Chapter 7
ราชาแห่งหิรัญคีรี
“นี่คือสหายใหม่ของข้า” เจ้าชายวัชระบอกขุนท้าวคนสนิทแล้วสั่งว่า “ท่านช่วยไปจัดเตรียมที่พักให้สหายของข้าด้วยนะท่านขุนท้าว”
“เพคะ” ขุนท้าวแจ่มศรีรับพระบัญชาแล้วก็เดินต้วมเตี้ยมๆ ออกไป เจ้าชายวัชระตรัสกับพระสหายใหม่ทั้งสองว่า “ตามข้ามาทางนี้เถอะ”
ตรัสเสร็จก็เสด็จไปทันที ทำให้แพรพรรณและมณีรัตนารีบตามเสด็จ ทั้งคู่ตามเสด็จเจ้าชายไปจนถึงศาลากลางสระน้ำ ที่นั่นมีนางกำนัล 3 คนนั่งอยู่หน้าศาลา พอเจ้าชายเสด็จไปถึงพวกนางก็รีบหมอบกราบถวายบังคม “ถวายบังคมเพคะ”
เจ้าชายวัชระโบกมือไล่ พวกนางทั้ง 3 คนรีบคลานเข่าออกไป
ภายในศาลามีตั่งเตี้ยตัวใหญ่ตั้งอยู่ตรงกลาง บนตั่งเต็มไปด้วยขนมและผลไม้สารพัดชนิด รอบๆ ตั่งมีเบาะรองนั่งและหมอนอิงสีแดงปักดิ้นทองวางรอบตั่งตัวใหญ่ ชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่งนั่งอยู่ก่อนแล้ว เจ้าชายวัชระเข้าไปในศาลาพร้อมกับตรัสว่า “ถวายบังคมพระเจ้าข้าเจ้าพี่”
“ไม่ต้องพิธีรีตองหรอกวัชระ เข้ามาซิ” ผู้ที่ถูกเรียกว่า ‘เจ้าพี่’ ตรัสแล้วก็หันไปมองผู้ที่ตามเจ้าชายวัชระมา “นั่นใครหรือ?”
เจ้าชายวัชระรีบทูลว่า “นี่สหายใหม่ของข้าพระเจ้าข้า พวกเขาเป็นคนต่างถิ่น ข้าไปช่วยมาจากไอ้หมื่นหาญพระเจ้าข้า”
แล้วเขาก็หันไปตรัสกับพระสหายใหม่ว่า “พี่ชาย…มณีรัตนา นี่คือเจ้าพี่อัคนี ราชาแห่งหิรัญคีรี พระองค์ทรงเป็นพี่ร่วมสาบานของข้าเอง”
มณีรัตนารีบพนมมือไหว้ราชาอัคนี “ถวายบังคมเพคะ”
แพรพรรณยกมือไหว้โดยไม่ได้พูดอะไร ราชาอัคนีแปลกใจพลางคิดในใจว่า ‘แม่หนูน้อยพูดจาเหมือนเคยอยู่ในวังมาก่อน เด็กคนนี้เป็นใครกัน? มาจากไหนกันนะ?’
เขาเก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ แล้วตรัสว่า “พวกเจ้ามานั่งกินขนมกับข้าเถิด”
เขาชี้ไปที่เบาะนั่งฝั่งตรงข้าม เจ้าชายวัชระเสด็จเข้าไปนั่งข้างๆ ราชาอัคนี ราชาอัคนีเห็นพระสหายใหม่ของพระอนุชาไม่เข้ามานั่งด้วย เขาค์จึงสั่งว่า “พวกเจ้าก็เข้ามาเถิด อย่าให้ข้าต้องพูดซ้ำอีก”
แพรพรรณกับมณีรัตนาหันไปสบตากัน ประหนึ่งว่า ‘จะทำอย่างไรดี?’
