Chapter 8
กอดราชาเหมือนหมอนข้าง
“ถ้าเช่นนั้นเหตุใดเจ้าจึงรู้จักขนมพวกนี้ล่ะ?” ราชาอัคนีชี้ขนมบนตั่งแล้วก็ตรัสว่า “ขนมพวกนี้มีแต่ในวังเท่านั้น คนธรรมดาสามัญหารู้จักไม่ แต่เจ้ากลับรู้จักทั้งหมด”
“อ๋อ…” แพรพรรณพยักหน้า “ที่บ้านของฉันมีขายเยอะแยะไปค่ะ ไม่ต้องอยู่ในวังก็รู้จักค่ะ มีขายตั้งหลายร้านค่ะ แล้วฉันก็เคยช่วยคุณแม่ทำอยู่บ่อยๆ ค่ะ”
ราชาอัคนีพยักหน้ารับรู้ “เป็นเช่นนี้เองหรือ ที่อมรานครคงมีขนมพวกนี้ขายเต็มไปหมดกระมัง ข้าไม่เคยรู้มาก่อน”
แล้วราชาอัคนีก็เขยิบเข้าไปใกล้หนุ่มน้อยพร้อมกับสูดกลิ่น แพรพรรณสะดุ้ง! “อ่ะ!”
เธอผงะถอยห่าง “จะทำอะไรน่ะ!?”
ราชาอัคนียื่นหน้าไปใกล้
“เหตุใดเจ้าจึงมีกลิ่นหอมของดอกเปลวสุริยัน?” เขาถามน้ำเสียงเข้ม ดวงตาคมกล้าจ้องเข้าไปในดวงตาคู่สวย แพรพรรณจ้องตาตอบอย่างงงๆ “ดอกเปลวสุริยันเหรอ? คือดอกอะไรคะ?”
พลัน! ภาพหนึ่งก็ลอยเข้ามาในห้วงความคิด ผู้ชายคนหนึ่งใส่เสื้อผ้าสีแดงอ่อนจับข้อมือของเธอไว้แล้วพูดว่า ‘…ดอกเปลวสุริยัน…’ แล้วภาพนั้นก็วูบหายดุจดังความฝันที่เลือนรางจางหายไปยามเมื่อลืมตาตื่น
“เจ้าไม่รู้จักดอกเปลวสุริยันได้อย่างไรกัน? ในเมื่อตัวเจ้าหอมฟุ้งกลิ่นดอกเปลวสุริยันเช่นนี้” ราชาอัคนีคาดคั้น แพรพรรณงุนงง “เอ่อ…”
ราชาอัคนีเห็นหนุ่มน้อยแสดงท่าทางว่าไม่รู้เรื่อง เขาจึงถอยห่างออกไป แล้วเขาก็ตรัสว่า “คำพูดของเจ้าฟังประหลาดนัก ไม่เหมือนชาวอมรานครเลยสักนิด”
แพรพรรณไม่รู้จะพูดอะไรจึงนิ่งเงียบทำเฉย เธอนึกถึงคำพูดของเขา ‘ดอกเปลวสุริยันเหรอ? เอ…เคยได้ยินชื่อจากไหนนะ? แล้วทำไมถึงมีแต่คนทักว่าตัวหอมกันจัง? เอ…หรือว่าฉันกลายเป็นนางตัวหอมแบบในหนังสือวรรณคดีไปแล้วล่ะมั้ง…’
“เอาเถิด ในเมื่อเจ้าไม่อยากตอบก็ช่างเถอะ” ราชาอัคนีตรัสพลางคิดในใจว่า ‘ข้าจะต้องรู้ให้ได้ว่าเหตุใดเจ้าจึงมีกลิ่นดอกเปลวสุริยัน? และเจ้ามาจากที่ใดกัน? คำพูดคำจาจึงแปลกประหลาดผิดแผกจากผู้อื่นเช่นนี้’
“ข้าจะพาเจ้าไปที่เรือน เจ้าจะได้พักผ่อนอาบน้ำอาบท่าให้สบายตัว” เขาบอกแล้วก็เสด็จไป แพรพรรณรีบลุกตามเสด็จไป
