระยะทางคร่าวๆ จากเสียงที่ได้ยินแล้วก็บอกว่า “ไปดูกันเถอะนะน้องรัตนา”

“จ้ะพี่พรรณ” มณีรัตนาพยักหน้าแล้วเกาะหญิงสาวแน่นอย่างหวาดกลัว

ทั้งสองคนจึงค่อยๆ เดินไปตามทิศทางที่ได้ยินเสียง ทั้งคู่เดินเลียบลำธารเล็กๆ ไปตามปลายลำน้ำจนกระทั่งได้ยินเสียงต่อสู้ดังชัดขึ้นเรื่อยๆ

“หลบเร็ว!” แพรพรรณรีบฉุดมณีรัตนาให้หลบหลังโขดหิน อีกฟากหนึ่งของลำธารดูเหมือนจะเป็นหมู่บ้าน มีชายฉกรรจ์สามคนอยู่บนหลังม้าถือดาบไล่ฆ่าฟันผู้คนอย่างโหดเหี้ยม แพรพรรณค่อยๆโผล่หน้าออกไปชะเง้อมอง

“พวกโจรแน่ๆ” เธอพึมพำบอกตัวเอง มณีรัตนาก็ชะเง้อแอบมองเช่นกัน ร่างเล็กกลมป้อมสั่นสะท้านไปทั้งตัวอย่างหวาดกลัว ทั้งคู่เห็นผู้ชายอีกสองคนเที่ยวไล่ฉุดคร่าผู้หญิงอย่างไร้ความปราณี

จนกระทั่งผู้ชายคนหนึ่งบนหลังม้าตะโกนบอกว่า “ไปโว้ย! ฮ่าๆๆๆ”

แล้วชายผู้นั้นก็กระชากตัวหญิงสาวคนหนึ่งฉุดขึ้นม้าไปด้วย พวกที่เหลือก็พากันฉุดคร่าหญิงสาวอีกสองคนที่เหลืออยู่ขึ้นม้าตามไป อีกสองคนที่อยู่บนพื้นก็รีบตวัดตัวขึ้นหลังม้าแล้วควบม้าตามพรรคพวกไปทันที พอพวกนั้นไปหมดแล้วก็ไร้ซึ่งเสียงใดๆ อีก แพรพรรณจึงหันไปพูดกับเด็กหญิงว่า “พวกนั้นไปหมดแล้ว เราเข้าไปดูกันเถอะ”

“ไม่!…ข้ากลัว” มณีรัตนาปฏิเสธพร้อมกับรั้งแขนหญิงสาวแน่น แพรพรรณจึงบอกว่า “พี่ก็กลัวจ้ะ แต่พวกนั้นไปกันหมดแล้ว แล้วอีกอย่างพี่ก็อยากรู้ด้วยว่ามีใครรอดตายหรือเปล่า”

เธอลูบศีรษะเล็กทุยปลอบประโลม

“ถ้ามีคนรอด…อย่างน้อยพวกเราจะได้ถามทางออกจากป่านี้ได้ไงจ๊ะ” เธอยกเหตุผลมาอ้างหวังจูงใจให้เด็กหญิงนึกอยากไปที่หมู่บ้านนั้น มณีรัตนาฟังเหตุผลของหญิงสาวแล้วก็คิดตาม แล้วพยักหน้า “จ้ะ…พี่พรรณ”

แล้วเด็กหญิงก็เกาะแขนหญิงสาวไว้แน่นอย่างหวาดกลัวจนตัวสั่น แพรพรรณเองก็หวาดกลัวจับใจเช่นกัน แต่ด้วยความอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับหมู่บ้านแห่งนี้บ้างทำให้เธอจำต้องข่มความกลัวแล้วกล้าที่จะเข้าไปดู ทั้งคู่ค่อยๆเดินข้ามลำธารเข้าไปในหมู่บ้าน แพรพรรณกำมือเล็กกลมป้อมไว้แน่น มือเรียวสวยเย็นเฉียบชื้นเหงื่อ เด็กหญิงเองก็เช่นกัน กำมือหญิงสาวไว้แน่นพร้อมกับกลืนน้ำลายลงคออย่างหวาดๆ ทั้งสองคนเดินจับมือกันแน่น แล้วพากันเดินสำรวจไปทั่วหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ ทั้งหมู่บ้านเงียบสงัดเต็มไปด้วยศพคนตาย ทั้งเด็กเล็ก…คนแก่คนเฒ่า…ผู้ชาย…ผู้หญิง…นอนตายกันอย่างน่าสยดสยอง