เจ้าชายวัชระลุกไปจูงแขนมณีรัตนา “มาซิ เจ้าพี่ข้าไม่ดุหรอก เจ้าอย่ากลัวไปเลยมณีรัตนา”
“เอ่อ…” มณีรัตนารีบคว้าแขนแพรพรรณให้ตามไปด้วย
“เจ้านั่งตรงนี้นะ ส่วนพี่ชายก็นั่งตรงนั้นเถิด” เจ้าชายวัชระชี้ที่เบาะรองนั่งแล้วนั่งลงที่เดิม มณีรัตนานั่งลงกับพื้นกระดานอย่างหวั่นกลัว “เอ่อ…”
ส่วนแพรพรรณก็นั่งลงข้างๆ เด็กหญิง เธอปลดห่อผ้าวางไว้ข้างตัว ราชาอัคนีมองทั้งสองคน เห็นทั้งสองนั่งพับเพียบกับพื้นกระดานก็สั่งว่า “พวกเจ้าเข้ามานั่งบนเบาะนี่เถิด สหายของน้องข้าก็เหมือนดังเช่นสหายของข้าเช่นกัน”
มณีรัตนาหันไปกระซิบกับแพรพรรณ “จะทำเช่นไรดีล่ะจ๊ะพี่พรรณ?”
แพรพรรณยังไม่ทันจะตอบ ราชาอัคนีก็ดุว่า “พวกเจ้านี่เป็นเช่นไรนะ! ชอบให้ข้าพูดซ้ำเสียจริง ข้าบอกให้พวกเจ้ามานั่งบนเบาะนี่อย่างไรล่ะ”
“อุ๊ย!” ทั้งสองคนสะดุ้ง มณีรัตนารีบเขยิบไปนั่งพับเพียบบนเบาะนุ่ม แพรพรรณมองราชาอัคนีแล้วก็ขยับไปนั่งบนเบาะเช่นกัน ราชาอัคนีเอื้อมมือไปหยิบขนมทองม้วนใส่จานยื่นให้ทั้งสองคนพร้อมกับตรัสว่า “พวกเจ้ากินขนมและลูกไม้ตามใจชอบเถิด ไม่ต้องเกรงใจข้าและวัชระหรอก”
เขาตรัสน้ำเสียงอ่อนโยน พอให้ขนมแล้วเขาก็มองทั้งสองคนอย่างพินิจพิเคราะห์
“ขอบพระทัยเพคะ” มณีรัตนาพูดแล้วก็นั่งเฉยไม่กล้ากินขนม
“ขอบพระทัยเพคะ” แพรพรรณพูดแล้วก็นั่งเฉยเช่นกัน เจ้าชายวัชระจึงตรัสว่า “พวกเจ้าลองชิมดูเถิด ขนมพวกนี้เป็นฝีมือขุนท้าวแจ่มศรีทั้งนั้น ข้ารับรองว่าอร่อยไม่เป็นรองแคว้นใดแน่”
มณีรัตนาจึงรีบหยิบขนมกิน ไม่ใช่เพราะคำคะยั้นคะยอของเจ้าชายวัชระหรอกนะ แต่เป็นเพราะสายตาดุๆ ของราชาอัคนีต่างหาก พอกัดคำแรกเด็กหญิงก็รู้สึกว่าขนมอร่อยจริงอย่างที่เจ้าชายบอก เด็กหญิงกินขนมด้วยกริยามารยาทอ่อนช้อยเรียบร้อยสมกับที่ได้รับการอบรมสั่งสอนมา แพรพรรณอึกอัก แต่พอสบตากับดวงตาดุๆ เธอจึงจำใจหยิบขนมกิน