เมื่อถึงห้อง ราชาอัคนีก็ชี้บอก “นั่นผ้าผลัดอาบน้ำและอาภรณ์ ลานอาบน้ำอยู่ด้านหลังเรือน เจ้าอาบน้ำอาบท่าแล้วจะนอนพักก็ตามแต่ใจเจ้าเถิด แล้วข้าจะให้นางกำนัลมาตามเมื่อถึงเวลาอาหาร หรือหากเจ้าไม่อยากนอนจะลงไปเดินเล่นข้างล่างก็แล้วแต่เจ้าต้องการ หากเจ้าต้องการสิ่งใดก็บอกกล่าวกับบ่าวไพร่ แต่จงอย่าได้ออกไปนอกอาณาบริเวณเรือนเป็นอันขาดหากเจ้ายังไม่อยากมีผัวเป็นชาย เจ้าหน้าตางดงามคงถูกอกถูกใจปุโรหิตนั่นเป็นแน่”
พอตรัสเสร็จก็เสด็จไปทันที แพรพรรณมองตามราชาอัคนีแล้วก็เดินไปนั่งมองมณีรัตนาซึ่งนอนหลับอยู่บนฟูก “หลับสนิทเชียวนะน้องรัตนา เฮ้อ…เมื่อไหร่นะฉันจะตื่นจากความฝันนี่ซักที คุณพ่อคุณแม่ขา พรรณคิดถึงคุณพ่อคุณแม่ ป่านนี้คุณพ่อคุณแม่คงตามหาพรรณกันวุ่นวายแล้วแน่ๆเลย”
น้ำตารินไหลอาบแก้มนวล เธอนั่งร้องไห้เงียบๆ อยู่อย่างนั้นจนกระทั่งรู้สึกสบายใจขึ้นแล้วก็ลุกขึ้นหยิบผ้าผลัดอาบน้ำซึ่งเป็นผ้าฝ้ายทอมือผืนยาวเนื้อนิ่มคล้ายผ้าขาวม้าจากถาดไม้แกะสลักลงรักปิดทองลวดลายงดงาม แล้วเธอก็นึกขึ้นได้ว่าลืมห่อผ้าไว้ที่ศาลากลางน้ำ
ก๊อก!ๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้นแล้วเสียงผู้หญิงคนหนึ่งก็พูดขึ้นว่า “ท่านเจ้าคะ ข้าเอาห่อผ้ามาให้เจ้าค่ะ”
“อ๋อ…” แพรพรรณเดินไปรับห่อผ้า “ขอบใจจ้ะ”
เธอยิ้มให้ข้าทาส ข้าทาสยิ้มตอบแล้วก็หน้าแดงท่าทางเอียงอาย จากนั้นก็รีบจากไป แพรพรรณเอาห่อผ้าไปวางไว้ตรงมุมห้อง แล้วก็หยิบเสื้อผ้ากับผ้าผลัดอาบน้ำเดินไปทางด้านหลังเรือน
ณ ลานอาบน้ำ แบ่งเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งเป็นลานอาบกลางแจ้ง อีกส่วนหนึ่งกั้นเป็นห้องไม่มีหลังคา ทำไว้สำหรับบ่าวไพร่สตรี แพรพรรณรีบเข้าไปอาบน้ำในห้อง พออาบน้ำสบายตัวแล้วเธอก็เอาเสื้อผ้าไปเก็บไว้ในห้องแล้วก็ออกไปเดินเล่น เธอเดินไปจนถึงเรือนครัว บ่าวไพร่กำลังทำอาหารกันอยู่ ครั้นพวกบ่าวไพร่หันมาเห็นเธอก็ยิ้มให้ ส่วนข้าทาสสาวรุ่นๆ บ้างก็เขินอายไม่กล้าสบตาได้แต่แอบชำเลืองมอง บางคนก็เดินเลี่ยงไปทำงานอื่น แพรพรรณเดินไปนั่งบนตั่งมองดูบ่าวไพร่ทำงาน ครั้นมองไปมองมาก็เกิดนึกอยากกินทำกับข้าวขึ้นมาบ้าง เธอจึงขอแม่ครัวทำกับข้าวเอง