“มีแต่คนตายทั้งนั้นเลยพี่พรรณ” เสียงใสพูดเบาหวิวสั่นสะท้าน มือข้างที่ว่างยกปิดปากตัวเองอย่างพยายามฝืนกลั้น แพรพรรณเองก็มีสภาพไม่ต่างไปจากเด็กหญิง ใบหน้างดงามซีดเผือดไร้สีเลือด แข้งขาพาลจะอ่อนเปลี้ยเพลียแรงขึ้นมาเสียเฉยๆ นี่ถ้าหากเมื่อกี้นี้โจรพวกนั้นมันเห็นเธอเข้า ‘อึ๊ย!…ไม่อยากจะคิด…ตัวเราเองคงมีสภาพไม่ต่างจากผู้หญิงพวกนั้นแน่!’

“อ๊วก!…” ทั้งคู่ขย้อนอาหารที่เพิ่งกินเข้าไปจนหมดไส้หมดพุง

“พี่พรรณ ข้าว่าพวกเรารีบไปจากที่นี่กันเถอะ ข้ากลัว” มณีรัตนาเช็ดปากแล้วหันไปเขย่าแขนหญิงสาวพลางพูดว่า “หากไอ้พวกนั้นย้อนกลับมาพวกเราคงตายแน่”

เสียงใสสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัวจนหญิงสาวขนลุกซู่! ใช่ซิ…ถ้าไอ้โจรพวกนั้นย้อนกลับมาเจอ…เธอคงถูกพวกมันปู้ยี่ปู้ยำไม่มีชิ้นดีแน่ พลัน! ความคิดหนึ่งก็แล่นวาบเข้ามาในสมอง ‘ชาย…ต้องปลอมเป็นชาย…จึงจะปลอดภัย’

เธอรีบฉุดเด็กหญิงให้เดินไปที่เรือนหลังหนึ่งทันที “น้องรัตนามาทางนี้เร็ว!”

“อะไรจ๊ะพี่พรรณ?” มณีรัตนาถามหน้าตาเหรอหรา

“ช่วยพี่หาเสื้อผ้าผู้ชายเร็ว พี่ต้องปลอมตัวเป็นผู้ชาย” แพรพรรณบอกอย่างร้อนรน

เด็กน้อยพยักหน้าอย่างเข้าใจทันที ‘ใช่แล้ว…หากพี่หญิงปลอมเป็นชาย…คงรอดพ้นจากการฉุดคร่าของพวกโจรแน่’

“ข้าเข้าใจแล้วพี่พรรณ”

แล้วทั้งสองคนก็พากันขึ้นบันไดไปบนเรือน ประตูเรือนเปิดอ้าซ่า ทั้งคู่ก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไป ข้าวของถูกรื้อกระจุยกระจายล้มระเนระนาดเต็มไปหมด ทั้งสองคนจูงมือกันไปยังห้องหนึ่งบนเรือน แพรพรรณผลักบานประตูซึ่งแง้มๆเอาไว้อย่างหวาดๆ

“แอ๊ด!” เสียงบานประตูเปิดออกพาให้ใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ เธอมองเข้าไปภายใน สภาพในห้องถูกรื้อค้นกระจัดกระจายเช่นกัน ทั้งคู่จึงค่อยๆ ก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไป ทั้งสองกวาดตามองไปรอบๆ ห้อง แล้วมณีรัตนาก็กระตุกมืออีกฝ่าย

“พี่พรรณ นั่นไงอาภรณ์” มือกลมป้อมชี้ไปที่กองผ้าบนพื้น หน้าตู้ไม้หลังหนึ่งข้างหน้าต่าง แพรพรรณรีบก้าวเข้าไปทันที “ช่วยพี่หาเสื้อผ้าเร็ว”

แล้วทั้งคู่ก็ช่วยกันรื้อกองผ้ากองนั้นอย่างเร่งรีบด้วยความกลัวว่าพวกโจรอาจจะย้อนกลับมาอีกก็ได้

“พี่พรรณ ข้าเจอเสื้อกับผ้านุ่งแล้วจ้ะ” มณีรัตนายื่นเสื้อสีน้ำตาลแดงกับผ้านุ่งสีครามเข้มให้หญิงสาว