ราชาอัคนีมองทั้งสองคนพลางคิดในใจว่า ‘แม่เด็กน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพรา ผิวพรรณก็ดูสะอาดเกลี้ยงเกลาขาวผุดผ่องเป็นยองใย กริยามารยาทก็ดูเรียบร้อยมีสัมมาคารวะ กินอยู่ก็ไม่มูมมาม ดูท่าทางคงได้รับการอบรมมาดี อาภรณ์ที่สวมใส่แม้จะขมุกขมอมไปสักหน่อยแต่ก็เป็นแพรพรรณเนื้อดี ส่วนเจ้าหนุ่มก็ผอมแห้งแทบจะปลิวลม ผิวพรรณรึก็ขาวนวลยิ่งกว่าสตรีเสียอีก ดูท่าทางคงไม่ค่อยได้ออกแรงถูกแดดเช่นชายชาตรีเป็นแน่ น้ำเสียงก็หวานระรื่น กริยามารยาทนั้นก็งามยิ่งนัก อ่อนช้อยงดงามยิ่งกว่าพวกนางในเสียอีก หน้าตารึก็งดงามเสียยิ่งกว่าสตรีนางใดในพนมนครและหิรัญคีรี นี่ถ้าหากเป็นหญิงหัวกระไดเรือนคงไม่แห้งเป็นแน่ หึๆๆๆ…’
แล้วความคิดของราชาอัคนีก็สะดุดหยุดลงเมื่อได้ยินหนุ่มน้อยพูดว่า “ขนมทองม้วนอร่อยมากเพคะ”
พอได้ยินคำพูดของหนุ่มน้อย ราชาอัคนีก็คิดในใจอย่างสงสัยว่า ‘เจ้าหนุ่มคนนี้รู้จักขนมทองม้วนด้วยรึ? ขนมพวกนี้มีแต่ในวังเท่านั้น ดูท่าทางเจ้าหนุ่มนี่คงเคยอยู่ในวังเป็นแน่’
แล้วเขาก็ตรัสว่า “ถ้าเจ้าชอบก็กินอีกซิ กินให้มากๆ เจ้าจะได้ดูล่ำสันบึกบึนสมกับเป็นชายชาตรี”
แล้วเขาก็หยิบขนมทองม้วนและขนมอีกสองสามอย่างใส่จานให้หนุ่มน้อยและแม่หนูน้อย
“เจ้ารู้จักขนมทองม้วนด้วยหรือ?” เขาถามพลางจ้องหน้าหนุ่มน้อย
“เพคะ” แพรพรรณตอบ แล้วก็ค่อยๆ หยิบขนมกินอย่างเรียบร้อย ราชาอัคนียิ้มแล้วสอนว่า “เจ้าเป็นชายต้องพูดว่าพะย่ะค่ะ คำว่าเพคะนั้นไว้สำหรับสตรีพูด”
แพรพรรณยิ้มเจื่อน “เพ…พะย่ะค่ะ”
‘หากเจ้าหนุ่มนี่เคยอยู่ในวังก็ไม่น่าจะพูดผิดพูดถูก หรือว่าข้าคิดไปเองกระมัง’ ราชาอัคนีคิดในใจแล้วก็นึกอยากทดสอบให้แน่ใจ เขาจึงแกล้งชี้ไปที่ขนมบนตั่งแล้วตรัสว่า “ขนมพวกนี้อร่อยนักแต่ข้ากลับจำไม่ได้ว่าเรียกว่าอะไรบ้าง บางครั้งขุนท้าวถามข้าว่าขนมของนางอร่อยหรือไม่ข้าก็ตอบผิด ๆถูก ๆจนนางน้อยใจข้าเสียหลายครั้ง หากเจ้ารู้ว่าขนมเหล่านี้เรียกว่าอะไรบ้างเจ้าก็ช่วยบอกข้าทีเถิดข้าจะได้จำไว้ตอบขุนท้าวได้ถูกต้อง”
แพรพรรณได้ยินราชาอัคนีพูดเช่นนั้นก็ไม่ได้นึกคิดอะไร ด้วยความที่ตัวเองรู้จักขนมที่อยู่บนตั่งทั้งหมดเพราะเคยช่วยแม่ทำขนมบ่อยๆ จึงบอกโดยไม่ทันคิดพร้อมกับชี้ไปที่ขนมแต่ละอย่าง “อันนี้ขนมชั้น อันนั้นขนมทองหยิบ อันนู้นขนมทองหยด นั่นขนมลูกชุบ ส่วนอันนี้ขนมจ่ามงกุฎเพ…เอ้ย…พะย่ะค่ะ”