“ท่านทำกับข้าวกับปลาได้หรือเจ้าคะ?” แม่ครัวถามอย่างแปลกใจ
“ได้ซิคะ ตอนอยู่บ้าน พรรณช่วยคุณแม่ทำกับข้าวบ่อยๆ ค่ะ” แพรพรรณบอกกับแม่ครัวสูงอายุด้วยคำพูดที่คุ้นชิน แม่ครัวฟังแล้วก็นึกประหลาดใจในคำพูดคำจาของพ่อหนุ่มต่างถิ่น ‘ที่บ้านเมืองของพ่อหนุ่มคงจะพูดจากันเช่นนี้กระมัง’
แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ประหลาดใจเท่ากับพ่อหนุ่มน้อยขอทำกับข้าวเอง ก็เรื่องกับข้าวกับปลามันเป็นหน้าที่ของสตรี ไม่เคยมีบุรุษจะขอทำกับข้าวกับปลาดังเช่นพ่อหนุ่มน้อยเลย
‘โอ…ฤาจะเกิดอาเภพเสียกระมัง หรือไม่พ่อหนุ่มน้อยก็คงนึกสนุกเท่านั้นกระมัง ลองให้ทำดูประเดี๋ยวเบื่อก็คงเลิกราไปเอง’ แม่ครัวคิดในใจแล้วก็ยิ้มให้หนุ่มน้อย
“ถ้าเช่นนั้นก็ตามใจท่านเถิดเจ้าค่ะ” แม่ครัวบอกแล้วก็มองดูว่าหนุ่มน้อยจะทำอย่างไรต่อไป พอได้ยินคำอนุญาต แพรพรรณก็ยิ้มหน้าบาน เธอคว้ามีดคว้าเขียงมาแล้วก็หยิบผักมาหั่นอย่างคล่องแคล่ว บ่าวไพร่ก็มองดูหนุ่มน้อยทำครัวอย่างตะลึง…อึ้ง…ทึ่ง “โอ…”
จากที่เพียงแค่เมียงๆ มองๆ ก็กลายเป็นว่าล้อมวงดูหนุ่มน้อยทำกับข้าวกับปลากันแบบลุ้นตัวโก่ง
“ข้าว่าคงทำเสียของแน่” ข้าทาสคนหนึ่งกระซิบกับเพื่อน
“ข้าก็อยากจะรู้นักว่าจะเป็นเช่นไร? คงไม่แคล้วต้องเทให้หมูหมากาไก่เสียกระมัง” อีกคนกระซิบบอก
เวลาผ่านไป อาหารฝีมือแพรพรรณก็เสร็จเรียบร้อยเป็นจานแรก ทั้งแม่ครัวและบ่าวไพร่พากันลองชิมรสกันถ้วนหน้า ชิมคำแรกก็ต้องประหลาดใจจนต้องชิมอีกคำให้แน่ใจ
“ไม่น่าเชื่อ”
“เป็นไปได้อย่างไรกัน”
“ประหลาดแท้”
ฯลฯ หลายๆ คนต่างออกปากพลางจ้องมองหนุ่มน้อยเป็นตาเดียว
“อร่อยมากเจ้าค่ะ ข้าไม่เคยกินแกงอร่อยเช่นนี้มาก่อนเลยเจ้าค่ะ” แม่ครัวชมหลังจากได้ชิมน้ำแกงฝีมือหนุ่มน้อย แพรพรรณยิ้มรับคำชม หลังจากนั้นจึงกลายเป็นว่าอาหารมื้อนี้เธอเป็นผู้ปรุงเองทั้งหมดโดยมีแม่ครัวและบ่าวไพร่เป็นลูกมือ
หลังจากทำอาหารเสร็จแล้วแพรพรรณก็เดินกลับห้องไปดูมณีรัตนา
ครั้นพอถึงเวลาเสวย บ่าวไพร่จัดเตรียมสำรับกับข้าวถวาย ราชาอัคนีนั่งเคียงข้างเจ้าชายวัชระ