“ขอบใจจ้ะ” แพรพรรณรับมาแล้วก็จัดแจงถอดเสื้อผ้าตัวเองออกอย่างว่องไวเหลือเพียงชุดชั้นใน เธอรีบสวมเสื้อแล้วนุ่งผ้าให้เหมือนกับผู้ชายที่นอนตายอยู่ข้างล่างโดยมีเด็กหญิงเป็นผู้ช่วยแต่งตัวให้

“เดี๋ยวก่อน…พี่พรรณ! ท่านนั่งลงให้ข้ามุ่นผมให้ท่านก่อนเถิด”  มณีรัตนาบอก แพรพรรณจึงรีบนั่งลงบนพื้นกระดาน มณีรัตนาก็จัดแจงรวบผมยาวสลวยเงางามของหญิงสาวเกล้าพันขมวดแล้วม้วนไว้กลางกระหม่อม ผูกด้วยแถบผ้ายาว พอเสร็จสรรพแล้วแพรพรรณก็ดูละม้ายหนุ่มน้อยหน้าหวาน

“พี่พรรณ ข้าว่าไหนๆ พวกเราก็มาเอาของของคนตายแล้ว ข้าว่าพวกเราควรจะต้องมีเสื้อผ้า…ข้าวของ…เครื่องใช้สำหรับเดินทางด้วยนะ” มณีรัตนาเสนอ เพราะเคยได้ยินพระอาจารย์พร่ำสอนเสมอทุกครั้งที่เสด็จพ่อออกประพาสป่ารอบๆ เมือง เด็กหญิงจึงท่องจำขึ้นใจว่า ‘จะเดินทางไปแห่งหนใดต้องตระเตรียมข้าวของให้พร้อมสรรพ’

“จริงซินะน้องรัตนา” แพรพรรณบอกอย่างเห็นด้วย แล้วเธอก็พูดว่า “ถ้างั้นก็จัดไปเลยน้อง”

มณีรัตนาทำหน้างงกับสำนวนของหญิงสาว แต่พอคิดๆ แล้วก็พอจะเข้าใจความหมาย ‘เอ…คงจะหมายความว่าเห็นด้วยกระมัง’

พอคิดได้ดังนั้นเด็กหญิงก็จัดแจงเอาผ้ามาปูแล้วก็หยิบผ้านุ่งอาภรณ์ข้าวของที่ต้องการวางลงไปบนผ้าอย่างที่เคยเห็นนางกำนัลจัดเตรียมข้าวของให้เสด็จแม่ แพรพรรณก็รีบช่วยอีกแรง พอมัดห่อผ้าเสร็จ เธอก็พนมมือขึ้นแล้วพูดว่ “ท่านทั้งหลายที่เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ขอจงได้โปรดยกโทษอโหสิกรรมให้พรรณด้วยเถอะค่ะ พรรณขอเสื้อผ้าข้าวของเครื่องใช้ไปใช้เพื่อเอาชีวิตรอด ขออย่าได้จองเวรจองกรรมต่อพรรณเลยนะคะ แล้วพรรณจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้นะคะ”

มณีรัตนาเห็นหญิงสาวพนมมือจึงพนมมือตาม หลังจากนั้นทั้งสองคนก็ลงจากเรือนด้วยสภาพสะพายห่อผ้าคนละห่อ กระบอกน้ำไม้ไผ่คนละกระบอก แพรพรรณเดินไปหยิบดาบกับฝักดาบที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมา

“คงต้องเอาไปด้วยนะ อย่างน้อยก็ดีกว่าไม่มีอาวุธอะไรเลย” เธอว่าแล้วก็เอาดาบเสียบเข้าไปในฝักดาบแล้วก็เอามาเสียบเหน็บไว้กับผ้าคาดเอว มณีรัตนาจึงหันไปเก็บมีดสั้นที่ตกอยู่ใกล้ตัวขึ้นมา แล้วจัดแจงหาผ้าห่อมีดสั้นแล้วเอาเหน็บเอวไว้บ้าง แล้วมือเล็กกลมป้อมก็เอื้อมไปกระตุกมือหญิงสาว

“พี่พรรณ ข้าว่าพวกเรารีบไปกันเถิดนะ ข้ากลัว” เสียงใสสั่นสะท้านเมื่อมองไปรอบๆตัว

“รีบไปกันเถอะน้องรัตนา เกิดไอ้โจรพวกนั้นมันย้อนกลับมาเจอ พวกเราคงซี้แหงแก๋แน่ๆ จ้ะ” แพรพรรณบอกอย่างนึกกลัว มณีรัตนาทำหน้างง

“ซี้แหงแก๋?” เด็กหญิงทวนคำอย่างงงๆ พลางถามว่า “หมายความว่าอะไรหรือพี่พรรณ?”