คำลงท้ายเกือบจะหลุดว่า ‘เพคะ’ อีกแล้ว แต่ก็ยั้งไว้ได้ทัน เธอลอบถอนหายใจ “เฮ้อ…”
‘เกือบไปอีกแล้วซิเรา’
หนุ่มน้อยบอกชื่อขนมได้ถูกต้อง ทำให้ราชาอัคนียิ่งแน่ใจว่าหนุ่มน้อยร่างผอมจะต้องเคยอยู่ในวังมาก่อนแน่ๆ แล้วเขาก็ตรัสว่า “ขอบใจที่ช่วยบอก ข้าจะจำไว้ให้ขึ้นใจ ครั้งต่อไปข้าจะได้ตอบขุนท้าวได้ถูกต้อง”
เขาแย้มยิ้มแต่สายตานั้นมองหนุ่มน้อยอย่างจับสังเกต
“เจ้าพี่พะย่ะค่ะ ขอบพระทัยที่รีบเสด็จมา” เจ้าชายวัชระตรัสแล้วก็รินน้ำให้ ราชาอัคนีจึงละสายตาจากพระสหายใหม่ของพระอนุชา
“เจ้าเดือดร้อน ข้าย่อมต้องรีบมาช่วยเป็นธรรมดา อย่างไรเสียเจ้าก็เป็นน้องร่วมสาบานของข้า อย่าได้คิดมาก” เขาตรัสแล้วก็ยกจอกน้ำขึ้นดื่ม
พลัน! สายลมก็เปลี่ยนทิศ จากที่พัดจากสระน้ำเข้าสู่ฝั่งกลับกลายเป็นพัดออกจากฝั่ง กระแสลมจึงหอบเอากลิ่นหอมจากตัวแพรพรรณไปทางราชาอัคนี
“หือ…กลิ่นหอมนี้…” ราชาอัคนีอุทานพร้อมกับจ้องมองไปที่พระสหายใหม่ของพระอนุชา สายตาคมกล้าจนทำให้คนที่ถูกมองทั้งสองคนสะดุ้งวูบ!
“จริงซิ…ข้าก็ว่าพี่ชายมีกลิ่นกายหอมยิ่งนัก” เจ้าชายวัชระตรัส แล้วสายลมก็พัดวูบม้วนตัวเป็นกลุ่มก้อนอยู่เบื้องหลังของราชาอัคนี พร้อมกับเสียงทุ้มดังขึ้นกลางกระแสลมหมุน “ถวายบังคมพระเจ้าข้า”
“อ่ะ!” แพรพรรณตะลึงงัน!
“กรี๊ด!” มณีรัตนากรีดร้องอย่างตกใจแล้วก็ผวาเข้ากอดหญิงสาวแน่น
“ไม่ต้องตกใจไป นี่คือวายุขุนพลคนสนิทของข้าเอง” ราชาอัคนีตรัสแล้วก็หันไปสั่งวายุว่า “เจ้าทำให้แม่หนูน้อยตกใจนะวายุ เจ้ารีบปรากฎตัวเถอะ”
“ขอประทานอภัยพระเจ้าข้า” สิ้นเสียง ก็ปรากฏร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งขึ้นพร้อมกับกระแสลมหมุนสลายตัวหายไป เขารีบกราบทูลว่า “กระหม่อมรีบร้อนเกินไปจึงไม่ทันมองว่าทรงมีแขกอยู่ด้วยพระเจ้าข้า”
“โอ๋ๆ…ไม่ต้องกลัวนะจ๊ะน้องรัตนา” แพรพรรณปลอบมณีรัตนา ตาก็มองผู้ชายที่ปรากฎตัวขึ้นอย่างประหลาดเขม็ง นี่เธอจะต้องพบเจอกับอะไรที่มันมหัศจรรย์พันลึกพิลึกพิลั่นอีกล่ะเนี่ย?