“เอ๊ะ! แล้วเจ้าหนุ่มนั่นล่ะอยู่ที่ใดหรือ?” ราชาอัคนีถามแล้วสั่งว่า “เจ้าไปตามเจ้าหนุ่มพระสหายใหม่ของวัชระมาที อ่อ…แม่หนูน้อยด้วยนะ”
“เพคะ” นางกำนัลรับพระบัญชาแล้วก็คลานเข่าออกไป
สักพัก แพรพรรณกับมณีรัตนาก็เดินตามนางกำนัลเข้ามา ราชาอัคนีกวักมือ “พวกเจ้าเข้ามาซิ มานั่งกินข้าวปลาอาหารด้วยกันกับข้าซิ”
“ขอบพระทัยเพคะ”
“ขอบพระทัยเพ…เอ้ย!…พะย่ะค่ะ”
มณีรัตนากับแพรพรรณพูดพร้อมกัน แล้วทั้งสองก็ค่อยๆ เข้าไปนั่งตรงข้ามอย่างสงบเสงี่ยม ราชาอัคนีแย้มยิ้มแล้วตักน้ำแกงสีแดงเข้มเสวย
เจ้าชายวัชระแย้มยิ้มให้มณีรัตนา แล้วเขาก็ตักสำรับกับข้าวให้พระสหายตัวน้อย
“ขอบพระทัยเพคะ” มณีรัตนาไหว้อย่างอ่อนน้อมแช่มช้อย เจ้าชายวัชระแย้มยิ้มแล้วก็เริ่มเสวย เพียงคำแรกที่ลิ้มรสก็ชมว่า “อื้ม…แกงนี้อร่อยยิ่งนัก เรียกว่าอะไรหรือขุนท้าว?”
เขาถามขุนท้าวแจ่มศรีที่ถวายการรับใช้อยู่ใกล้ๆ
“ทรงถามพ่อหนุ่มพระสหายของพระองค์เองเถอะเพคะ หม่อมฉันไม่ทราบเพคะ เพราะพระกระยาหารทั้งหมดเป็นฝีมือพ่อหนุ่มทั้งสิ้นเพคะ” ขุนท้าวโบ๊ยไปให้หนุ่มน้อย ทำให้ทุกคนในที่นั้นหันไปมองหนุ่มน้อยเป็นตาเดียว
“ฝีมือเจ้าหรือ?” ราชาอัคนีถามอย่างไม่เชื่อว่าหนุ่มน้อยจะทำกับข้าวกับปลาเป็น
“พี่ชายทำกับข้าวกับปลาเป็นด้วยหรือ?” เจ้าชายวัชระถามอย่างประหลาดใจ
“พี่พรรณทำกับข้าวกับปลาได้อร่อยนัก ข้าคงต้องให้ท่านช่วยสอนเสียแล้ว” มณีรัตนาชมหลังจากที่ได้กิน
“เอ่อ…” แพรพรรณได้แต่ยิ้มแหยๆ พลางนึกในใจว่า ‘แค่ทำกับข้าวเป็นทำไมถึงได้กลายเป็นเรื่องแปลกประหลาดสำหรับที่นี่นักนะ เฮ้อ…เราก็แค่อยากกินของที่ชอบเท่านั้นเองอ่ะ’
ราชาอัคนีเสวยมากกว่าปกติ เจ้าชายวัชระก็เช่นเดียวกัน ส่วนมณีรัตนาก็กินอย่างเอร็จอร่อย แพรพรรณกินได้นิดเดียวก็รามือ เพราะเธอกินข้าวกินขนมไปบ้างแล้วตอนที่อยู่เรือนครัว ราชาอัคนีเห็นหนุ่มน้อยกินน้อยยิ่งนักก็ตรัสว่า “เจ้ากินข้าวน้อยนิดเช่นนี้เองจึงได้ผอมแห้งนัก เจ้าต้องกินให้มากกว่านี้จะได้ล่ำสันสมกับเป็นชายชาตรี”
แพรพรรณนิ่งเงียบไม่พูดอะไร
“หม่อมฉันเห็นพ่อหนุ่มกินไปบ้างแล้วเพคะตอนอยู่ที่เรือนครัว” ขุนท้าวกราบทูล ราชาอัคนีพยักหน้ารับรู้แล้วถามว่า “ผู้ใดสอนเจ้าทำกับข้าวกับปลาหรือ?”