“ช่างมันเถอะจ้ะ” แพรพรรณส่ายหน้าขี้เกียจอธิบาย แล้วเธอก็เงยหน้ามองดวงอาทิตย์ “ทิศตะวันออกอยู่ทางนี้”

เธอรีบจูงมือพาเด็กหญิงเดินออกจากหมู่บ้านไปตามทางทิศตะวันออก ซึ่งเป็นคนละทางกับที่พวกโจรมุ่งหน้าไป ทั้งสองคนรีบเดินจ้ำไปตามทางเล็กๆ ซึ่งน่าจะเป็นเส้นทางที่คนในหมู่บ้านใช้เดินเป็นประจำ ทั้งคู่เดินตามทางไปเรื่อยๆ จนทางเดินเล็กๆ นั้นไปสิ้นสุดตรงริมทุ่งหญ้าคากว้างไกลสุดลูกหูลูกตา

“จะทำเช่นไรหรือพี่พรรณ? ไม่มีทางให้เดินแล้ว” มณีรัตนาถาม ส่วนแพรพรรณก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน วงหน้างดงามขมวดคิ้วนิ่งคิด “อืม…เอาไงดีล่ะเนี่ย?”

เมื่อก่อนเธอเคยบุกป่าฝ่าดงไปท่องเที่ยวกับพี่ชายก็จริง แต่มันก็เป็นการเดินท่องป่าไปอย่างรู้จุดหมายปลายทางและรู้เส้นทาง แถมอุปกรณ์เดินป่าก็ครบครัน แต่นี่…ไม่รู้ทั้งเส้นทางและสภาพภูมิศาสตร์เลยแม้แต่น้อย จะต้องไปผจญกับอะไรบ้างก็ยังไม่รู้ “เฮ้อ…เอาไงดีล่ะ?”

แต่พอเห็นดวงหน้าจิ้มลิ้มพริ้มเพราที่มองมาที่เธอประหนึ่งดังว่าเธอคือความหวังเดียวทำให้เธอจำต้องฮึดสู้

“เอ้า!…เอาก็เอา! ทิศตะวันออกอยู่ทางนี้ก็ต้องลุยป่าไปตามทางนี้แหละนะ เรื่องอื่นค่อยว่ากันล่ะนะน้องรัตนา” เธอกำมือเล็กกลมป้อมบีบกระชับแน่นเหมือนขอความเห็น ทำให้ผู้ร่วมทางตัวน้อยพยักหน้า “เช่นนั้นพวกเราก็ไปกันเถอะจ้ะ”

แล้วทั้งสองก็ค่อยๆ เดินแหวกไปในทุ่งหญ้าคาสูงเคียงเอว

จนกระทั่งดวงตะวันเคลื่อนคล้อยสู่กลางนภาบอกเวลาเที่ยงวัน ทั้งสองจึงหาที่นั่งพักใต้ร่มไม้กลางทุ่งหญ้าคา มณีรัตนาปลดกระบอกน้ำของตัวเองมายกดื่มอึกๆ อย่างกระหาย มือเล็กกลมป้อมปาดเหงื่อออกจากใบหน้า ส่วนแพรพรรณก็มีสภาพไม่ต่างกัน เหงื่อไหลไคลย้อยเต็มหน้าไปหมด พอได้นั่งพัก เธอก็หลับตาลง

‘ฝัน…ฝัน…ฝัน…ฉันกำลังฝันอยู่แน่ๆ…ตื่นซิ…ตื่น…ตื่นเดี๋ยวนี้นะ!’ เธอบอกตัวเองในใจ เธอหวังว่าเธอเมื่อลืมตาขึ้นคงจะเห็นภาพห้องนอนของตัวเอง แต่พอลืมตาขึ้นมา ทุกอย่าง…ยังเป็นเหมือนเดิม…ทุ่งหญ้าคาไกลสุดลูกหูลูกตายังสะท้อนเข้านัยน์ตาไม่ได้แปรเปลี่ยนไปแม้แต่น้อย