“มีอะไรก็รีบๆ พูดมาเถอะ” ราชาอัคนีตรัสกับวายุ
“กองทัพของพวกเราเดินทางมาถึงชายแดนพนมนครแล้วพระเจ้าข้า” วายุกราบทูล
“ดีมาก เช่นนั้นเจ้าก็สั่งให้ทหารตั้งกองทัพรออยู่ที่ชายแดนก่อน แล้วข้าจะสั่งอีกที เจ้าไปได้แล้ววายุ” สิ้นคำสั่งของราชาแห่งหิรัญคีรี วายุก็สลายตัวกลายเป็นกระแสลมหมุนหายไป
“เจ้าไปสืบความได้อะไรมาบ้างล่ะวัชระ?” ราชาอัคนีหันไปถามเจ้าชายวัชระ
“อ๋อ…ก็หลายเรื่องอยู่เจ้าพี่” เจ้าชายวัชระตอบ “เสด็จแม่ถูกขังอยู่ในตำหนัก พวกขุนนางที่ต่อต้านไอ้เจ้าปุโรหิตวิตถารถูกขังไว้ในคุกหลวง ส่วนพวกหนุ่มๆ หน้าตาดีๆ ก็ถูกจับตัวไปสนองตัณหาวิปริตของมันไม่เว้นแต่ละวัน มีเพียงขุนนางกับขุนทหารไม่กี่คนที่ร่วมมือกับไอ้ปุโรหิตนั่น ส่วนพวกขุนนางบางคนที่ยังจงรักภักดีต่อเสด็จพ่อแต่จำต้องก้มหัวให้มันก็พร้อมจะลุกฮือขึ้นทันทีที่พวกเราทำศึกพะย่ะค่ะ ข้าล่ะอยากบั่นคอไอ้ปุโรหิตวิตถารเสียเดี๋ยวนี้นักเชียว!”
สีหน้าของเจ้าชายน้อยเหี้ยมขึ้นอย่างคันไม้คันมืออยากจะไปจัดการกับเจ้าปุโรหิตวิตถารเต็มแก่
“เจ้าใจเย็นไว้ก่อนเถอะวัชระ” ราชาอัคนีรีบปรามแล้วตรัสว่า “เพราะเจ้าไม่อยากให้ชาวพนมนครต้องสู้รบกันเองจึงได้ขอให้ข้ามาช่วยไม่ใช่หรือ จะทำการสิ่งใดต้องคิดให้รอบคอบ เจ้ายังต้องเรียนรู้อีกมากนัก”
“ฮึ่ม…พะย่ะค่ะเจ้าพี่” เจ้าชายวัชระพยักหน้าแล้วก็คว้าจอกน้ำยกดื่มรวดเดียวเพื่อดับความร้อนรุ่มในใจ
“เจ้าชายเพคะ หม่อมฉันจัดเตรียมห้องให้พระสหายเรียบร้อยแล้วเพคะ” ขุนท้าวแจ่มศรีเข้ามากราบทูล
“เห็นทีว่าห้องหับคงจะไม่พอเสียแล้วกระมังขุนท้าว เพราะสองขุนพลแห่งหิรัญคีรีมาถึงแล้ว” ราชาอัคนีตรัสกับขุนท้าวร่างท้วม แล้วเขาก็ถามว่า “เหลืออยู่ห้องเดียวไม่ใช่หรือขุนท้าว?”
“เพคะฝ่าบาท” ขุนท้าวแจ่มศรีพยักหน้า
“อืม…จะทำเช่นไรดีล่ะ?” ราชาอัคนีนิ่งคิดพร้อมกับมองไปที่พระสหายใหม่ของพระอนุชา
“เช่นนั้นให้สหายของข้าพักกับข้าก็ได้เจ้าพี่” เจ้าชายวัชระเสนอ เพราะเขาเป็นผู้เชิญแขกมาพักเอง หากไม่มีห้องให้แขกพักคงเสียหน้าแน่ๆ
“จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร? ขุนท้าวพักอยู่กับเจ้าด้วย ถึงนางจะสูงอายุแต่ถ้าหากให้เจ้าหนุ่มคนนี้ไปพักด้วยไม่เหมาะแน่ เจ้ายังเด็กจึงไม่เป็นไร” ราชาอัคนีตรัสแล้วก็คิดๆ “อืม…”
“เอ่อ…ถ้าหากว่าไม่มีห้องถ้างั้นฉันกับน้องไปหาที่พักกันเองก็ได้ค่ะ” แพรพรรณรีบบอกเมื่อเห็นว่าการมาของเธอกับมณีรัตนาทำให้คนอื่นลำบาก