“คุณแม่ค่ะ” แพรพรรณตอบแล้วก็ทำหน้าเศร้าเพราะคิดถึงคุณแม่คุณพ่อ ‘คุณแม่ขา…พรรณคิดถึงคุณแม่คุณพ่อเหลือเกินค่ะ พรรณอยากกลับบ้าน…’
พอเห็นสีหน้าของหนุ่มน้อยราชาอัคนีก็ถามว่า “เหตุใดเจ้าจึงดูเศร้าโศกนัก?”
แพรพรรณรู้สึกหัวใจกระตุกวาบ! เธอรับรู้ถึงความอ่อนโยนเป็นห่วงเป็นใยในน้ำเสียงของเขา
“พรรณคิดถึงคุณพ่อคุณแม่ค่ะ” เธอตอบแล้วก็พยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ
“เจ้าจงอย่าเศร้าไปเลย อีกไม่นานเจ้ากับน้องก็จะได้กลับบ้านเมืองของพวกเจ้าแล้ว รอให้ข้าเสร็จศึกที่นี่แล้วข้าจะให้คนพาพวกเจ้าไปส่งที่อมรานครเอง” ราชาอัคนีตรัสพร้อมแย้มยิ้มให้ แพรพรรณยิ้มแล้วก็ยกมือไหว้ “ขอบพระทัยเพคะ”
“ขอบพระทัยเพคะ” มณีรัตนาก็รีบไหว้อย่างดีใจ ราชาอัคนีฟังหนุ่มน้อยพูดผิดๆ ถูกๆ อย่างไม่ถือสา เจ้าชายวัชระเริ่มหาว
“เจ้าไปนอนเสียเถิดวัชระ เหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน ประเดี๋ยวข้าก็จะไปนอนเช่นกัน” ราชาอัคนีบอก เจ้าชายวัชระพยักหน้าพลางยกมือปิดปากหาวไปด้วย “ถ้าเช่นนั้นข้าไปนอนก่อนล่ะเจ้าพี่”
แล้วเขาก็หันไปแย้มยิ้มให้พระสหายทั้งสอง จากนั้นเขาก็เสด็จไป ราชาอัคนีมองตามพระอนุชาไปแล้วก็หันไปตรัสกับหนุ่มน้อยว่า “นี่ก็ดึกมากแล้วพวกเจ้ากับข้าก็ควรจะไปนอนได้แล้ว”
เขาแย้มยิ้มให้ทั้งสองคน
“เพคะ” มณีรัตนารับคำอย่างว่าง่าย ส่วนแพรพรรณก็ตอบรับว่า “ค่ะ” อย่างเคยปาก ราชาอัคนีลุกขึ้นแล้วก็เสด็จนำหน้า มณีรัตนากับแพรพรรณรีบตามเสด็จ ขุนท้าวแจ่มศรีก็จัดแจงให้นางกำนัลยกสำรับกับข้าวไปเก็บ
เมื่อไปถึงห้องนอน แพรพรรณก็หอบหมอนกับผ้าห่มไปนอนบนพื้นกระดาน
“เจ้าจะทำอะไรหรือ?” ราชาอัคนีถามพลางเลิกคิ้วขึ้น
“คือว่า…” แพรพรรณยังพูดไม่จบ ราชาอัคนีก็ตรัสว่า “เจ้าจะนอนกับพื้นให้เจ็บตัวไปไย ฟูกก็ออกจะกว้างพอให้นอนกันได้ทั้งหมด”
“คงไม่เหมาะสมหรอกค่ะ ที่ดิฉันจะนอนร่วมเตียงเดียวกันกับคุณ คุณมีฐานะสูงกว่าดิฉัน ดิฉันไม่อาจเอื้อมหรอกค่ะ” แพรพรรณรีบพูดเร็วปรื้อ พลางนึกในใจ ‘อึ๋ย!…จะให้นอนร่วมเตียงเดียวกันกับผู้ชายไม่นะ…ไม่เด็ดขาด’
“สิ่งใดหรือที่เจ้าว่าไม่เหมาะสม?” ราชาอัคนีถามแล้วตรัสว่า “สหายนอนร่วมกันจะเป็นไรไป แล้วยิ่งดึกอากาศก็ยิ่งหนาวเจ้าจะเจ็บไข้ได้ป่วยเสียเปล่า เจ้าอย่าทำตัวพิรี้พิไรให้มากเรื่องดังเช่นอิสสตรีอยู่เลย และเจ้าไม่ต้องกังวลไป ข้าไม่ได้มีจิตวิปริตชมชอบบุรุษเหมือนอย่างเจ้าปุโรหิตนั่นหรอก เจ้าไปนอนบนฟูกเถิด”