“เฮ้อ…” เธอถอนหายใจ แล้วก็ปลดกระบอกน้ำของตัวเองมาดื่มบ้าง

“พี่พรรณ!” มณีรัตนาเรียกด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

“นั่นกวางนี่!” มือเล็กกลมป้อมชี้ไปทางฝูงกวางฝูงใหญ่ที่เดินหากินอยู่ไกลๆ แพรพรรณหันไปมอง

“โห…กวางจริงๆด้วย” เธออุทานอย่างตื่นเต้น ตั้งแต่เกิดมาเธอยังไม่เคยเห็นฝูงกวางใหญ่ขนาดนี้มาก่อนเลย ทั้งคู่ยืนขึ้นมองดูกวางฝูงนั้นอย่างตื่นเต้นและตื่นตาตื่นใจ พลัน! ก็มีเสียงร้อง “กี้—”

เสียงนั้นดังมาจากบนฟ้า ทั้งคู่จึงแหงนหน้ามอง แล้วทั้งสองก็เห็นนกตัวหนึ่งบินร่อนลงมาอย่างรวดเร็ว นกตัวนั้นบินร่อนลงมาอย่างว่องไวตรงเข้าหาฝูงกวางที่วิ่งแตกตื่นทันทีเมื่อได้ยินเสียงร้องจากฟากฟ้า แล้วนกตัวนั้นก็โฉบเอากวางตัวหนึ่งติดอุ้งเล็บบินเหินขึ้นฟ้าหายลับไป

“พระเจ้าช่วย! นั่นนกอะไรน่ะ!?”  แพรพรรณอุทานอย่างตกใจ จะไม่ให้เธอตกใจได้ยังไงในเมื่อนกตัวนั้นมีขนาดเท่ากับรถบัสได้ล่ะมั้ง

“นั่นนกอินทรีจ้ะพี่พรรณ” มณีรัตนาบอกน้ำเสียงปกติ ไม่ได้ตื่นตกใจแต่อย่างใด เหมือนกับว่าเคยเห็นนกยักษ์นั่นจนชินตา แล้วก็หันไปมองฝูงกวางที่วิ่งแตกตื่นห่างออกไป พลางบ่นอย่างเสียดายว่า “เฮ้อ…เพราะเจ้านกอินทรีนั่นแท้ๆ เชียว ข้าจึงอดดูกวางแล้ว”

“นกอินทรีเหรอ?” แพรพรรณทวนคำ เธอยังตกใจไม่หาย

‘พระเจ้าช่วย!…นกอินทรีทำไมมันใหญ่ขนาดนั้นล่ะ! แค่กวางตัวเดียวคงไม่พอให้ไอ้นกยักษ์นั่นอิ่มหรอก’ เธอคิดอย่างสยดสยอง

“พี่พรรณ ข้าหิวแล้วล่ะ” มณีรัตนาพูดพร้อมกับสะกิดแขนเรียวเสลา ทำให้แพรพรรณหันไปสนใจผู้ร่วมทางตัวน้อย

“หิวแล้วเหรอ” เธอถาม มณีรัตนาพยักหน้า แพรพรรณจึงปลดห่อผ้าลงจากบ่า แล้วแก้ห่อผ้าออกหยิบห่อใบตองที่รัดไว้ด้วยตอกออกมาจากห่อผ้า เธอรีบแกะห่อใบตองคลี่ออกแล้ววางลงกับพื้น

“ถ้าหิว งั้นก็กินข้าวตังนี่ล่ะกัน” เธอบอกแล้วก็พูดว่า “ดีนะที่เมื่อกี้ห่อมาด้วย”

“จ้ะพี่พรรณ” มณีรัตนาพยักหน้าแล้วก็จัดแจงหยิบข้าวตังใส่ปาก พอเคี้ยวหมดคำก็บอกอีกฝ่ายว่า “พี่พรรณก็กินด้วยกันซิจ๊ะ”

แพรพรรณจึงเอื้อมมือไปหยิบข้าวตังมากิน ทั้งคู่แบ่งกันกินข้าวตังจนหมดห่อแล้วก็เช็ดมือเช็ดปากด้วยเสื้อที่ใส่ แล้วก็ยกกระบอกน้ำขึ้นดื่มกันคนละหลายอึก ทั้งสองนั่งพักอีกหน่อยแล้วก็ชวนกันเดินทางต่อ