“ทำเช่นนั้นไม่ได้หรอกเจ้าหนุ่ม พวกเจ้ามาจากต่างถิ่นหากเป็นยามปกติคงไม่เป็นไรหรอกหากเจ้าจะไปขออาศัยชาวบ้านนอนสักคืน แต่ขณะนี้เป็นยามศึกสงคราม คงไม่มีใครกล้าให้ที่พักกับพวกเจ้าหรอก อีกทั้งวัชระก็เพิ่งช่วยพวกเจ้าจากหมื่นหาญไม่ใช่หรือ หากเจ้าคิดจะไปนอนค้างอ้างแรมกลางดินกลางทรายคงไม่เหมาะแน่ หากทหารของพวกปุโรหิตมาพบพวกมันคงรีบจับตัวเจ้าไปให้ปุโรหิตเป็นแน่” ราชาอัคนีตรัสน้ำเสียงเรียบๆ
‘หยึ๋ย! ถ้าต้องถูกจับไปล่ะก็…ขอตายดีกว่า’ แพรพรรณทำหน้าแหยงๆ
“ข้าคิดได้แล้วล่ะ” ราชาอัคนีตรัสแล้วสั่งว่า “เจ้ากับน้องอยู่กับข้า ส่วนห้องที่เหลือก็ให้สองขุนพลของข้าอยู่กันไป”
“เอ่อ…จะดีหรือเจ้าพี่?” เจ้าชายวัชระแย้ง ขุนท้าวแจ่มศรีรีบท้วง “คงไม่เหมาะกระมังเพคะฝ่าบาท ที่พระองค์จะให้สองคนนี้พักห้องเดียวกับพระองค์ ทั้งสองคนนี้เป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้นะเพคะ หม่อมฉันว่าให้พวกเขาพักรวมกับท่านขุนพลของพระองค์คงจะดีกว่านะเพคะ”
“ฟูกเล็กพอแค่คนนอนสองคนเท่านั้นนะขุนท้าว แล้วห้องก็เล็กเพียงแค่นั้น จะเบียดเสียดเข้าไปยังไงตั้งสี่คน” ราชาอัคนีแย้ง
“เอ่อ…” ขุนท้าวแจ่มศรีคิดตามแล้วก็นิ่งเงียบ แล้วนางก็รีบกราบทูลว่า “ถ้าเช่นนั้นพระองค์ก็ให้ท่านขุนพลสักคนอยู่กับพระองค์ก็ได้นี่เพคะ แล้วให้พระสหายของเจ้าชายอยู่กับท่านขุนพลอีกคน บุรุษสองคนกับเด็กผู้หญิงเล็กๆ คนหนึ่งน่าจะพออยู่ด้วยกันได้กระมังเพคะ” ขุนท้าวเสนอแนะ
“ให้ขุนพลคนใดคนหนึ่งของข้ามาอยู่ด้วยน่ะรึ ข้าไม่เห็นด้วยหรอก ข้าไม่อยากจะฟังเสียงนอนกรนของเจ้าพวกนั้น ให้เจ้าหนุ่มนี่กับแม่หนูน้อยอยู่กับข้าเสียยังดีกว่า” ราชาอัคนีตรัส แล้วเขาก็หันไปถามหนุ่มน้อยว่า “เจ้านอนกรนหรือไม่เจ้าหนุ่ม?”
“ไม่ค่ะ เอ้ย…ไม่พะย่ะค่ะ” แพรพรรณรีบตอบพลางส่ายหน้า ราชาอัคนีแย้มยิ้มแล้วสั่งว่า “เช่นนั้นก็ได้ข้อสรุปแล้ว เจ้าสองคนอยู่กับข้า ส่วนห้องนั้นก็ยกให้ขุนพลของข้าไป”
“แต่ว่า…” ขุนท้าวแย้ง ราชาอัคนีจึงตรัสว่า “ถ้าขุนท้าวยังมีปัญหา ข้าจะให้ขุนพลของข้าไปนอนร่วมห้องกับท่านแทน”
“ฝ่าบาท!” ขุนท้าวแจ่มศรีตวัดค้อนควับๆ
“เจ้าพี่ ถ้าท่านให้ท่านขุนพลมานอนห้องข้า ข้าจะหนีไปนอนหน้าเรือนปล่อยให้ขุนท้าวนอนฟังเสียงกรนเพียงผู้เดียวพะย่ะค่ะ ฮ่าๆๆๆ” เจ้าชายวัชระตรัสแล้วก็หัวเราะอย่างขบขัน
“เจ้าชาย!” ขุนท้าวแจ่มศรีเลยถวายค้อนเผื่อแผ่เพิ่มให้เจ้าชายวัชระ แล้วนางก็นึกขึ้นได้ว่า “อุ้ยตายจริง! หม่อมฉันก็ลืมไปเพคะ เจ้าชายเพคะเหนือหัวทรงรับสั่งหาเพคะ”
เจ้าชายวัชระดีใจ หน้าตาแช่มชื่นทันควัน “เสด็จพ่อฟื้นแล้วหรือ?”