แล้วเขาก็คว้าหมอนกับผ้าห่มไปวางไว้บนฟูกตามเดิม แพรพรรณชะงักงันไม่รู้จะทำเช่นไร เธอยืนมองอย่างลำบากใจ
“พี่พรรณข้าง่วงแล้ว” มณีรัตนาบอกพลางหาวไปด้วย
“เจ้าง่วงก็ไปนอนเถอะ นอนบนฟูกนั่นแหละ” ราชาอัคนีตรัสอย่างปราณี
“ขอบพระทัยเพคะ” มณีรัตนาไหว้เขาแล้วก็เดินไปนอนชิดริมข้างฝา ราชาอัคนีมองหนุ่มน้อย แล้วเขาก็นอนริมฟูกอีกด้าน เหลือที่ตรงกลางไว้ให้เจ้าหนุ่มน้อยมากเรื่อง แพรพรรณยืนนิ่งอย่างตัดสินใจ ถ้าหอบหมอนหอบผ้าออกมาอีกคงถูกตำหนิแน่ เธอจึงตัดใจยอมไปนอนบนฟูกเคียงข้างมณีรัตนา
“เจ้าจะไปนอนเบียดน้องเจ้าให้อึดอัดไปไย? เขยิบมาอีกหน่อยเถิด ที่เหลืออีกตั้งกว้าง” ราชาอัคนีตรัสพลางเหลือบมองหนุ่มน้อย แพรพรรณทำเฉยรีบห่มผ้าแล้วนอนตะแคงกอดมณีรัตนา เธอนอนเกร็งอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งได้ยินเสียงลมหายใจสม่ำเสมอของผู้ร่วมทางตัวน้อย เธอผงกหัวขึ้นมองคนในอ้อมกอด “หลับไปซะแล้ว เด็กเอ้ยเด็ก…”
เธอยิ้มแล้วก็เหลือบมองคนที่นอนอยู่ข้างหลัง เห็นเขานอนหลับนิ่งสนิทก็ถอนหายใจ “เฮ้อ…หลับไปแล้ว”
เธอนึกโล่งใจ หลังจากนั้นไม่นานนักเธอก็หลับสนิท ครั้นหนุ่มน้อยหลับสนิทแล้ว ราชาอัคนีก็ลืมตาขึ้น เขายันกายขึ้นชะโงกมองใบหน้างดงามของเจ้าหนุ่มน้อยมากเรื่อง แย้มยิ้มบางๆ
“หึๆๆๆ หลับเสียแล้วเจ้าหนุ่ม ยิ่งดู เจ้าก็ยิ่งงามเสียจริง ช่างน่าเสียดายนักที่เจ้าเป็นชาย” เขาพึมพำอย่างนึกเสียดาย เอื้อมมือไปปัดไรผมที่ปรกตามวงหน้างดงามอย่างนึกเอ็นดู พลัน! ก็เกิดแสงสว่างวาบระหว่างรัศมีสีแดงทับทิมระยิบระยับจากปลายนิ้วกับรัศมีสีเขียวมรกตจากลำคอระหง
“หืม!” เขาตกใจ มองปรากฎการณ์นั้นอย่างตะลึง
รัศมีสองสีปะทะกันลั่นเปรี๊ยะ! ประหนึ่งกำลังต่อสู้กันอยู่ แล้วรัศมีสีเขียวมรกตก็เลือนหายไป เหลือแต่รัศมีสีแดงทับทิมจากมือใหญ่ เขาผุดลุกขึ้นนั่งอย่างสงสัย แล้วเขาก็เห็นสร้อยมรกตระยิบระยับเปล่งประกายรัศมีสีเขียวมรกตจางๆ บนลำคอเรียวเล็ก
“สร้อยนาคราช!” เขาอุทานอย่างตกตะลึง! คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันอย่างสงสัย “เหตุใดเจ้าหนุ่มนี่จึงมีสร้อยนาคราช?”