จนกระทั่งบ่ายคล้อยดวงอาทิตย์ลดต่ำลงเหนือทิวไม้ ทั้งสองคนก็เดินมาถึงชายป่า

“เกือบจะเย็นแล้ว พี่ว่าเราหาที่พักกันก่อนเถอะนะ” แพรพรรณบอกเพื่อนร่วมทางตัวน้อย มณีรัตนาพยักหน้าเห็นด้วย “จ้ะพี่พรรณ ข้าเดินต่อไปไม่ไหวแล้วล่ะ”

แล้วเด็กน้อยก็ทรุดลงนั่งแปะบนก้อนหินใหญ่ แพรพรรณจึงเริ่มมองหาที่พักเหมาะๆ เธอหันมองไปรอบๆ แล้วก็เห็นสถานที่ซึ่งพอจะใช้เป็นที่พักค้างแรมได้ ซึ่งก็คือใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งไร้วัชพืชรกทึบ

“ถ้างั้นพวกเราก็ไปพักตรงนั้นกันเถอะ” มือเรียวสวยชี้ไปที่ที่ตัวเองหมายตา มณีรัตนามองตามพลางพยักหน้าเห็นด้วย  “จ้ะพี่พรรณ”

แพรพรรณจึงยื่นมือไปฉุดผู้ร่วมทางตัวน้อยให้ลุกขึ้น แล้วทั้งสองคนก็เดินไปที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ทั้งสองปลดห่อผ้าลงวางไว้ที่โคนต้นไม้ แล้วแพรพรรณก็เดินไปเก็บกิ่งไม้แห้งสำหรับก่อกองไฟ ส่วนมณีรัตนาก็นั่งพิงลำต้นไม้ใหญ่ผล็อยหลับไปทันที พอแพรพรรณหันไปเห็นเข้าก็นึกสงสาร “โถ…คงจะเหนื่อยมากล่ะซิ หลับไปซะแล้ว”

แล้วเธอก็หอบกิ่งไม้ไปวางไว้ใต้ต้นไม้ แต่พอเหลือบไปดูพระอาทิตย์เธอก็รีบเดินไปเก็บกิ่งไม้ต่อ “ต้องรีบแล้วซิ…เดี๋ยวจะมืดซะก่อน”

เธอรีบเก็บกิ่งไม้แห้งเพื่อให้พอกับการก่อกองไฟทั้งคืน พอได้กิ่งไม้แห้งเพียงพอแล้วเธอจึงเลิกเก็บ พลัน! เธอก็ได้ยินเสียงร้อง “เจี๊ยกๆ”

เสียงนั้นดังมาจากบนยอดไม้

“เอ๊ะ!” เธอรีบหันไปดู แล้วเธอก็เห็นลิงตัวหนึ่งนั่งอยู่บนต้นไม้ห่างไปไม่ไกลนัก

“ลิงนี่น่า” เธออุทาน แล้วลิงตัวนั้นก็กระโดดจากต้นไม้ที่นั่งอยู่ไปยังต้นไม้อีกต้นที่อยู่ข้างๆ กัน พอไปถึงมันก็โผนไปเด็ดผลไม้สีเหลืองบนต้นมากัดกินอย่างเอร็ดอร่อย แพรพรรณเห็นเช่นนั้นเธอจึงรีบเดินไปที่ต้นไม้ต้นนั้นทันที

“อืม…ผลไม้นี้คงจะกินได้ล่ะมั้ง” เธอแหงนมองผลไม้สีเหลืองรูปร่างกลมเหมือนผลส้มอย่างชั่งใจ

“เอาน่า…ลิงกินได้คนก็ต้องกินได้ละนะ” มือเรียวสวยจึงเอื้อมไปโน้มกิ่งเด็ดมาลูกหนึ่ง แล้วเธอก็มองผลไม้ลูกนั้นแล้วยกขึ้นดมกลิ่น “กลิ่นเหมือนมะม่วงเลยแฮะ”

แล้วเธอจึงทดลองกัดชิมดู กร๊วม!

“อื้ม…เหมือนแอ๊บเปิ้ลเลยแฮะ” เธอจึงเคี้ยวผลไม้กลืนลงคอ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!