ขุนท้าวรีบทูลว่า “ฟื้นแล้วเพคะ เจ้าชายรีบเสด็จไปเฝ้าเถิดเพคะ”
“เจ้าพี่ ประเดี๋ยวข้ากลับมาพะย่ะค่ะ” แล้วเจ้าชายวัชระก็รีบเสด็จไป
“ขุนท้าว ท่านพาแม่หนูน้อยไปนอนก่อนเถิด ดูซิหลับไปเสียแล้ว” ราชาอัคนีสั่งพลางมองเด็กหญิงซึ่งนั่งหลับสับปะหงกอยู่ในอ้อมกอดของหนุ่มน้อย แล้วเขาก็สั่งหนุ่มน้อยว่า “ส่วนเจ้าหนุ่มอยู่สนทนากับข้าก่อนหากเจ้าไม่รังเกียจ”
แพรพรรณได้ยินเช่นนั้นก็นึกในใจ ‘ก็พูดแบบนี้…ไม่เปิดช่องให้ปฏิเสธจะให้ตอบว่าอะไรได้อีกล่ะ เฮ้อ…’
“ค่ะ…พะย่ะค่ะ” เธอตอบแล้วก็ก้มลงดูร่างน้อยกลมป้อมในอ้อมกอดแล้วพูดว่า “โถ…คงจะเหนื่อยน่าดู พอได้กินอิ่มปุ๊บ…ก็หลับปั๊บ”
“พ่อหนุ่ม เจ้าส่งเด็กมาให้ข้าเถิด” ขุนท้าวแจ่มศรีบอกพร้อมกับยื่นมือไปอุ้มร่างน้อยกลมป้อม แพรพรรณจึงค่อยๆ ช่วยช้อนตัวเด็กหญิงส่งให้
“ดูซิ…หลับสนิทเลย น่ารักน่าชังแท้ๆ เชียวแม่หนูคนนี้” ขุนท้าวเปรยอย่างเอ็นดู แล้วก็อุ้มเด็กหญิงไป ในศาลาจึงเหลือเพียงราชาอัคนีและแพรพรรณ
“เจ้ามาจากที่ใดและจะเดินทางไปที่ใดหรือเจ้าหนุ่ม?” ราชาอัคนีถาม แพรพรรณนิ่งเงียบทันที ‘จะตอบว่ายังไงดีล่ะ…’
“ข้าถามเจ้า เจ้าได้ยินหรือไม่เจ้าหนุ่ม?” น้ำเสียงเข้มขึ้นอย่างไม่พอใจที่เห็นหนุ่มน้อยเอาแต่นั่งเงียบ
‘แย่ล่ะซิ…เขาเริ่มทำหน้าหงิกแล้วอ่ะ จะทำไงดีล่ะ?’ แพรพรรณเหลือบมองอย่างหวาดๆ แต่การไม่พูดอะไรเลยก็ไม่ใช่ทางออกที่ดีแน่ๆ เธอจึงตอบว่า “คือฉันกับน้องหลงทางมา พวกเราจะไปอมรานครค่ะ”
“พวกเจ้าเป็นชาวอมรานครหรือ?” ราชาอัคนีมองหนุ่มน้อยอย่างสังเกต ไม่ให้มีสิ่งใดหลุดรอดไปจากสายตาได้
“เอ่อ…” แพรพรรณอึกอัก
“เจ้าอยู่ในวังหรือ?” ราชาอัคนีถาม แพรพรรณทำหน้างง “วัง?…วังอะไรคะ?”
“ก็วังอมรานครอย่างไรล่ะ?” ราชาอัคนีจ้องหนุ่มน้อยอย่างสังเกตท่าที แพรพรรณรีบปฏิเสธ “ไม่ค่ะ”