สายตาคมกล้าจับจ้องไปที่สร้อยเส้นนั้นเขม็ง เก็บความสงสัยไว้ในใจ “เจ้าหนุ่มนี่เกี่ยวข้องอันใดกับนาคราชหรือ?”
เขาละสายตาจากสร้อยไปที่วงหน้างดงาม ไล้นิ้วไปตามแก้มนวล
“เจ้าหนุ่มนี่ช่างมีแต่เรื่องให้ข้าประหลาดใจเสียจริง หึๆๆๆ…ข้าจะคอยดูซิว่าเจ้าจะยังมีอะไรให้ข้าประหลาดใจได้อีก หึๆๆๆ” เขาพึมพำปนหัวเราะเบาๆแล้วก็ถอยกลับไปนอนตามเดิม
ย่ำรุ่ง เสียงไก่ขันเป็นสัญญาณว่าดวงตะวันจะฉายแสงอีกครั้ง “เอ๊ก…อี๊…เอ๊ก…เอ๊ก…”
“อือ…เช้าแล้วเหรอ? ขอนอนต่ออีกหน่อยนะ อือ…” เสียงหวานใสพึมพำงัวเงีย ราชาอัคนีตื่นนอนตั้งแต่ไก่ยังไม่ขัน เขาละสายตาจากหน้าต่างหันไปมองเจ้าของเสียงงัวเงียที่ขยับตัวมาซุกหาไออุ่นจากเรือนกายของเขา พลัน! รัศมีสีแดงระยิบระยับกับรัศมีสีเขียวมรกตจากสร้อยนาคราชก็ปะทะกันอีกครั้ง เปรี๊ยะ!
แล้วรัศมีสีเขียวก็จางหายไป เขามองปรากฎการณ์นั้นอย่างเห็นเป็นปกติ เพราะอำนาจของสร้อยนาคราชหรือจะสู้ฤทธาของเขาได้ หึ!
เรือนร่างผอมแห้งขยับก่ายกอดเขาเอาไว้ประดุจดั่งเป็นหมอนข้าง ยิ่งทำให้เขาแย้มยิ้มอย่างขบขัน ไม่ได้นึกรังเกียจแม้แต่น้อยที่เรือนร่างผอมแห้งแนบชิดกับเรือนกายของเขา น่าแปลกที่เขากลับรู้สึกยินดีปรีดายิ่งนักจนคิดอยากจะหยุดห้วงเวลานี้ไว้ให้นานแสนนาน เขาเอื้อมมือไปปัดเส้นผมสีดำนุ่มสลวยที่หลุดลุ่ยจากมวยผมให้พ้นจากใบหน้างดงาม ดวงหน้างามหวานซึ้งหลับพริ้มละไมห่างจากใบหน้าของเขาแค่คืบ ใบหน้างามสง่าขยับไปใกล้อย่างลืมตัว จมูกโด่งจรดลงแผ่วเบาแนบชิดกับผิวหน้าผากนวลผ่อง ครั้นพอรู้สึกตัว ก็ผงะถอย
‘นี่ข้าวิปริตไปแล้วหรือจึงได้กระทำเช่นนี้!?’ เขาคิดในใจอย่างสับสน
“อืม…” แพขนตายาวประดุจปีกผีเสื้อขยับลืมตาขึ้น ราชาอัคนีจึงรีบหลับตาแกล้งนอนหลับ ดวงตาคู่สวยลืมตาขึ้น ภาพแรกที่กระทบนัยน์ตาคือใบหน้างามสง่าที่อยู่ห่างเพียงแค่คืบเดียว แพรพรรณกระพริบตาปริบๆ อย่างงงๆ พอตั้งสติได้แก้มก็ร้อนฉ่า!
“อ่ะ” เธอผงะถอยห่างดั่งจับของร้อน ‘อ๊าย! อุ๊ยตาย…ว๊ายกรี๊ด!’
เธอผุดลุกขึ้นนั่ง ดีดตัวออกห่างจนแทบจะตกฟูก ดวงตาคมกล้าหรี่ขึ้นมองอย่างนึกขำ เขากลั้นหัวเราะสุดฤทธิ์ ‘หึๆๆๆ…’